Farm Story House

ชายหนุ่มผู้ตัดสินใจบอกลาเมืองหลวง เพื่อสร้าง Farm Story House ที่บ้านเกิด

เพียงก้าวแรกที่เราย่างเข้ามาใน Farm Story House ช่างภาพของเราก็ออกปากทันที “เหมือนจะมาถ่ายบ้านคู่รักเลย” ซึ่งหลังจากนั้นบรรยากาศก็เป็นไปดังว่า ความรักของ ‘เจ้ง’ – กฤช และ ‘เบน’ – เบญญาภา ทองเหลือง นั้นไม่ได้หวือหวาจี๊ดจ๊าด เหมือนหนุ่มสาววัยรุ่น แต่ความอบอุ่นของคู่ชีวิตลอยกรุ่นอยู่ในอากาศ และอวลละไมจนทุกคนที่มาเยือนสัมผัสได้แทบจะในทันที

farm story house

 

     ที่จริงผมคิดอยากกลับบ้านมาตลอด แต่พอซื้อบ้าน แต่งงาน มีลูก ก็ยังไม่ได้กลับสักที จนลูกคนที่ 2 คลอด ลูกคนโตเข้าโรงเรียน ก็เริ่มเห็นว่าตอนนี้ชีวิตเราเข้าแพตเทิร์นคนกรุงเทพฯ แล้วนะ วงจรชีวิตเหมือนแยกเป็นสองส่วน คือเราต้องก้มหน้าก้มตาทำงาน เพื่อจะได้มีเวลาหยุดแล้วไปอยู่กับครอบครัว วนๆ อยู่อย่างนี้

     อีกอย่างเคยสังเกตว่าถ้าพาลูกไปเที่ยวป่าเขาจะตื่นเต้น ชอบมากเวลาได้เห็นดิน เห็นต้นหญ้า ก็เลยนึกได้ว่า อ๋อ บ้านเรามันไม่มีดินไง มีแต่ปูน มีแต่พื้นแข็งๆ นึกย้อนถึงบ้านที่ตัวเองโตมาแล้วก็อยากให้ครอบครัวได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้นบ้าง ผมทำงานสารคดี ถ่ายสัตว์ป่า ถ่ายธรรมชาติ รู้สึกว่าเวลาเราอยู่ในป่าชีวิตมันนุ่มนวลกว่าอยู่ในเมือง ก็เลยคิดว่าเราอยากเปลี่ยนวงจรชีวิตแล้ว

     ประกอบกับงานสารคดี Wild Thailand ที่ใช้เวลาทำ 5 ปี และเป็นความฝันของเราเสร็จสิ้นไปด้วยดี รู้สึกว่าเป็นอิสระแล้ว เลยตัดสินใจลาออกจากงาน กลับบ้าน

 

 

     ผมตัดสินใจกลับเชียงใหม่ ส่วนหนึ่งคือมีครอบครัวเป็นฐานที่มั่น พ่อแม่และพี่สาวผมก็ยังอยู่บ้านเดิม ตัวเมืองเองยังมีความเป็นธรรมชาติ และมีที่ดินอยู่ ก็เลยคิดว่า เอาวะ สร้างบ้านในสวน ปลูกผักกินเอง ไม่ต้องใช้เงินเยอะ อุดมคติมาก (หัวเราะ)

     เริ่มปลูกข้าวก่อน ซึ่งกินกันเองไม่หมด เลยลองเอาไปฝากขาย ตอนนั้นไม่มีพื้นฐานการเกษตรอะไรเลย กูเกิลเอา แล้วก็ไปอบรม ไปหาปราชญ์ชาวบ้านที่เขาทำเกษตรอินทรีย์แบบเดียวกับที่เราสนใจ แล้วก็ทดลองทำไปเรื่อยๆ

     สำหรับผมชีวิตเกษตรกรไม่ยากนะ เพียงแต่เราต้องเรียนรู้และรับฟังสวนของเรา เหมือนกับเลี้ยงลูกเลย ถ้าเราอยู่กับมันทุกวันเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเองว่าตรงนี้แล้งไป ปลูกต้นนี้ไม่ได้ ตรงนี้ปลูกอันนี้แล้วงามดี เวลาเห็นผลผลิตที่ได้มาก็เหมือนกับได้เห็นเด็กที่เราเลี้ยงมาเติบโต

 

farm story house

 

     ทำไปสักพักพบว่าเราจะอยู่แค่ในโลกของเราไม่ได้ มันต้องเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ด้วย ความที่เรายังมีพ่อแม่ที่ต้องดูแล และไม่อยากให้เราแยกตัว ลูกก็ยังต้องเรียนหนังสือ เลยไปอยู่สวนเต็มตัวไม่ได้ ลำพังผลผลิตจากสวนก็ไม่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด เพราะเราไม่ได้ทำเกษตรเชิงเดี่ยวที่ผลิตพืชอย่างเดียวเยอะๆ จึงขายลำบาก เรามีของอย่างละนิดละหน่อย ถ้าไม่มีหน้าร้านเองหรือลูกค้าที่มารับซื้อตรง พ่อค้าคนกลางเขาก็จะมองว่าน้อยไป ไม่คุ้มที่จะมาซื้อจากเรา ซึ่งก็เข้าใจได้ เลยต้องหาวิธีที่ทุกอย่างจะมาพบกันครึ่งทาง หาหน้าร้านเพื่อขายผลผลิต แต่พอได้สถานที่ตรงนี้ ร้านอาหารกับห้องพักมันก็ตามมาเอง (หัวเราะ)

 

farm story house

 

     ความสุขของการได้อยู่บ้านคือ รู้สึกว่าเราได้อยู่กับครอบครัว มีเวลาเล่นกับลูก มีเวลารับฟัง มีเวลาสอนเขาในสิ่งที่จำเป็น ได้อยู่กับแม่ ที่แม้ว่าเราจะโตป่านนี้แล้วก็ยังอยากทำกับข้าวให้ลูกกินอยู่ และเราก็ยังอยากกินข้าวฝีมือแม่อยู่ หรือว่าบางทีได้เห็นลูกเล่นกับปู่ย่าตายาย ได้ฟังย่านินทาหลานว่าวันนี้มันทำยังงั้นยังงี้ (หัวเราะ) นั่นล่ะครับความสุข

 

farm story house