การขึ้นเครื่องบินพร้อมกับจักรยานค่อนข้างลำบาก ผมต้องจัดการแยกชิ้นส่วนมันเพื่อใส่กล่อง ทำให้แน่ใจว่ามันถูกจัดการอย่างเรียบร้อยและถูกปกป้องอย่างดีภายใต้การห่อหุ้มของบับเบิล แถมใต้ความยุ่งเหยิงของการแพ็กจักรยานนั้น ผมเกือบลืมใส่ล้อหน้าของมันลงไปด้วย เกือบเป็นหายนะ แต่ก็เป็นกระบวนการที่น่าสนใจ ผมรู้สึกว่าผมได้ทำความรู้จักจักรยานของตัวเองมากขึ้นผ่านทุกๆ การขันนอตและสกรู จักรยานกลายเป็นส่วนหนึ่งของผมไปแล้ว และแผ่ขยายใหญ่ขึ้นเป็นอีกเวอร์ชันหนึ่งของตัวตน
ผมมักมีแรงดึงดูดอย่างแปลกประหลาดสู่เนปาลเสมอ แต่ผมไม่สามารถหาได้ว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร มันไม่น่าจะใช่เทือกเขาหรือความงดงามของทัศนียภาพ มันคือบางสิ่งที่แตกต่างออกไป บางอย่างที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังงาน บางอย่างในเชิงจิตวิญญาณ ขณะที่ผมแกะกล่องจักยาน ผมเห็นป้ายโฆษณาเกี่ยวกับการ hiking รอบๆ เนปาลอยู่มากมาย กระนั้นมันก็ไม่ได้ดึงดูดใจผมสักเท่าไหร่ แน่นอนว่าผมต้องการจะไต่เขาและถูกรอบล้อมด้วยเทือกเขาเหล่านั้น แต่ความคิดที่จะจ้างไกด์หรือลูกหาบที่จะติดตามผมไปตลอดทางไม่ใช่ไอเดีย ผมต้องการจะไต่เขาเพียงลำพัง พาตัวเองจมดิ่งสู่ธรรมชาติและการก้าวเดินท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยอันยิ่งใหญ่ ตามแต่เวลาและความเชื่องช้าที่ผมต้องการ
หลังการค้นข้อมูลและคำแนะนำอย่างละเอียด ผมตัดสินใจว่านี่คือเวลาที่จะออกผจญภัย ผมรวบรู้ข้อมูลมามากพอสำหรับการไต่เขา และดูจะไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำมันด้วยตัวเอง จากเส้นทางหลากหลายที่มีให้เลือก ผมตัดสินใจเริ่มต้นจาก Gokyo Lakes ในเขตของเทือกเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งจะทำให้ผมได้สัมผัสกับวิวทิวทัศน์ชวนหยุดหายใจของเทือกเขาหิมาลัย และจะพาผมขึ้นไปยังความสูง 5,357 เมตรเหนือน้ำทะเล
จากจุดเริ่มต้นที่กาฐมาณฑุ ผมต้องต่อเครื่องไปยังลักลา ก่อนหน้านี้ผมแทบไม่รู้เลยว่าสนามบินลักลาคือหนึ่งในสนามบินที่อันตรายที่สุด มันตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาที่ความสูง 2,860 เมตรเหนือน้ำทะเล สนามบินแห่งนั้นมีแค่รันเวย์สั้นๆ นอกจากนี้ยังมีลมกระโชกและเมฆก็อาจปกคลุมสนามบินไปทั่วบางเวลา ซึ่งนั่นทำให้มันเต็มไปด้วยไฟลต์ดีเลย์ หรือแม้กระทั่งการปิดสนามบินชั่วคราวไปเลยก็มี ส่วนเที่ยวบินของผมนั้นดีเลย์ไปถึง 6 ชั่วโมง แต่นั่นก็น่าจะนับเป็นเรื่องโชคดีแล้ว เพราะผมได้ยินว่าบางคนต้องรอนาน 2-3 วันก็เลยทีเดียว
