mob culture

‘ม็อบป๊อปคัลเจอร์’ เมื่อ Pop ชน Mob

ระยะหลังมานี้คุณอาจจะสังเกตเห็นว่าการชุมนุมประท้วงเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก 

        โดยเฉพาะปี 2019 นั้นนับว่าเป็นห้วงเวลาแห่งการลุกฮือเลยก็ว่าได้ เพราะการประท้วงครอบคลุมตั้งแต่ทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรป จนถึงเอเชีย 

        แต่นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าการชุมนุมประท้วงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษยชาติมาหลายยุคหลายสมัย และเป็นบทบาทสำคัญที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ยิ่งในบริบทปัจจุบัน การประท้วงดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะนี่คือเสียงของประชาชน 

        เสียงนั้นอาจแสดงออกมาในรูปของคำพูด ภาษา การกระทำ การจัดกิจกรรม การวางนโยบาย ไปจนถึงการสร้างสถานการณ์ก็ได้ แต่โดยรวมแล้วเสียงที่เปล่งออกมามีเจตจำนงเพื่อคัดค้านหรือเรียกร้องในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  

 

mob culture

คลื่นการประท้วงระลอกใหม่ที่กำลังจะซัดเข้าหาฝั่ง 

        แม้เหตุประท้วงในแต่ละพื้นที่จะมีชนวนและความซับซ้อนของปัญหาภายในที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือคลื่นการประท้วงในหลายพื้นที่มีลักษณะร่วมบางอย่าง

        หากย้อนกลับไปไล่เรียงเหตุการณ์ในอดีต จะพบว่า ยุค 1960s ถือเป็นการประท้วงของคนหนุ่มสาวเพื่อต่อต้านสงคราม การเหยียดสีผิว ความไม่เท่าเทียม และปัญหาความไม่เป็นธรรมทางสังคมที่ต่อมาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐอเมริกา แต่ขยายมาสู่การประท้วงในญี่ปุ่นด้วย

        จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่ยุคปลาย 1980s-1990s ก็เป็นการประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในแถบลาตินอเมริกา เอเชีย และยุโรปตะวันออก ก่อนโลกอาหรับจะตามออกมาประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2010-2012 ด้วยเช่นกัน แต่ที่น่าสนใจคือ การเรียกร้องประชาธิปไตยกำลังกลับมาเป็นหนึ่งในสาเหตุของการชุมนุมประท้วงอีกครั้ง 

        จากรายงานของ V-Dem สถาบันวิจัยด้านประชาธิปไตยแห่งประเทศเดนมาร์ก พบว่าเมื่อปี 2019 ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบกึ่งอำนาจนิยม อำนาจนิยม และเผด็จการ เพิ่มขึ้นเป็น 92 ประเทศ ตัวเลขนี้เท่ากับว่าประชากรโลกราว 54% อยู่ภายใต้ระบอบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศซึ่งเคยเป็นเสาหลักของประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกาก็เผชิญภาวะถดถอย การประท้วงจึงเป็นสิ่งที่เกิดเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

        ไม่เพียงแค่ปัญหาประชาธิปไตยไม่เต็มใบอย่างเดียวที่เป็นชนวนให้เกิดคลื่นการประท้วงระลอกใหม่ แต่ทางองค์กร Amnesty ยังพบว่าปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ การทุจริตและเพิกเฉยของชนชั้นนำทางการเมือง รวมถึงสิทธิพลเมืองและปัญหาสิ่งแวดล้อมก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการประท้วงเช่นกัน

