ผมยังจำครั้งแรกที่ออกเดินทางไกลจากบ้านในวัยยี่สิบต้นๆ ได้ เริ่มต้นด้วยการเก็บเงินจากการทำงานจิปาถะ ในช่วงเวลานั้น การเดินทางไปท่องเที่ยวยุโรปดูเหมือนจะยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับผม ผมได้เห็นรูปภาพและวิดีโอมากมายเกี่ยวกับยุโรปที่ดึงดูดผมสู่อีกซีกโลก มากไปกว่านั้นผมยังได้จัดการซื้อตั๋วของเทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งในเบลเยียม จากสิ่งที่ผมรู้อย่างน้อยนิด ผมคิดว่าการเดินทางนั้นกำลังจะเปิดประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ให้แก่สายตาของผมมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต มันเป็นการเดินทางราว 3 สัปดาห์ในยุโรป เทศกาลดนตรีนั้นมหัศจรรย์ เป็นปาร์ตี้ที่ห่างไปจากความเคยชิน และเมล็ดพันธุ์ที่ผมไม่ได้คาดหวังมาก่อนก็ค่อยๆ หยั่งรากลึกสู่หัวใจ
การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมมีความสุขกับการได้พบเจอผู้คนอันน่าทึ่งทั่วโลก เรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อจากการเดินทางของพวกเขาถูกแชร์ครั้งแล้วครั้งเล่า และมันก็กระทบจิตใจผมอย่างจังเมื่อพวกเขาเล่าถึงเวลาที่ใช้ในการเดินทาง บางคนไม่กี่เดือน บางคนยาวนานเป็นปี หรือแม้กระทั่ง 2 ปี! นั่นคือสิ่งที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต ผมถูกดึงดูด และเอ่ยปากถามพวกเขาถึงเคล็ดลับในการใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงเหล่านั้น แต่ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็แค่ทำงานอย่างหนักตราบเท่าที่พวกเขาต้องการ เพียงเพื่อจะเก็บเงินทั้งหมดที่พวกเขาหวัง เพื่อการเดินทางมากเท่าที่พวกเขาอยาก ซึ่งมันหมายความว่าในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาจะไม่ปาร์ตี้ ไม่กินข้าวนอกบ้าน ไม่ใช้จ่ายไปกับเสื้อผ้าหรือรองเท้าใหม่ๆ หรืออะไรก็ตามที่ไม่จำเป็น แค่ทำงาน งาน และงาน จนกระทั่งถึงเวลาที่พวกเขาออกเดินทาง นั่นคือสิ่งที่ผมลงมือทำหลังกลับมาจาก 3 สัปดาห์ในยุโรป และแล้วชีวิตผมก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
นับแต่นั้นโลกที่ผมอาศัยอยู่เปลี่ยนไป มุมมองของผมต่อชีวิตก็เปลี่ยนไป ผมทำงานอย่างหนักและเชิดหน้ามองไปยังความฝัน หลังจากนั้นการเดินทางที่ยาวนานอีกครั้งในยุโรปถึง 6 เดือนก็เกิดขึ้น ผมจำได้ดีว่าเสรีภาพที่ถูกปลดปล่อยจากทริปนั้นเป็นอย่างไร อิสรภาพที่ผมได้สัมผัสและความเปลี่ยนเปลงในตัวตนจากการเดินทางครั้งนั้นเป็นแบบไหน ผมซึมซับพลังงานบวกมากมายและตระหนักว่าผมกลายเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมากเพียงใด 6 เดือนนั้นสอนผมอย่างหนักเกี่ยวกับตัวเอง เกี่ยวกับชีวิต และเกี่ยวกับโลกที่ผมอาศัยอยู่ และ 6 เดือนนั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็วพอๆ กัน เวลามักผ่านไปเพียงพริบตาเมื่อคุณสนุกกับมัน ผมจึงบอกตัวเองว่าการเดินทางครั้งต่อไปของผมจะต้องยาวนานขึ้น หลังจากนั้นผมจึงกลับไปทำงาน เก็บเงิน และออกเดินทางอีกครั้งเป็นเวลา 1 ปี