เมื่อเครื่องบินลำจิ๋วแลนดิ้งสู่ลักลา ผู้โดยสารทั้งหมด 15 คนบนนั้นต่างปรบมือเพื่อแสดงความขอบคุณต่อนักบินที่นำเราสู่จุดหมายอย่างปลอดภัยพร้อมกัน เมื่อรับกระเป๋าแล้ว ผมก็เริ่มออกเดินทางสู่เส้นทางการไต่เขาของผมทันที และก็ทันทีอีกเช่นกันที่ผมตระหนักได้ถึงความแตกต่างจากการ hiking อื่นๆ ที่ผ่านมา ผมถูกต้อนรับด้วยความเขียวขจีของต้นไม้สูงและสายลมหนาวอันมีชีวิตชีวา เส้นทางนั้นมีนักไต่เขาอื่นๆ กำลังไต่เขาอยู่เช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะมาพร้อมไกด์และลูกหาบ ผมรู้สึกทึ่งที่ได้เห็นลูกหาบเหล่านั้นแบกสัมภาระมหาศาล (ผมค้นพบภายหลังว่าพวกเขาต้องแบกของหนักถึง 50 กิโลกรัมต่อคน) และบางคนสวมใส่แค่รองเท้าแตะ ผมเรียนรู้ภายหลังอีกเช่นกันจากเวิร์กช็อปการปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมว่าพวกลูกหาบจะได้ค่าจ้างตามจำนวนกิโลกรัมที่พวกเขาแบก และการซื้อรองเท้าที่เหมาะสมในการปีนเขาก็แพงเกินไปสำหรับพวกเขา ทุกครั้งที่ลูกหาบเดินผ่านผมพร้อมสัมภาระ ผมมักรู้สึกว่าพวกเขาน่าเกรงขาม ในช่วงหยุดพักผมจึงมักเสนอธัญพืชอัดแท่งให้แก่พวกเขาเสมอ
ผมใช้เวลาห้าวันกว่าจะถึงหมู่บ้าน Gokyo ที่ความสูง 4,790 เมตรเหนือน้ำทะเล รู้สึกเพลิดเพลินกับทุกๆ ก้าวที่ผมไต่ขึ้นไป แค่เดินไปท่ามกลางความมหัศจรรย์ของเทือกเขาหิมาลัย แน่นอน ผมรับรู้แล้วว่ากล้ามเนื้อที่ใชไต่เขานั้นเป็นกล้ามเนื้อที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับที่ผมได้รับมาจากการปั่นจักรยาน ผมเรียนรู้ที่จะฟังเสียงร่างกายตัวเองมากขึ้น ผมต้องระมัดระวัง เพราะผมกำลังไต่เขาเพียงลำพัง ไม่มีใครอื่นอีกแล้วที่จะรับประกันความปลอดภัยให้ผม อาการป่วยไข้ที่มาจากความสูง (Altitude Sickness) คือความเสี่ยงที่ไม่ว่าใครก็ตามไม่ควรดูถูก ดังนั้น การเดินทางถึง Gokyo จึงทำให้ผมรู้สึกดี ผมรู้สึกแข็งแรงขึ้นในทุกย่างก้าว ปอดของผมเปี่ยมไปด้วยลมหายใจเข้าออก ผมหลงรักพลังงานและบรรยากาศที่เทือกเขาส่งต่อแก่ผม
ผมใช้เวลาสามวันที่ Gokyo ซึ่งผมเดินไปกลับสู่ทะเลสาบถึง 5 ครั้ง แถมยังไต่ขึ้นไปยังจุดสูงสุดของ Gokyo ที่ความสูง 5,357 เมตร ที่เรียกว่า Gokyo Ri มันเป็นจุดสูงสุดของเส้นทาง hiking ที่ผมจะได้มองเห็นความอลังการของเอเวอเรสต์ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัย
ตามเส้นทางที่ผมไต่ลงจากยอด ผมสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามสีฟ้าอมเขียวของทะเลสาบ Gokyo ที่มีเทือกเขามหึมาเป็นฉากหลัง มันช่างงดงามสุดๆ ผมไม่เคยจินตนาการถึงความงามเช่นนี้มาก่อนเลย กระทั่งความงามนั้นจู่โจมผมอย่างไม่ทันตั้งตัว จนทำให้รู้สึกซาบซึ้งอย่างมากถึงที่ที่ผมยืนอยู่ ซาบซึ้งโอกาสที่ได้โอบกอดความงามเหล่านี้ด้วยสายตา น้ำตาของผมเริ่มไหล แต่มันกลับเป็นน้ำตาอันเปี่ยมสุข ผมเริ่มหวนระลึกถึงทุกสิ่งและทุกคนที่ผมสำนึกบุญคุณ ถึงทุกสิ่งที่เล็กและใหญ่ ถึงทุกการตัดสินใจ ถึงทุกการเผชิญหน้า และถึงทุกคนที่ผมได้พบเจอ แม้กระทั่งถึงทุกๆ เคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตที่นำผมมาสู่ที่นี่ แต่ละเหตุการณ์เหล่านั้นล้วนนำความเป็นไปได้และทำให้ผมมายืนอยู่จุดนี้ จุดที่ผมกำลังยืนอยู่ และซาบซึ้งถึงความงดงามของโลกเบื้องหน้า ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกราวกับตัวเองได้เกิดใหม่
ผมจบเส้นทางการ hiking ผ่าน Renjo La Pass และไต่ลงมาสู่ลักลา ที่ที่ผมจะได้จับเครื่องบินกลับสู่กาฐมาณฑุอีกครั้ง ผมยังจำความรู้สึกขณะเดินลงเขาและกลายเป็นคนที่แตกต่างจากที่เคยเป็นได้ ผมเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานบวก ผมยืนอยู่บนพื้น และขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถโบยบินไปที่ใดก็ได้ ใช่ พลังงานอันลึกลับนี้นี่เองที่ดึงผมเข้าหาเนปาล
กระทั่งผมได้กลับสู่อานจักรยานและปั่นไปบนถนนในท้ายที่สุด หลังจากไม่ได้ปั่นมันมานานราว 2-3 สัปดาห์ มันรู้สึกดีที่ได้กลับสู่ถนนอีกครั้ง ตอนนี้ผมรู้สึกซาบซึ้งถึงความมหัศจรรย์ของจักรยาน หลังจากการ hiking ราวๆ 3 สัปดาห์ ผมรู้สึกขอบคุณที่ได้เคลื่อนตัวไปด้วยสองล้อขณะที่กำลังนั่งอยู่บนอาน ซึ่งผมแทบไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก หากเทียบกับการ hiking
ผมผ่านเนปาลราวสายลมเอื่อย แต่ก็มีเวลาไม่มากนักเพราะผมต้องไปให้ถึงอินเดีย ผมปั่นบนถนนเส้นหลักไปทางทิศตะวันตกและหยุดที่ลุมพินี สถานที่ที่พระพุทธเจ้ากำเนิด และปั่นต่อไปยัง Bhimdatta ซึ่งผมจะข้ามแดนสู่อินเดียจากตรงนี้
ความรักระหว่างการข้ามพรมแดนจากอีกประเทศสู่อีกประเทศเริ่มเติบโต ผมมีความรู้สึกตื่นเต้นอยู่เสมอก่อนจะเข้าไปยังประตูทางเข้าสู่จักรวาลอันลึกลับแห่งใหม่ ด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าอะไรจะรออยู่หลังประตูบานนั้น พร้อมความสงสัยที่อัดแน่นอยู่ภายใน แม้ผมจะรู้ดีว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นมักไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ มันมีแค่ความเปลี่ยนแปลงอย่างบางเบาระหว่างเคลื่อนสู่อีกดินแดน ซึ่งผมก็มักเจอร่องรอยและกลิ่นอายของอีกประเทศหนึ่งระหว่างเส้นทางข้ามแดน คล้ายการไล่ตามเศษขนมปังสู่บ้านขนมปังขิง
