ตูลูส

จะไกลสู่อวกาศหรือใกล้เพียงออกจากบ้าน ก็ต้องรับผิดชอบความฝันนั้นแล้วไปให้ถึงปลายทาง

ตูลูส หรือ นครสีชมพู (La Ville Rose) คือชื่อเล่นที่ถูกตั้งตามสถาปัตยกรรมและตึกรามบ้านช่องยุคเรอเนซองส์ซึ่งก่อขึ้นด้วยอิฐสีส้มอมชมพู เมืองนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มีเทือกเขาปิเรเนเป็นพรมแดนธรรมชาติขีดเส้นแบ่งจากสเปน เมืองซึ่งเป็นทางผ่านระหว่างเดินทางเช่นนี้ คงมีเหตุผลเรื่องความบังเอิญที่ทำให้เราต้องหยุดพัก เพราะดูเหมือนว่าบทเรียนต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ย้อนกลับให้ได้ทบทวนอีกครั้ง ณ นครสีชมพู

ตูลูส

 

     เอริก เจ้าของบ้าน บอกกับเราด้วยความประหลาดใจว่า เขาเพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศไทยก่อนที่เราจะมาถึง เอริกเล่าว่าเขาชอบกรุงเทพฯ มาก จนใช้เวลาอยู่ที่นั่นเกือบครึ่งทริป ประเทศไทยในความทรงจำสำหรับเขาเกือบจะกลายเป็นกรุงเทพฯ ไปซะแล้ว จนเมื่อได้ออกไปนอกเมืองจึงได้พบว่าประเทศไทยนั้นช่างหลากหลาย และเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของความเป็นจริง

     “เหมือนกับที่ปารีสไม่ใช่ทั้งหมดของฝรั่งเศส” เอริกพูดยิ้มๆ ก่อนจะบิบาแก็ตเข้าปาก แล้วยื่นถาดขนมปังให้แทนคำชวน เราพูดขอบคุณแล้วบิขนมปังออกมากินบ้าง พร้อมคิดในใจว่าการต้อนรับอย่างเป็นกันเอง และบรรยากาศในเมืองที่ดูไม่รีบเร่งผ่อนคลายในตูลูสนี้ เริ่มจะทำให้เรารู้สึกใหม่ๆ กับประเทศนี้เหมือนกัน แต่ก็อีกนั่นแหละ คิดไปก็ต้องพยายามระมัดระวังความคิดตัวเองไม่ให้ประสบการณ์ที่มีไปเผลอเหมารวมตีกรอบว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอะไร อย่างไร ไปซะหมด

     เอริกเล่าให้เราฟังถึงที่มาที่ไปของเมืองว่า จักรวรรดิโรมันตั้งใจให้ตูลูสเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และปัญญา ในขณะที่ปัจจุบันความร่ำรวยของตูลูสอาจถูกพิสูจน์ได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับสูงที่สุดในฝรั่งเศส ความร่ำรวยที่แท้จริงของเมืองนี้ดูท่าจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของชาวโรมัน ด้วยศาสตร์และศิลป์ที่มีอยู่ทั่วทั้งเมือง ทั้งโบสถ์แซงต์ แซร์แนง (La Basilique Saint Sernin) สถาปัตยกรรมโบสถ์โรมันที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ส่วนกลางเมืองมีแม่น้ำการอนน์ (Garonne) ตัดผ่าน มีสะพานปงต์เนิฟ (Pont Neuf) ที่ออกแบบให้เข้ากับสถาปัตยกรรมยุคเรอเนซองส์กลมกลืนไปกับเมืองทั้งเมือง ในความเก่าแก่เหล่านี้ ตูลูสยังเป็นเมืองแห่งนวัตกรรมเพราะเป็นศูนย์กลางการบินอวกาศ และเป็นฐานผลิตเครื่องบินโดยสารแอร์บัสที่ใหญ่ที่สุดของโลก อีกทั้งยังเป็นเมืองแห่งมหาวิทยาลัยชั้นนำของฝรั่งเศส ทั้งหมดนี้ทำให้ตูลูสดึงดูดนักศึกษา คนทำงานจากหลากหลายประเทศ ก่อให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ดูจะทำให้บรรยากาศในเมืองมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ

 

ตูลูส

 

