การปรับตัว

The Coffee Diaries: 4 | เดือน (แรก) แห่งความทุรนทุราย

ย้อนกลับมามองเมื่อผ่านพ้นบททดสอบก็สามารถยิ้ม กระทั่งขำในอารมณ์ดาร์กสุดๆ ของตัวเอง ณ ตอนนั้น ดีใจที่สามารถก้าวข้ามความรู้สึกแย่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากมนุษย์ผู้ชื่นชอบการเร่ร่อนสู่การอยู่กับที่กับทาง ภูมิใจในตัวเองที่อดทนมากพอในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งการปรับตัวในทุกๆ ด้าน ใช่แล้ว มันเป็นไปตามคาดนั่นแหละว่าการตัดสินใจมาค้าแรงงานต่างบ้านต่างเมืองนั้นเปรียบเสมือนการลองของ รู้ว่าต้องเจอดีแน่ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ นี่ขนาดเตรียมตัวเตรียมใจรับมือเต็มที่แล้วก็ยังน่วมยังอ่วมแทบกระอักเลือดกันเลยทีเดียว

การปรับตัว

 

     โลกทั้งใบหม่นลงหลังจากผ่านสัปดาห์แรกของการมาอยู่ ณ โบเกเต และยังคงหมองลงมากขึ้นอีกในสัปดาห์ต่อมา จนถึงขีดที่รู้สึกเหมือนกำลังดิ่งลงเหว เหมือนคนกำลังกระทำ suicide mission หรือไม่ก็กระโดดลงสู่ความลึกแห่งมหาสมุทร สำลักน้ำและกำลังจมลงชนิดไม่รู้จะตะกายกลับขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างไร… ใช่ ตอนนั้นผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

     หมายถึงช่วงปรับตัวไง โครตเหนื่อย (ฉิบ) องค์ประกอบหลักของความยากน่าจะมาจากสี่ซ้าห้าอย่างนี่ล่ะ คือสภาพลมฟ้าอากาศ งานใหม่ การผูกมิตรสร้างเพื่อนใหม่ จริตคนและวัฒนธรรมที่แตกต่าง และสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับมนุษย์ผู้ซึ่งไม่ได้อยู่ติดที่ติดทางสิบกว่าปีก็คือการอยู่ นิ่งๆ’ ไง ให้ตายเถอะ!

     สภาพอากาศน่าจะเป็นอันดับแรกที่ต้องรับมือ ธรรมชาติของเขาช่วงต้นปีที่นี่คือลมกระโชกแรงหอบเอาฝอยฝนมาจากฝั่งแอตแลนติก คนท้องถิ่นรู้ดีและเรียกมันว่า บาฮาเรเค บนดอยที่มีความสูงหนึ่งพันเมตรนิดๆ จากระดับน้ำทะเล อากาศเย็นอยู่แล้ว ยิ่งเจอลมแรงแบบนี้ยิ่งหนาวเพิ่มขึ้นไปอีก เสียงลมพัดกระหึ่มหวึ่งๆ ดังตลอดเวลาชนิดที่ผมต้องตะโกนถามลมแรงด้วยความสงสัย “คุณลมครับ พัดทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ไม่เหนื่อยพัดบ้างหรือไง” ลมแรงแบบนี้เดินเหินไปมาไม่ใส่เสื้อกันหนาวมีสิทธิ์ป่วยเอาได้ง่ายๆ และผมก็เริ่มเป็นหวัดเพราะความไม่รู้ทันนี่แหละ แต่ถึงจะไม่สบายเนื้อตัวก็ไม่ลางาน เพราะประเดี๋ยวจะโดนคนเขาเข้าใจผิดคิดว่าอู้งาน ไม่สู้งาน ก็ประคองร่าง (อด) ทนไปทำงาน ซื้อหยูกยามากิน ซื้อขิงสดมาต้มใส่น้ำผึ้งผสมเกลือป่นจิบอะไรก็ว่าไป

 

การปรับตัว

 