เมื่ออากาศเริ่มร้อนขึ้น ผมตัดสินใจไม่ปั่นผ่านเมืองพื้นราบของอินเดีย โดยเดินทางด้วยรถบัสแทน แยกชิ้นส่วนจักรยานใส่กระเป๋า และออกเดินทางสู่หริทวาร จุดหมายของผมคือการใช้เวลาส่วนใหญ่ในเทือกเขาหิมาลัยของอินเดีย หลังจากได้เห็นในเนปาลมาแล้ว ผมไม่สามารถรอที่จะได้อยู่ท่ามกลางยักษ์ใหญ่เหล่านั้น จากจุดเริ่มต้นแค่ 314 เมตรเหนือน้ำทะเลที่หริทวาร ผมปั่นผ่าน Dehradun และตั้งแคมป์ก่อนถึงตีนเขาหิมาลัย ซึ่งผมได้นอนอย่างเต็มอิ่ม แต่ไม่สามารถเก็บกั้นความตื่นเต้นของการได้กลับคืนสู่ขุนเขาอีกครั้งได้
ผมจึงตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าต่อมา และเริ่มออกปั่นก่อนเวลาปกติ ผมต้องการให้เวลากับตัวเองมากขึ้นในการไต่เนินเขาครั้งนี้ เพราะได้เรียนรู้บทเรียนแรกมาแล้วจากมาเลเซีย ดังนั้น ผมจะไม่ดูถูกการไต่เขาอีก แน่นอนว่าผมแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก ร่างกายของผมทำงานสอดคล้องกับจังหวะของจักรยาน รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับมัน และบททดสอบที่แท้จริงก็กำลังรออยู่เบื้องหน้า ในไม่ช้าผมก็ได้เห็นตีนเขาหิมาลัยเมื่อปั่นออกมาระยะหนึ่ง ซึ่งถ้าผมสามารถเปิดเพลงประกอบได้ในเวลานั้น มันคงต้องเป็นเพลงประกอบหนังเรื่อง Jurassic Park แน่ๆ
การปั่นไต่เขาค่อนข้างสบายในช่วงแรกจนถึงหมู่บ้าน แต่เมื่อผมปั่นลึกมากขึ้นความยากลำบากก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามมา ผมรู้สึกแตกต่างจากการปั่นไต่เขาที่มาเลเซีย พยายามโฟกัสกับการปั่นทีละสเต็ปด้วยเกียร์ที่ง่ายที่สุด แม้กระนั้นผมก็ทำเวลาได้แค่ 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น แต่ผมก็ยังปั่นต่อไป รู้สึกเพลิดเพลินกับการไต่เขา มันเป็นส่วนผสมที่ดีระหว่างการไต่ขึ้นและลง ซึ่งทำให้การปั่นเพลิดเพลินมากขึ้น ด้วยอารมณ์แห่งความสำเร็จเมื่อปั่นถึงยอดเขาแต่ละลูก ถนนที่ผมปั่นนั้นค่อนข้างห่างไกลผู้คน ผ่านแค่ไม่กี่หมู่บ้าน มันคือความสงบสุขที่แทบไม่มีพาหนะอื่นๆ ร่วมทาง
และแล้วผมก็ถึงหมู่บ้าน Pooh ที่ความสูง 2,400 เมตร รู้สึกพอใจกับความสำเร็จ แต่มันก็ยังมีความท้าทายอื่นๆ รออยู่เบื้องหน้า หมู่บ้านถัดไปชื่อ Nako เรียกร้องให้ผมไต่ขึ้นไปอีกราวๆ 1,200 เมตรเหนือน้ำทะเล ที่ระยะทาง 35 กิโลเมตร มันเป็นเส้นทางที่หนักที่สุดของการเดินทางนี้ มากไปกว่านั้น เส้นทางสู่ Spiti Valley ก็คือถนนที่ถือว่าอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ผมแทบไม่ได้นับว่ามีโค้งและเส้นทางคดเคี้ยวมากเท่าไหร่กันแน่ระหว่างขึ้นไปยัง Nako อย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง ด้วยการหยุดเป็นระยะ ของว่าง และการเปิดเพลงฟังเพื่อกระตุ้นตัวเองระหว่างไต่เขา ผมถึง Nako ด้วยร่างกายที่แทบจะยืนไม่อยู่ แต่ก็รู้สึกทั้งดีใจและประหลาดใจ ที่ผมเดินทางมาถึงระดับ 3,600 เมตรเหนือน้ำทะเลด้วยจักรยาน ทั้งที่ไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าตัวเองจะทำได้