     เราใช้เวลาค่อยๆ ละเลียดตูลูสไปในจุดต่างๆ ตั้งแต่จัตุรัสกลางเมือง ไปจนถึงตลาดนัดเล็กๆ ย่านขอบเมือง ซึ่งทำให้รู้สึกว่าความโรแมนติกของตูลูสนั้นไม่ได้มีอยู่แค่สมญานามความเป็นนครสีชมพู แต่กระจายทั่วไปในตูลูสจริงๆ แม้แต่ในพิพิธภัณฑ์ทางด้านอวกาศ Cite de l’espace ซึ่งเล่าถึงจุดเริ่มต้นการออกท่องไปในจักรวาลว่า

     “มนุษย์นั้นมีความลุ่มหลงในท้องฟ้าที่ไกลออกไปนั่นเสมอ มนุษย์เชื่อว่ามันจะต้องมีสายสัมพันธ์บางอย่างระหว่างจุดกำเนิดของโลกใบนี้และดวงดาวต่างๆ ที่พร่างพราวระยิบระยับบนฟ้า และมนุษย์นั้นก็คิดถูกจริงๆ ด้วยการศึกษาวัตถุบนท้องฟ้าจากโลก รวมถึงการส่งชีวิตไปยังดินแดนอันไกลโพ้นนั่น มนุษย์ก็สามารถไขรหัสความลับของจักรวาลได้ทีละเล็กทีละน้อย นักดาราศาสตร์อุทิศชีวิตของพวกเขาเรียนรู้ท้องฟ้าและดวงดาว เพื่อที่จะเข้าใจท่วงทำนองการเต้นรำของจักรวาลไปสู่จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์แห่งชีวิตทั้งมวล…”

     ความผสมผสานเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์และปรัชญา ย่นระยะห่างของโลกภายนอกที่ดูจะแสนจะห่างไกล กับโลกภายในความคิดจิตสำนึกของมนุษย์ว่า แท้จริงแล้วเวลาและระยะทางนั้นอาจเป็นเพียงความจริงสัมพัทธ์ หากแต่ความจริงที่แท้นั้นไม่อาจรับรู้ได้โดยตรงผ่านสายตา

 

     อีกหนึ่งนิทรรศการที่จัดแสดงอยู่ในขณะนั้นคือ ‘the EXTRA-ordinary life of Thomas Pesquet on board the ISS’ เป็นสารคดีชีวิตของ โทมาส์ เปสเกต์ นักบินอวกาศชาวฝรั่งเศสที่บอกเล่าความฝันของเขาตั้งแต่วัยเด็กในการออกไปนอกอวกาศเพื่อมองกลับมายังโลก จนกระทั่งวันที่เขาถูกถามจากนาซาว่ายังอยากเป็นนักบินอวกาศอยู่หรือไม่? แน่นอนว่าเขาตอบตกลง และดูเหมือนว่าช่วงเวลาคาบเกี่ยวบางๆ ที่ความฝันกำลังจะผันกลายเป็นความจริง นั่นแหละคือช่วงเวลาสั้นๆ ที่รื่นรมย์ที่สุด เพราะหลังจากนี้ไปการใช้ชีวิตตามความฝันที่ใครๆ ต่างว่ากันว่าจะนำความสุขมาให้ ทั้งที่ในความจริง ล้วนแลกมาด้วยการเสียสละ อดทน หรือแม้กระทั่งสิ่งสำคัญอื่นใดในชีวิต

     ความฝันในการไปอยู่ในอวกาศต้องแลกมาด้วยความสมบูรณ์ของร่างกาย เร่งความชราให้เร็วขึ้นกว่าสิบปี ความอดทนทางด้านจิตใจ ทั้งการฝึกซ้อมที่แทบจะเอาเวลาชีวิตช่วงหนึ่งของเขาไป ทั้งการมองหน้าผู้คนที่เขารักผ่านกระจกกั้นบางๆ ในห้องควบคุมก่อนที่ยานอวกาศจะถูกเร่งส่งด้วยความเร็วกว่า 40,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภาพสุดท้ายก่อนเขาทะยานสู่ความฝัน คือสายตาของพ่อแม่และคนรักที่มองเขาด้วยความภูมิใจ ยินดี และเจือความกังวลในการจากลา