การแบ็กแพ็กกิ้งครั้งนี้เป็นการเดินทางสู่ส่วนอื่นๆ ของยุโรปและบางส่วนของอเมริกาใต้ แต่มันกลับนำผมสู่ช่วงเวลาที่ไม่สามารถย้อนกลับสู่จังหวะของการเดินทางแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป มันรู้สึกแตกต่างในการเดินทางครั้งที่สองนี้ ผมหลงใหลในการผจญภัย ปรารถนาจะออกจากคอมฟอร์ตโซนมากขึ้น เพื่อจะผลักดันพรมแดนของผมให้ไกลออกไป ผมค้นพบตัวเองนั่งอยู่บนรถบัสและรถไฟบ่อยครั้งระหว่างการเดินทาง ขณะที่ผมมักมองออกไปนอกหน้าต่างสู่ความมหัศจรรย์ของโลกภายนอก ภูเขา แม่น้ำ หมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งผมมักสงสัยว่าจะเป็นอย่างไรถ้าผมแวะเยี่ยมเยียนสถานที่เหล่านั้น สถานที่ที่ไม่มีใครเคยพูดถึงอย่างจริงจัง แทนที่จะเดินตามรอย ‘10 สถานที่ที่คุณควรไปเที่ยวก่อนตาย’ ผมหวังอยู่ตลอดว่าผมจะได้หยุดลงกลางทางระหว่างที่รถบัสหรือรถไฟขับเคลื่อนไปเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมปรารถนา ในช่วงเวลานี้เองที่เมล็ดพันธุ์อีกชนิดก็ถูกปลูกขึ้น นั่นคือที่มาของการเริ่มต้นปั่นจักรยาน ที่ผมจะได้มีอิสระและเสรีภาพอย่างเต็มที่ระหว่างการเดินทาง
ตัดกลับสู่ปัจจุบัน ผมกำลังใช้ชีวิตอยู่ในเมืองทบิลิซิ ประเทศจอร์เจีย จากสิงคโปร์ ผมผ่าน 13 ประเทศ ระยะทางกว่า 8,000 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลา 1 ปี และอาจจะมีการผจญภัยนับไม่ถ้วนหลังจากนี้รออยู่ ซึ่งระหว่างที่ผมตัดสินใจหยุดพักจากการปั่นจักรยานไปทั่วอยู่นั้น ด้วยความปีติ วันหนึ่งผมก็ได้เจอกับ ‘แพง’ (ฆนาธร ขาวสนิท) รองบรรณาธิการบริหาร a day BULLETIN อย่างบังเอิญ… ผมมักเชื่อว่าชีวิตของพวกเรานั้นต่างถูกประกอบสร้างโดยคนอื่นที่เราได้พบเจอ ไม่ว่านั่นจะเป็นการพบเจอที่ใหญ่ยิ่งหรือเล็กจ้อย สำหรับผมและแพง เราพบกันในระยะเวลาสั้นๆ แต่กลับเป็นการพบพานที่น่าสนใจ ในร้านอาหารที่ผมกำลังทำงานอยู่ เราแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ ถึงที่มาที่ทำให้เราได้มาเจอกันที่จอร์เจีย จากสิ่งหนึ่งนำไปสู่อีกสิ่ง และตอนนี้ผมก็กำลังมีโอกาสที่ดีที่กำลังเขียนเรื่องราวเหล่านี้อยู่ เพื่อบอกเล่ามันต่อโลก
ผมชื่อ Danial Nataporn ลูกชายของแม่ชาวสิงคโปร์และพ่อคนไทย (ผู้พูด อ่าน และเขียนไทยไม่ได้ — ผู้แปล) และนี่คือเรื่องราวของผมเกี่ยวกับการปั่นจักรยานจากสิงคโปร์สู่จอร์เจีย
ผมยังจำได้ถึงวันที่เริ่มออกปั่น ทุกอย่างดูเหนือจริง ผมรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน ทุกการถีบที่เหยียบเท้านั้นหนักอึ้ง ผมกำลังปั่นจักรยานที่เต็มไปด้วยสัมภาระเต็มคันเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ผมเคยปั่นจักรยานไปรอบๆ เพื่อจะทำให้ตัวเองคุ้นเคยมาแล้ว แต่ไม่ใช่จักรยานที่เต็มไปด้วยสัมภาระเหล่านี้ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าผมเพิ่งจะเริ่มเรียนรู้การปั่นจักรยานเป็นครั้งแรก วันนั้นฝนตกทันทีที่ผมออกจากบ้าน และเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า ผมจึงหยุดเพื่อจะสวมแจ็กเกต นั่นคืออุปสรรคแรกที่ผมเจอ ผมเพิ่งตระหนักว่าจักรยานของผมหนักแค่ไหนเมื่อมีกระเป๋าเหล่านั้น และมันยากเพียงใดที่จะรักษาสมดุล ขณะสวมเสื้อกันฝนเมื่อปั่นจักรยาน ใช่! นั่นคือความจริง อารมณ์และคำถามมากมายวิ่งวนในหัว ‘ผมพร้อมแล้วจริงๆ หรือสำหรับการเดินทางครั้งนี้?’