Spiti Valley คือพื้นราบกลางหุบเขาที่ทั้งหนาวและห่างไกล ตั้งอยู่ในทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐหิมาจัลประเทศ — Spiti แปลว่า ดินแดนกึ่งกลาง เนื่องมาจากมันตั้งอยู่ระหว่างอินเดียและทิเบต ภูมิภาคนี้เป็นพื้นที่ที่ห่างไกลมากที่สุดแห่งหนึ่งของอินเดีย มีหมู่บ้านเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ตามเทือกเขา และเนื่องด้วยอยู่ใกล้ทิเบต พื้นที่แถบนี้จึงได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธแบบทิเบต มีวัดวาอารามที่พบเห็นได้ทั่วไปบนหน้าผาสูงชันต่างๆ พร้อมกับแม่น้ำ Spiti ที่ไหลผ่านโดยมีเทือกเขาหิมาลัยเป็นฉากหลัง
ผมใช้เวลาดีๆ ไปทั่ว Spiti Valley กับ Vincent และ Marlene ซึ่งผมยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบพวกเขาระหว่างทาง พวกเขาปั่นจักรยานมาเป็นระยะเวลานานจากฝรั่งเศสจนถึงที่นี่ ผมได้แบ่งปันความทรงจำดีๆ และการผจญภัยอันยอดเยี่ยมใน Spiti รวมถึงการไต่เขาอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อนด้วยจักรยานร่วมกับพวกเขา นั่นคือฉากที่เต็มไปด้วยเหงื่อ น้ำตา และความบ้าคลั่งอันสุดกู่บนความสูง 4,680 เมตรเหนือน้ำทะเล ตอนนี้เมื่อมองย้อนไปกลับไปยังความหัศจรรย์และเสียงหัวเราะเหล่านั้น ผมกลับพบว่าได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมายจากทั้งคู่ ทั้งเกี่ยวกับการตั้งแคมป์ เกี่ยวกับการใช้วันเวลาเพื่อเพลิดเพลินไปกับ ณ ขณะที่เราอยู่ และเหนืออื่นใด ก็คือการเลือกที่จะไม่พาตัวเองไปสู่ความเจ็บปวด
เราแยกทางกันที่อัมริตสา พวกเขาจะบินไปยังอัลมาตี้ และผมกำลังจะเดินทางผ่านปากีสถาน เราต่างสัญญากันว่าจะกลับมาพบกันอีกครั้งที่คาซัคสถาน และเมื่อถึงเวลานั้นเราจะปั่นจักรยานไปด้วยกัน
หลังจากปั่นจักรยานมายาวนาน มันยอดเยี่ยมมากที่ได้ร่วมทางกับผู้คนอันมหัศจรรย์ที่ Spiti Valley
หลังจากโบกมือล่ำลา ผมก็เตรียมตัวเพื่อเข้าสู่ปากีสถาน แม้ว่าผู้คนที่ผมได้บอกพวกเขาถึงแผนการจะกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในปากีสถานอยู่ไม่น้อย แต่การเดินทางสู่ปากีสถานครั้งนี้ก็มีเรื่องยอดเยี่ยมอยู่เช่นกัน นั่นคือความต้องการที่จะค้นพบตัวเองอีกครั้งหนึ่ง