     196 วันบนยานอวกาศนั้น โทมาส์บอกว่า นาทีที่มนุษย์ผู้ใช้ความคิดและตรรกะตลอดเวลาอย่างเขา รู้สึกได้ถึงความหมายของความพยายามทั้งหมดทั้งมวล คือชั่วขณะที่เขามองกลับมายังโลก จุดหมายที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาอดทนยอมแลกทุกอย่างที่ผ่านมาเพื่อให้ได้รับประสบการณ์นั้น สภาวะที่เขาเคย ‘คิด’ มาเสมอว่ามันจะเป็นอย่างไร ต่างออกไปในชั่วขณะนั้นที่เขา ‘รู้สึก’ กับมันจริงๆ ความคิดที่จินตนาการถึงความสวยงามของโลกเมื่อมองกลับมา นาทีที่เกิดขึ้นจริงนั้น ความคิดดูจะพลันหายไป เหลือเพียงแต่ความรู้สึกว่าดาวเคราะห์สีฟ้าที่ปรากฏขึ้นต่อตาคือบ้านแห่งเดียวจริงๆ และชีวิตที่กำลังดำเนินไปบนดาวเคราะห์นี้ล้วนเกิดและดำรงอยู่ได้จากความบังเอิญลงตัวที่งดงาม

 

ตูลูส

 

     เมื่อความคุ้นเคยเริ่มเกิด ก็ถึงเวลาที่ต้องจากลา หิมะตกหนักในเช้าตรู่ที่ต้องออกเดินทาง เรายืนรอรถบัสอยู่ชั่วโมงกว่าแต่กลายเป็นว่าเที่ยวรถถูกยกเลิกเพราะอากาศเปลี่ยนกะทันหัน แปลกที่ไม่มีใครดูกระวนกระวาย แค่ยักไหล่กลายๆ ให้กัน แล้วกระจายตัวกันไป ป่วยการที่จะโวยวาย สิ่งเดียวที่ควรทำและทำได้คือจัดการกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ตั๋วรถสามารถเปลี่ยนไปรอบถัดไปได้ แต่คันใหม่ที่ว่านั้นจะออกตอนเที่ยงคืน ซึ่งนั่นหมายถึงการรอคอยอีก 13 ชั่วโมง และนั่งรถต่อไปอีก 9 ชั่วโมง

     เราเดินไปสถานีรถไฟข้างๆ เพื่อหาร้านอุ่นๆ ซุกตัวในการรอคอยที่เตรียมใจไว้แล้วว่าจะนานแสนนาน ขณะเดินผ่านห้องขายตั๋วรถไฟ ปรากฏว่ามีขบวนไปยังเมืองถัดไปในอีกชั่วโมงข้างหน้า ทุกอย่างดูจะเป็นใจ ยกเว้นค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่ห่างกันกว่าร้อยยูโร เดินไปมาคิดลังเลอยู่นาน ตัดสินใจโทร.หาพ่อว่าจะทำอย่างไร พ่อบอกทันทีว่า ขึ้นรถไฟเถอะลูก พร้อมคำอธิบายเกลี้ยกล่อมอีกยาว ในขณะที่คนเป็นลูกเองคำนึงถึงค่าใช้จ่าย คนเป็นพ่อนั้นนึกถึงความปลอดภัย ความสบาย สุขภาพของลูกมาก่อนเสมอ

     “ถือว่าพ่อกับแม่ขอเถอะลูก” เสียงของพ่อที่บอกออกมาทำเอาขอบตาดูจะอุ่นขึ้นท่ามกลางความหนาวสะท้าน เราพยายามกลั้นน้ำตาที่มักจะถูกกดลงให้ลึกเสมอ ด้วยสำนึกว่าการเดินทางทั้งหมดนี้คือความฝัน ความฝันที่ใครต่างพูดกันว่ามันจะสวยงามเมื่อเป็นความจริง จนบางทีเผลอลืมไปว่า ในความฝันนั้นย่อมต้องแลกมาด้วยบางอย่าง และฝันนั้นไม่ได้มีแต่ความเบิกบาน

     เรานึกถึงโธมัส การเดินทางจะไกลสู่อวกาศ หรือใกล้เพียงแค่ออกจากบ้าน เมื่อมองย้อนกลับมา ณ จุดปลายทางของความฝันในความจริงที่ปรากฏตรงหน้าในขณะนั้น ทุกการเดินทางดูจะทำให้ความงดงามของบ้าน และความบังเอิญที่ลงตัวในชีวิตปรากฏชัดขึ้นเสมอ จนเป็นความหมายให้ได้เรียนรู้ในทุกสภาวะที่เกิดขึ้นระหว่างทาง เหมือนวิวข้างหน้าต่างรถไฟที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ แม้ในบางครั้งจะหนาวและเหงาเพียงใด ก็ต้องรับผิดชอบความฝันนั้นไว้แล้วไปต่อให้ถึงปลายทาง