     นอกจากนั้น ในส่วนของตำแหน่งงานกับหน้าที่ซึ่งต้องรับผิดชอบก็ยังไม่ชัดเจน ใกล้เคียงสุดก็น่าจะเป็น เด็กฝึกงาน ประมาณว่าเขามีอะไรให้ทำก็ทำไป คิดดูว่าคนอายุเกินหลักสี่มาเป็นเด็กฝึกงาน อืม… ก็นะ ก็ยากขึ้นอีกหนึ่งสเต็ป เพราะไม่รู้ว่าหัวหน้างานเขาอยากให้ทำอะไรจำเพาะเจาะจงบ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของเขา เพราะเขาก็ไม่รู้ด้วยเช่นกันว่าอีตาคนไทยที่มาปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่สามารถทำงานใดจริงๆ ได้บ้าง แค่นี้ก็ชวนให้เพลียจิตยกกำลังสองแล้ว

     โอเค ประการถัดมา ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ย่อมต้องเป็นสัตว์สังคม มาอยู่นี่ผมก็เลยรู้สึกว่าอยากมีเพื่อนฝูง พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะได้เบลนด์อิน จะได้เป็นที่ยอมรับ พลังงานชีวิตอีกก้อนใหญ่จำต้องเจียดไปเพื่อการนี้ ด้วยควาอินโทรเวิร์ตส่วนหนึ่ง กับโดยส่วนตัวไม่ได้ต้องการเพื่อนที่รู้จักกันแค่ผิวเผินประเภทชวนกินชวนเที่ยว มันตื้นเขินเกินไปและมีประโยชน์น้อย แต่อยากได้เพื่อนที่คุยภาษาเดียวกันรู้เรื่อง ในที่นี้หมายถึงมีทัศนคติและวิธีคิดคล้ายคลึงกัน แต่ในสังคมใหม่แบบนี้ก็ตามหากันเหนื่อยหน่อย

     ความแตกต่างทางวัฒนธรรมไม่ได้ถึงขั้นทำให้เกิด culture shock แต่มีส่วนผสมโรงสร้างความปั่นป่วนอยู่พอประมาณ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น อาหารการกินของคนแถบนี้ซึ่งไม่นิยมเผ็ดจัดจ้านเหมือนฝั่งเอเชีย หรือการไม่คุ้นชินกับกลิ่นกะปิ น้ำปลา ตะไคร้ โหระพา ขิง ข่า ทำกับข้าวทีกลัวจะพาลไปรบกวนชาวบ้านบ้าง ชวนใครกินข้าวต้องทำกับข้าวแบบลดดีกรีทุกอย่างลงเหลือแค่ 20-30% ของที่ทำกินเอง หรืออย่างภาษา คนที่นี่พูดสแปนิช ถ้าแค่ใช้เพื่อการสื่อสารเบื้องต้นแบบงูๆ ปลาๆ ก็ถูไถได้อยู่หรอก แต่กับการสื่อสารเพื่อการทำงานนี่งงเป็นไก่ตาแตก คนเขาพูดกันพอไม่เข้าใจก็พยายามให้เขาช่วยแปลให้ แต่จะขอให้เพื่อนร่วมงานแปลทุกอย่างก็ใช่เรื่องอีก เหนื่อยยกกำลังสี่เข้าไปอีกงานนี้ หนักเข้าก็เริ่มมีดราม่า พอเห็นเขาคุยกันไอ้เจ้าความคิดตัวดีนี่แหละยุยงในหัวต่างๆ นานา “เฮ้ย เขาอาจจะกำลังวิจารณ์หรือนินทาแกอยู่ก็ได้นะ!” ทำเอาเซลฟ์เอสตีมหดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด พลังงานชีวิตหดหายไปเยอะมากแล้ว ณ จุดนี้

     ปราการด่านยากสุดเห็นจะเป็น การต้องปักหลักอยู่กับที่ นี่ล่ะ ตลอดสิบปีเศษที่ผ่านมาผมทำงานฟรีแลนซ์ จัดตารางงานและเวลาว่างเอง ทุกอย่างยืดหยุ่นมาก งานทั้งหมดเอื้อให้เดินทางตะลอนตุเลงโดยตลอด ยิ่งกว่านั้น พอว่างจากงานก็เอาเวลาสี่ห้าเดือนต่อปีไปปั่นจักรยานท่องโลก ชอบตรงไหนอยู่นานหน่อย เบื่อที่ไหนก็ไปต่อหาได้แคร์ไม่ ชินเสียยิ่งกว่าชินกับไลฟ์สไตล์แบบนี้ ดังนั้น การจะต้องกลับเข้ากรอบก็ไม่ต่างจากการโดนผู้คุมเรียกเข้าคุก จะลงแดงก็คราวนี้แหละ เพราะต้องทำงานจันทร์ถึงศุกร์เต็มวัน กับเสาร์อีกครึ่งวัน เจอสิ่งที่ไม่ถูกใจก็หนีไม่ได้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องทน ในกรณีนี้ การกลับเข้าสู่ระบบปกติกลับเป็นสิ่งที่อยู่นอก comfort zone