        ท่ามกลางข้อมูลข่าวสารที่ไหลเวียนอย่างเรียลไทม์บนโลกออนไลน์ เป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั่วโลกจะมีความตื่นตัวต่อประเด็นต่างๆ นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าการประท้วงยุคใหม่มักเริ่มต้นขึ้นจากความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียก่อน เมื่ออารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาค่อยๆ สะสมมาจนถึงจุด ‘ปรอทแตก’ ความกลัวจะทลายลง ผู้คนผละจากการอยู่หน้าจอ แล้วเดินออกไปบนท้องถนนแทน ที่สำคัญ กลุ่มผู้ประท้วงยุคใหม่จะสามารถมี ‘เจตจำนงร่วม’ (Collective Will) ได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน เพราะโซเชียลมีเดียเผยให้เห็นว่ามีคนอื่นๆ คิดเหมือนตัวเองและสามารถรวมกลุ่มกันได้ง่าย ซึ่งเมื่อที่หนึ่งออกมาเคลื่อนไหว ก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้อีกที่อยากจะลุกขึ้นเช่นเดียวกัน 

จากม็อบยุคเก่าสู่ม็อบยุคใหม่ 

        การประท้วงเกิดขึ้นได้ตั้งแต่การแสดงจุดยืนส่วนบุคคล เหมือน ‘เกรตา ธันเบิร์ก’ ที่หยุดเรียนทุกวันศุกร์ออกมาประท้วงเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมจนปลุกการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของกลุ่มเยาวชน หรืออาจจะเป็นการรวมตัวกันเป็นมวลมหาประชาชนอย่างที่พบเห็นเสมอมาก็ได้ 

        ส่วนรูปแบบการประท้วงนั้นมีหลากหลายขึ้นอยู่กับผู้ชุมนุมเลยว่าจะให้แบบไหน แต่ที่เก่าแก่ที่สุดจะเป็นลักษณะรวมตัวกันเดินขบวนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยมักเลือกสถานที่ที่มีความสำคัญต่อประเด็นการประท้วงนั้นๆ ไม่ก็เป็นสถานที่สำคัญของประเทศ หลังจากการเดินขบวนไปจนถึงจุดหมาย ผู้คนก็จะฟังการปราศรัย พร้อมมีการแสดงและการเล่นดนตรีต่างๆ

 

mob culture

 

        อีกรูปแบบที่เห็นกันอย่างแพร่หลายคือการยึดพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งไว้เป็นเวลานาน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการยึดจนกว่าประเด็นที่เรียกร้องจะสำเร็จ เมื่อสำเร็จแล้วก็จะยอมออกจากพื้นที่ แต่ถ้าหากการประท้วงขยับเพดานเข้าสู่ขั้นรุนแรง การประท้วงก็อาจอยู่ในแบบปิดล็อกสถานที่บางแห่งเอาไว้ เช่น ปิดสนามบิน ปิดสถานที่ราชการ และปิดถนน เพื่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง 

        นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการประท้วงด้วยการอดอาหาร การลงชื่อเรียกร้อง การเปลือยกาย การชูป้าย การแกล้งตาย และอื่นๆ อีกมากมายขึ้นอยู่กับความสร้างสรรค์ของผู้ชุมนุม ดังนั้น รูปแบบของการประท้วงจึงไม่ได้หยุดนิ่งตายตัว แต่ปรับเปลี่ยนและพัฒนาลื่นไหลไปตามยุคสมัย เหมือนช่วงที่ผ่านมา ‘แฟลชม็อบ’ (flash mob) รูปแบบการเคลื่อนไหวทางการเมืองของผู้ชุมนุมชาวฮ่องกง ได้กลายเป็น ‘โมเดล’ ให้กับอีกหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน 

        แต่รู้กันไหมว่าจุดตั้งต้นในการทำแฟลชม็อบมีจุดประสงค์เพื่อความบันเทิง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองแต่อย่างใด แถมมันยังเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2003 ด้วยไอเดียนึกสนุกของ ‘บิลล์ วาสิค’ (Bill Wasik) บรรณาธิการอาวุโสของนิตยสาร Harper’s ที่ส่งอีเมลให้ 130 คน มารวมตัวกันที่แผนกขายพรมสุดหรูในห้างดัง Macy’s ย่านแมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา พร้อมกระชับว่า หากมีพนักงานขายเดินเข้ามาถาม ให้ทุกคนตอบกลับไปว่ามาจากชุมชนแห่งหนึ่งในย่านชานเมืองของนิวยอร์ก จะมาซื้อพรมแห่งความรักไปไว้ในชุมชน และจะตัดสินใจซื้อก็ต่อเมื่อทุกคนเห็นชอบแล้วเท่านั้น ก่อนจะแยกย้ายกันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางความงุนงงของพนักงาน

        อย่างไรก็ตาม การชุมนุมแบบแฟลชม็อบของฮ่องกงไม่เพียงแค่นัดหมายกันอย่างฉับพลันและสลายการชุมนุมแบบทันท่วงทีเท่านั้น แต่พวกเขายังใช้กลยุทธ์ ‘blossom everywhere’ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการกระจายตัวเป็นกลุ่มเล็กๆ ไปทั่วเมืองและมีการนัดหมายกันอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งใช้กลยุทธ์ ‘formless shapeless, like water’ หรือทำให้เป็นรูปเป็นร่างน้อยที่สุด โดยใช้แอพฯ แชตที่มีความปลอดภัยสูงเป็นเครื่องมือในการอัพเดตความเคลื่อนไหวการประท้วงและเตือนภัยผู้ชุมนุม ทั้งยังมีกรุ๊ปของทนายและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์คอยให้คำแนะนำผู้ประท้วงในแนวหน้า รวมถึงให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมที่อยู่ในแชตสามารถตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ว่าจะเคลื่อนไหวขั้นต่อไปอย่างไร

        จะเห็นได้ว่าโซเชียลมีเดียเป็นถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ม็อบยุคนี้แตกต่างจากหลายปีก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่นอกจากความสะดวกในการสื่อสารแล้ว โซเชียลมีเดียยังเป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดการประท้วงแบบ ‘ไร้แกนนำ’ ที่มีข้อดีในแง่ที่ว่ารัฐบาลไม่สามารถพุ่งเป้าไปปราบปรามหรือกดดันผ่านแกนนำได้โดยตรง แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะปราบปราบทุกคนไปเลยพร้อมกัน 

        การประท้วงแบบไร้แกนนำเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับความผิดพลาดของ ‘ขบวนการร่ม’ (Umbrella Movement) ในปี 2014 ซึ่งรวมศูนย์การสั่งการไว้ที่ผู้นำไม่กี่คน เมื่อคนเหล่านี้ถูกจับ ขบวนการก็เสียหลัก แต่นัยหนึ่ง ความสำคัญของแกนนำก็ถูกโซเชียลมีเดียเข้ามาทำหน้าที่แทน เมื่อก่อนแกนนำคือคนที่ปลุกระดมการชุมชนหรือปราศรัยเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร แต่ยุคนี้ทุกคนสามารถเสพข่าวได้ภายในคลิกเดียว การไปม็อบจึงไม่ใช่การไปรับฟังข้อมูลจากใคร แต่ไปเพื่อแสดงออกมากกว่า อาจจะเป็นการแสดงออกถึงอุดมการณ์ทางการเมือง แสดงออกถึงตัวตน และแสดงออกถึงความชอบก็ได้ เหมือนที่ทุกคนแสดงออกกันผ่านทางโซเชียลมีเดียเป็นปกติ

        นี่เองที่ทำให้ม็อบยุคใหม่กลายเป็นศิลปะการประท้วงแบบสร้างสรรค์ โดยการหยิบ Pop Culture มาเป็นเครื่องมือสำหรับใช้แสดงออกและเรียกร้องทางการเมืองไปพร้อมกัน 