หลังจาก 15 นาทีที่ผมหาทางใส่เสื้อกันฝนอย่างยากลำบากได้แล้วเริ่มต้นปั่นอีกครั้ง ฝนก็ดันหยุดตก ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าจักรวาลกำลังเล่นตลกกับผมและมันกำลังหัวเราะร่า ผมเริ่มอุ่นขึ้นขณะปั่นไปเรื่อยๆ และไม่ได้คิดว่าต้องหยุดแล้วถอดเสื้อออกเพื่อนำตัวเองกลับไปสู่ความยากลำบากอีกครั้ง ผมติดลมบนไปแล้ว แน่นอนว่าการปั่นยังคงลำบาก แต่ผมได้ถีบที่เหยียบเท้าไปแล้วรอบแล้วรอบเล่า ผมไม่ต้องการหยุดแรงเหวี่ยงเหล่านั้น ดังนั้น ผมจึงแค่ปั่นมันต่อไป
จนกระทั่งมาถึงชายแดนมาเลเซีย พร้อมกับสัมภาระราวๆ 40 กิโลกรัม ตลอดระยะเวลา ผมย้ำถามตัวเองว่าทำไมผมถึงต้องทำสิ่งเหล่านี้ มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความรู้สึกเวลาเช็กอินกระเป๋าแบ็กแพ็กก่อนขึ้นเครื่องบิน ผมจำได้ถึงความสะดวกสบายขณะเดินไปขึ้นเครื่องจนกระทั่งเวลาที่เครื่องจะขึ้น ผมจำได้ถึงความตื่นเต้นและความสุขสันต์ขณะเครื่องขึ้น มองเห็นใบหน้าเปี่ยมสุขของเหล่านักเดินทาง ซึ่งความจริงก็คือเกือบทุกคนในเครื่องบินอาจรู้สึกเหมือนๆ กัน พลังงานต่างๆ แพร่กระจายถึงกันและกัน และทำให้บรรยากาศในสนามบินเปลี่ยนไปอย่างเป็นบวก
แต่ตอนนี้ มันแตกต่าง ผมกำลังปั่นสิ่งที่จะเป็นบ้านของผมไปอีกนานบนจักรยานที่มีแค่สองล้อ แรกเริ่มใต้พายุฝน จากนั้นใต้แสงอาทิตย์ และเหงื่อที่หยดผ่านศีรษะ ผมรู้สึกกังวัลปนสงสัยเล็กน้อยถึงสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ซึ่งกำลังรออยู่เบื้องหน้า ผมกำลังใช้ถนนร่วมกับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์มากมายซึ่งกำลังเริ่มต้นวันของเขา หลายคนอาจมุ่งหน้าไปทำงานเหมือนทุกวัน แต่ผมกลับรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีใครส่งพลังงานด้านบวกให้ผม ไม่มีใครมีความรู้สึกตื่นเต้น ไม่มีใครกำลังบ้าคลั่ง และมันไร้หนทางกลับสำหรับผมแล้วในขณะนี้ นั่นเพราะหนึ่งในเหตุผลที่ผมออกเดินทางคือการทดสอบตัวเองทางจิตวิญญาณ เพื่อพิสูจน์ต่อตัวเองว่าทุกสิ่งเป็นไปได้เพียงแค่ผมตั้งใจมากพอ ผมต้องตามมันไป เหมือนทุกๆ อย่างในชีวิต ก้าวแรกย่อมยากเสมอ
หลัง 9 ชั่วโมงของการปั่นอย่างต่อเนื่องและหยุดพักเป็นระยะเกิน 80 กิโลเมตร ผมก็ปั่นผ่าน Pontian เขตหนึ่งใน Southwest Johor ของมาเลเซีย ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นนักในวันแรก แค่ปั่นผ่านการจราจรอันคับคั่งของเมือง แต่ก็มีเรื่องน่าขำอยู่บ้าง เมื่อผมต้องผ่านชายแดนมาเลเซีย ซึ่งผมดันไปเข้าจุดตรวจคนเข้าเมืองในช่องของมอเตอร์ไซค์ที่ทุกคนกำลังอยู่บนมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง เฝ้ารอคิวเพื่อจะได้แสตมป์พาสปอร์ต โดยมีผมและจักรยานเด่นหราอยู่ท่ามกลางกลุ่มมอเตอร์ไซค์เพียงลำพัง