     นั่นแหละ รวมสิ่งอย่างสารพัดเหตุปัจจัยก็ทำให้รู้สึก ทุกข์(หนัก) เข้าสู่สัปดาห์ที่สามของเดือนแรกก็เริ่มจิตตกขั้นรุนแรง จนสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าไปแล้วหรือเปล่า ฟุ้งซ่านมากที่สุด สติหดหายไปไหนก็ไม่รู้ ปัญญาหรือ อย่าถามถึงเลย ง่อยสนิท เรียกได้ว่าเกิดอาการทุพพลภาพทางสุขภาพจิต ผมรู้แค่ว่าไม่ชอบความรู้สึกและชีวิต ณ ขณะนั้นมากที่สุด ไม่ต้องการจมอยู่กับสภาวะแบบนั้น แต่ไม่อยากหนีเพราะนั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี เพราะถ้าหนีก็ต้องหนีไม่มีที่สิ้นสุด แค่ต้องการหลุดออกจากวงจรอุบาทว์นั่น อยากรู้สึกสงบให้มากพอ ว่าแล้วก็งัดเอากำลังภายในก้อนสุดท้ายออกมา ใช้เพื่อค้นหาทางออกสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

     ทำอย่างไรน่ะเหรอ เยอะเลย ทุกวิถีทางมาหมด ทุกกูรูบู๊บุ๋น ตั้งแต่เซเลบริตี้ทางจิตวิทยาร่วมสมัยอย่างขุนเขามีคำตอบ น้องฌอน บูรณะหิรัญ นิ้วกลม หรือ podcast RUOK หรือทางช่องยูทูบโรงพยาบาลจิตเวชว่าด้วยโรคซึมเศร้าและการจัดการกับอาการดาร์กๆ (ผมไม่ได้ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายนะ แค่เหนื่อยที่จะต้องแบกความรู้สึกแสนหนัก) เขาแนะนำอย่างไรก็ลองทำดู อย่างเช่นให้ฝึกกายเคลื่อนเร็วขึ้น ใจเคลื่อนช้าลง ใช้วิธีปั่นจักรยานเป็นบ้าเป็นหลังซึ่งก็ช่วยได้ประมาณหนึ่ง หนังสือ The Power of Now หยิบยืมจากเพื่อนข้างห้องเช่า อ่านแล้วก็ช่วยเรียกสติได้บ้าง แต่ก็เหมือนเป็นยาบรรเทาปวดลดไข้ หรือบทเทศนาของพระอาจารย์ไพศาลว่าด้วยการจัดการทุกข์ทั้งหลายแหล่ (ฟังและดูผ่านยูทูบ) ก็มีส่วนช่วยได้มากทีเดียว จุดนี้เห็นว่าปรัชญาตะวันออกมีจุดแข็งมากทีเดียว

การปรับตัว

 

    แต่ความเข้มแข็งก็ยังคงอ่อนด้อยเกินกว่าจะยอมรับสถานการณ์อยู่ดี เช้าวันใหม่ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างเดือนแรกกับเดือนที่สองของการมาอยู่ที่นี่ ผมยังรู้สึกเกินทน นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นครึ่งเดือนแล้ว ไม่อยากทนอีกต่อไป เช้าวันนั้นไก่ยังไม่ทันโห่ ผมสวมรองเท้า ออกวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งเป็นบ้าเป็นหลัง ตะโกนขึ้นฟ้า ระบายทุกความอึดอัด ทุกความสับสน ผมไม่แน่ใจว่าเสียงกรีดร้องโหยหวนนั้นได้ยินถึงพระเจ้าหรือเปล่า

     ณ จุดนั้นเอง กลายเป็นจุดพลิก ฟ้าค่อยๆ เปิด แสงสว่างเริ่มแยงลงมาทีละนิด ใจเริ่มสงบมากขึ้น …นั่นจะเรียกว่าคือการอัศจรรย์หรือไม่ผมไม่ฟันธง รู้แค่ว่าศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ค่อยๆ ฟื้นกลับคืนมาแล้ว

 


<<ตอนที่แล้ว          ตอนถัดไป>>