 

mob culture

Pop Culture กับกิมมิกแห่งการก่อม็อบ

        วัฒนธรรมและการเมืองไม่เคยแยกออกจากกัน ตลอดมาวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการครองอำนาจนำ (Hegemony) ที่ชนชั้นปกครองใช้ควบคุมความหลากหลายทางวัฒนธรรม ด้วยการป้อนอีกชุดความคิดหนึ่งที่อาจจะเป็นความเชื่อ ค่านิยม และจารีตต่าง ๆ  ให้กลายเป็นบรรทัดฐานที่ถูกยอมรับ แต่ในทางเดียวกันวัฒนธรรมก็เป็นเครื่องมือของการต่อต้านด้วยเช่นกัน 

        การชุมนุมของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่า ป๊อปคัลเจอร์ (Pop Culture) กลายมาเป็นธีมหลักในการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ‘ม็อบไม่มุ้งมิ้งแต่ตุ้งติ้งค่ะคุณรัฐบาล’ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่อง หอแต๋วแตก ‘ม็อบแฮมทาโร่’ ที่เป็นการ์ตูนดังแห่งยุค 90s และ ‘ม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์’ วรรณกรรมระดับโลกที่ทุกคนต้องรู้จัก

 

mob culture

 

        สังเกตกันไหมว่าเกือบทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็น Pop Culture ที่มาจากโลกภาพยนตร์ หากยุคหนึ่ง ‘สี’ คือสัญลักษณ์ทางการเมือง ยุคนี้ก็คงเป็นยุคของ ‘หนัง’ เพราะตั้งแต่บริการวิดีโอสตรีมมิงถือกำเนิดขึ้นมา ไม่ว่าใครก็สามารถดูหนังเรื่องโปรดได้จากที่บ้าน แถมหนังยังเป็นกิจกรรมสุดโปรดที่คนรุ่นใหม่มีร่วมกัน ฉะนั้น เมื่อหนังถูกนำมาเล่าเรื่องการเมือง ทุกคนจึงสามารถ ‘เก็ต’ สิ่งที่ต้องการจะสื่อสารได้ 

        การประท้วงในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะในไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นอีกหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งหนังที่ถูกหยิบนำมาใช้ส่วนใหญ่อาจมีตัวละครหรือเนื้อเรื่องที่สอดคล้องกับชนวนเหตุในการประท้วง

        สัญลักษณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองในศตวรรษที่ 21 ที่พบเห็นกันอย่างแพร่หลาย คงหนีไม่พ้นหน้ากาก ‘กาย ฟอว์กส์’ (Guy Fawkes) จากภาพยนตร์เรื่อง V For Vendetta (2005) ซึ่งตัวเอกมีพฤติกรรมแนวอนาธิปไตย เคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างรัฐบาลเผด็จการ พร้อมสวมหน้ากากสีขาวที่ถอดแบบจากใบหน้าของ กาย ฟอว์กส์ ผู้ก่อกบฏวางแผนสังหารกษัตริย์อังกฤษในช่วงต้นทศวรรษที่ 1600 

 

mob culture

 

        แต่ ‘หน้ากากดาลี’ จาก Money Heist (2017) ซีรีส์สัญชาติสัญชาติสเปนอันโด่งดังที่นำมาฉายทาง Netfilx ก็กำลังได้รับความนิยมตามมาติดๆ หลังถูกนำไปใช้ประท้วงในเปอร์โตริโก โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับทีมโจรกรรมที่วางแผนปล้นโรงกษาปณ์และธนาคารกลางแห่งชาติของสเปน ซึ่งระหว่างทำการปล้นพวกเขาจะสวมใส่ชุดจัมพ์สูทสีแดงสดและสวมหน้ากากรูปใบหน้าของ ซัลบาดอร์ ดาลี (Salvador Dali) ศิลปินที่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันทรงพลังของสเปน 

        อีกซีรีส์ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ในการเรียกร้องสิทธิสตรีคือ The Handmaid’s Tale (2017) ซึ่งสร้างมาจากนวนิยายดิสโทเปียนชั้นบรมครูของ มาร์กาเรต แอตวูด (Margaret Atwood) เกี่ยวกับการที่ผู้หญิงถูกลดทอนคุณค่าให้เป็นเพียงเครื่องบรรณาการของชนชั้นสูงเพื่อทำหน้าที่ตั้งครรภ์ ชุดคลุมสีแดง หมวกบอนเน็ตสีขาว จึงถูกสวมใส่เพื่อประท้วงประเด็นสิทธิสตรีตั้งแต่ในสหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา และไอร์แลนด์เหนือ 