ผมบอกตัวเองว่าควรจะตั้งแคมป์ในคืนนี้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้น ดำดิ่งพุ่งตรงลงลึกไปกับการเดินทางจากจุดแรกเริ่ม ผมค้นพบตึกร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จในไซต์ก่อสร้าง มันไม่ใช่จุดตั้งแคมป์ที่ดีเลิศนัก ไม่ใช่บนชายหาด ท่ามกลางดวงดาว แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ผมต้องการเพียงสถานที่อันสงบสำหรับจิตใจซึ่งห่างไกลจากสายตาผู้คน เพียงเพื่อผมจะได้เอนตัวลงนอน หลังจากทำอาหารเย็นง่ายๆ ด้วยเตาพกพา ผมทำตัวเหมือนอยู่บ้านภายในเต็นท์และหลับไปเหมือนเด็กน้อย
การปั่นในช่วงสองสามวันหลังจากนั้นเริ่มเพลิดเพลินขึ้นเล็กน้อย ผมเคยมาเที่ยวมาเลเซีย แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการและความเชื่องช้าอันมีชีวิตชีวาเช่นนี้ ผมปั่นผ่านเมืองที่กำลังหลับใหลใกล้ชายฝั่งตะวันออกของมาเลเซีย ผ่าน Batu Pahat, Muar และเข้าสู่ Malacca ก่อนหน้านี้ผมค้นพบข้อมูลในเว็บไซต์ว่า มันมีชุมชนนักปั่นชื่อ Warmshowers.org ที่นักปั่นทั่วโลกสามารถหาที่พักแบบ couchsurfing ได้โดยเฉพาะ ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งที่ได้รับการดูแลโดยโฮสต์จาก Warmshower ในมาเลเซีย พวกเขาล้วนแล้วแต่ต้อนรับผมอย่างอบอุ่น แถมยังพาผมไปชมรอบๆ เมืองที่พวกเขาเติบโตมา
ผมพบกับ Merla และ Gerda สองนักปั่นสาวชาวเยอรมันที่ Malacca พวกเธอกำลังปั่นผ่านเอเชียเช่นกัน และกำลังมุ่งหน้าสู่เส้นทางเดียวกับผม ดังนั้น เราจึงร่วมทีมกันเพื่อปั่นสู่ Cameron Highlands สำหรับผม มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีจากที่เคยปั่นตามลำพัง บทสนทนาเยี่ยมๆ และเสียงหัวเราะที่ถูกแบ่งปันระหว่างกัน และแน่นอน ความทรมานอันสาหัสก็ถูกส่งต่อร่วมกันขณะที่เรากำลังไต่เนินเขาลูกแรกสู่ Cameron Highlands ด้วย เพราะเส้นทางนั้นไม่ง่ายเลย และขาของพวกเราก็ไม่สามารถแบกรับทางชันๆ ทั้งหมดเช่นนี้ไหว
จนสุดท้ายเราต้องจบลงด้วยการโบกรถสู่ยอดเขา หลังจากพยายามไต่เขาอย่างหนักที่สุดในชีวิตมาตลอดทั้งวัน การปั่นจักรยานได้แค่ 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตลอดวัน เป็นทั้งความเหนื่อยล้าทางกายและใจ แต่ผมจะทำให้ดีขึ้นในการไต่เขาครั้งต่อไป ผมจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเวลาผันผ่านไปในแต่ละวัน
พวกเราใช้เวลา 3 สัปดาห์ ปั่นไปทั่วมาเลเซียด้วยกัน มันเป็นการแชร์ประสบการณ์ที่น่าประทับใจระหว่างผมและพวกเธอทั้งสอง การนอนหลับในหมู่บ้านเล็กๆ การได้ทำความรู้จักชาวบ้าน และมันก็ช่างสดชื่นเสมอเมื่อได้ฟังมุมมองของชีวิตของพวกเขาที่ดำเนินไป ณ ที่แห่งนั้น เมื่อเราเดินทางใกล้ถึงชายแดนของประเทศไทย เราจำเป็นต้องแยกจากกัน เนื่องจากเส้นทางที่พวกเธอจะไปเป็นอีกเส้นทางหนึ่ง การบอกลาเป็นสิ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงในการเดินทาง แต่หนทางข้างหน้าก็ยังเต็มไปด้วยการผจญภัยใหม่ๆ สายตาของผมตอนนี้กำลังจับจ้องมุ่งตรงไปยังประเทศไทย…