        นอกจากนี้ ‘Joker’ (2019) ตัวร้ายแห่งก็อตแธมที่บอบช้ำจากการโดนสังคมกดทับ ก็เป็นหนังเรื่องล่าสุดที่ถูกนำมาใช้เพนต์หน้าและแต่งกายที่การประท้วงในเลบานอนและการชุมนุมอีกหลายแห่ง 

 

mob culture

        ส่วนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเพลง ‘Do You Hear The People Sing?’ จากละครเวทีและหนังคลาสสิกเรื่อง Les Misérables ซึ่งถูกผู้ประท้วงชาวฮ่องกงนำมาร้องเพื่อปลุกใจและแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อการตัดสินใจของรัฐบาลครั้งกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ครั้งแรกที่พบเพลงนี้ถูกนำมาใช้ในบริบทการเมืองไทย คือช่วงหลังการสลายการชุมชนกลุ่มคนเสื้อแดง ในปี 2553 โดยถูกนำมาแปลเป็นภาษาไทยในหลากหลายเวอร์ชัน และล่าสุดเพลงนี้ได้ถูกนำมาแปลเนื้อเรื่องเป็นภาษาไทย ก่อนจะร้องพร้อมกันในการชุมนุมของคณะประชาชนปลดแอกที่ผ่านมา

 

mob culture

        การที่ป๊อปคัลเจอร์ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์หรือกิมมิกในการประท้วงนั้น เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเพื่อต้องการให้เป็น ‘ไวรัล’ บนโลกโซเชียลฯ และลบภาพการประท้วงที่รุนแรงให้กลายเป็นการประท้วงที่สร้างสรรค์ โดยเฉพาะในประเทศไทยนั้นทุกคนยังคงติดอยู่กับภาพจำแบบเก่า เมื่อม็อบเกิดขึ้นด้วยความสนุกสนานบวกความตลกขบขันก็น่าจะช่วยให้ภาพเหล่านั้นๆ ค่อยๆ เปลี่ยนไป จนสามารถผลักให้ผู้คนก้าวลุกขึ้นมาประท้วงด้วยกัน 

        ป๊อปคัลเจอร์เองก็ถือเป็น soft power อย่างหนึ่งที่รัฐบาลมหาอำนาจแทบทุกประเทศใช้ โดยอาจจะมาในรูปของแฟชั่น หนัง ดนตรี การแสดง และภาษา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การสร้างการรับรู้หรือความนึกคิดของผู้คน และเศรษฐกิจ เห็นได้จากประเทศเกาหลีใต้ที่ประสบความสำเร็จมากในการสร้างป๊อปคัลเจอร์ของตัวเอง จนดึงเม็ดเงินเข้าประเทศมหาศาล เพียงแต่วันนี้ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลอีกแล้วที่นำป๊อปคัลเจอร์มาใช้ แต่ประชาชนเองก็หยิบเครื่องมือนี้มาใช้ต่อสู้กับรัฐบาลด้วยเช่นกัน

 

mob culture

เมื่อความขบขันเป็นพลังทางการเมือง

        ปฏิเสธไม่ได้ว่าอารมณ์ขันเป็นหนึ่งพลังทางการเมืองที่สำคัญ แถมยังเป็นการต่อสู้ทางการเมืองแบบสันติวิธี ระยะหลังมานี้เราจึงได้เห็นการใช้มุกตลกเสียดสีหรือเล่นโจ๊กเกี่ยวการเมืองบนโซเซียลมีเดียเป็นไปอย่างเข้มข้น

        การใช้ความตลกมาวิจารณ์สังคมและการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ทำกันมาตั้งแต่ยุคสมัยกรีกโบราณ โดยนักคิดยุคนั้น อริสโตฟาเนส (Aristophanes) สร้างละครขึ้นมาเพื่อการตำหนิสังคมชายเป็นใหญ่ วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) ก็มีบทประพันธ์ที่เสียดสีมาตรฐานสังคมโดยใช้การอุปมาอุปไมย ส่วนการ์ตูนเสียดสีก็มีมายาวนานตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 18 ถ้าเป็นยุคนี้ก็ต้องยกให้ครอบครัวซิมป์สัน 

        แคทเธอรีน แรนกิ้น (Katherine Rankin) นักประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย อธิบายว่า การเสียดสีทั้งในแง่บวกและในแง่ลบมีเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาตามสายวิวัฒนาการของมนุษย์เพื่อการเอาตัวรอดในชีวิตที่ประกอบกันเป็นสังคม การเสียดสีจึงเป็นการคัดกรองมิตรและศัตรูในวิธีหนึ่งด้วยการแบ่งว่าใคร ‘เก็ต’ หรือ ‘ไม่เก็ต’

        ปัจจุบันการใช้มุกตลกทางการเมืองส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปของ ‘มีม’ (Meme) ที่เป็นภาพและข้อความสั้นๆ ถ้าหากคุณอยู่ฝ่ายเดียวกัน คุณก็จะเข้าใจสารที่มีมนั้นอยากจะสื่อ เมื่อเข้าใจก็อยากจะแชร์ต่อ มีมจึงกลายเป็นเครื่องมือใหม่ที่ช่วยกระจายรูปแบบความคิดทางการเมืองไปด้วย

 

mob culture

 

        ผศ. ดร. จันจิรา สมบัติพูนศิริ ที่ศึกษาเรื่องนี้และเขียนไว้ในหนังสือ หัวร่อต่ออำนาจ : อารมณ์ขันและการประท้วงด้วยสันติวิธี กล่าวว่า การใช้ความตลกในการต่อต้านอำนาจนั้นสามารถไปไกลกว่าการโจมตีตัวบุคคล เพราะมันช่วยสั่นคลอนอำนาจด้วยการลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของระบบความคิดในสังคม ซึ่งระบบความคิดเหล่านี้ทำให้อำนาจของผู้นำเผด็จการใช้ในการดำรงอยู่ เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในกลุ่มต่อต้านรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในโปแลนด์และเช็กในช่วงสงครามเย็น หรือกลุ่มเยาวชนในจอร์เจียและยูเครนที่สามารถโค่นล้มรัฐบาลอำนาจนิยมได้จากการใช้มุกตลกเสียดสี 

        ย้อนกลับมาดูการเมืองไทย ตลอดช่วงที่ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เราถูกปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกแทบทุกทาง มุกตลกเสียดสีจึงเป็นสิ่งเดียวที่สามารถใช้ระบายความขับข้องใจและสื่อสารได้ในช่วงเวลานั้น จนถึงตอนนี้ความตลกและความขบขันก็ยังคงเป็นเครื่องมือที่ใช้เคลื่อนไหวทางการเมือง เห็นได้จากม็อบที่ผ่านมาซึ่งชูป๊อปคัลเจอร์ ชูความเป็นเฟสติวัล ชูความสนุกสนาน อาจจะเป็นเรื่องดีในแง่ที่ว่าเป็นการกระทำโดยสันติวิธี แต่สิ่งที่ต้องจับตามองก็คือช่วง 30 ปีที่ผ่านมาการประท้วงแบบสงบเรียบร้อยมีมากขึ้น ฝ่ายปราบปรามเองก็เรียนรู้ที่จะจัดการกับขบวนการแบบนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นไปได้ว่ารูปแบบการก่อม็อบแบบใหม่ๆ ก็อาจเกิดขึ้นมาเพื่อรับมือกับแนวโน้มนี้

 


ที่มา: