รีโอเดจาเนโร

สำรวจมุมมืดของรีโอเดจาเนโร ดินแดนแห่งพระเจ้าที่ปกครองด้วยอาชญากร

คริสเตียนาเดินกลับมาพร้อมกับไคเปอรีนจา (caipirinha) ค็อกเทลยอดฮิตที่ผสมจากรัมขาวของบราซิลที่เรียกว่าคาชาคา (Cachaça) น้ำมะนาว และน้ำเชื่อม เธอกำชับกับผมว่านี่คือเครื่องดื่มประจำชาติของบราซิล ถ้ายังไม่เมามายด้วยฤทธิ์ของไคเปอรีนจาก็จะไม่สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณของโคปาคาบานาได้เต็มที่ เธอว่าอย่างนั้น

        คริสเตียนาเป็นคนรีโอเดจาเนโร อยู่ที่นี่มาตั้งแต่กำเนิด เมืองรีโอเดจาเนโร หรือที่คนมักจะเรียกสั้นๆ ว่ารีโอ ถูกค้นพบโดยนักเดินเรือชาวโปรตุเกสในเดือนมกราคม ปี 1502 จึงตั้งชื่อบริเวณดังกล่าวว่าแม่น้ำแห่งเดือนมกราคม (January River) หรือ Rio de Janeiro ในภาษาโปรตุเกส แต่กว่าที่ชาวโปรตุเกสจะสร้างเมืองขึ้นบริเวณนี้ก็ต้องรอถึงปี 1565 โดยตั้งชื่อเมืองว่า St. Sebastian of January River และรีโอก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางอำนาจของโปรตุเกสในโลกใหม่มานับแต่นั้น 

        แต่ถ้าไปถึงแล้วก็ไม่ต้องมองหาแม่น้ำแห่งเดือนมกราคมนะครับ เพราะที่นั่นก็ไม่ได้มีแม่น้ำอะไรไหลผ่านเลย

        ชีวิตของคนรีโอในปัจจุบันหนีไม่พ้นชายหาด ทั้งหาดโคปาคาบานาอันโด่งดัง ทั้งหาดอีพาเนมา (Ipanema) อันเป็นจุดกำเนิดของเพลง The Girl from Ipanema หรือหาดเลบลอน (Leblon) ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมกกะของฟุตบอลชายหาด ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ทุกชายหาดจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทุกอาณาบริเวณถูกจับจองด้วยสารพัดกิจกรรม วอลเลย์บอลชายหาด ฟุตบอลชายหาด นั่งดื่มกินสังสรรค์ หรือพวกที่นั่งเงียบๆ อาบแดดละเลียดหนังสือเล่มโปรด

        หากอยากฟังดนตรีสดของที่นี่ ไม่ต้องรอกันจนดึกดื่น เพราะนักดนตรีตามบาร์ที่ตั้งอยู่ตลอดริมชายหาดก็เริ่มบรรเลงเพลงขับกล่อมตั้งแต่สายๆ ไปยันค่ำมืด เสียงเพลงผสานเสียงคลื่น สายลม และแสงแดด ไม่มีเพลงแบบไหนจะเหมาะสมไปกว่าเพลงบอสซาโนวาอีกแล้ว
(บอสซาโนวา แปลว่าคลื่นลูกใหม่ เป็นแนวดนตรีที่ถือกำเนิดขึ้นราวปี 1960s เป็นการผสมผสานทำนองของเพลงแซมบาและแจ๊ซ) 

        แซมบาเรียกได้ว่าเป็นท่วงทำนองประจำชาติของบราซิล มีรากฐานมาจากเพลงของชาวแอฟริกา เมื่อพวกเขาถูกกวาดต้อนข้ามมหาสมุทรมาใช้แรงงานเป็นทาสอยู่ในไร่อ้อยของอีกฝั่งทะเล ความผ่อนคลายเพียงไม่กี่อย่างที่หาได้ในชีวิตที่ถูกขูดรีดก็คือการเต้นรำไปกับเสียงเพลงที่สนุกสนาน มีคำกล่าวว่าคนบราซิลทุกคนรักการเต้นเป็นชีวิตจิตใจ ในยามค่ำคืนผับบาร์ร้านอาหารก็จะเปิดเพลงแซมบาให้ผู้คนออกมาเต้นรำ แต่ในยามกลางวัน ห้วงทำนองดนตรีก็จะช้าลงเป็นบอสซาโนวา แต่ก็ไม่วายที่เราจะเห็นคนบราซิลลุกขึ้นโยกย้ายไปกับเสียงเพลงกันตลอดเวลาไม่ว่าเพลงจะช้าแค่ไหน 

        ผมนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีที่ไหนในโลกที่จะเหมาะสมกับการเป็นต้นกำเนิดของเพลงบอสซาโนวาได้ดีไปกว่าบาร์เล็กๆ ริมหาดโคปาคาบานาแห่งเมืองรีโอนี้ ด้วยบรรยากาศแบบนี้เองที่ทำให้โคปาคาบานากลายเป็นหนึ่งในชายหาดที่โด่งดังที่สุดในโลก แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า จริงๆ แล้วหาดโคปาคาบานาไม่ได้มีแค่ที่บราซิล หากแต่ยังมีหาดเล็กๆ ชื่อเดียวกันที่มีชื่อเสียงน้อยกว่าอยู่ริมชายฝั่งทะเลสาบติติกากาแห่งเทือกเขาแอนดีส

 

รีโอเดจาเนโร

 

        ทะเลสาบติติกากาตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนประเทศเปรูและโบลิเวีย ที่ความสูง 3,800 เมตร กินพื้นที่ประมาณ 8,732 ตารางกิโลเมตร จัดเป็นทะเลสาบที่สูงที่สุดในโลกที่มีการเดินเรือสัญจรไปมาในทะเลสาบ 

        นักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่าทะเลสาบติติกากานี่เองที่เป็นต้นกำเนิดของวัฒนธรรมอินคา โดยจุดเริ่มต้นอยู่บนเกาะแห่งพระอาทิตย์ (Isla del Sol) ที่อยู่กลางทะเลสาบ ก่อนที่อารยธรรมอินคาจะแผ่อิทธิพลไปทั่วเทือกเขาแอนดีส โดยมีหลักฐานความรุ่งเรืองหลงเหลือให้เราเห็นมากมาย ทั้งที่ศูนย์กลางทางอำนาจของอินคาอย่างกุสโก หรือโบราณสถานลึกลับบนยอดเขาอย่างมาชูปิกชู แต่อารยธรรมอินคาที่เจริญรุ่งเรืองอยู่หลายร้อยปีก็ล่มสลายลงด้วยกองทัพสเปนที่นำโดยนายพลปิซาโร (Francisco Pizarro) และทหารอีกเพียง 168 นาย ในปี 1532 หลังจากนั้นดินแดนแถบนี้ก็ถูกปกครองโดยชาวสเปน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชาวสเปนรู้ว่าใต้ผืนแผ่นดินนี้เต็มไปด้วยโลหะมีค่าอย่างทองแดงและเงิน 

        สิ่งที่ติดตัวมาด้วยกับชาวสเปน นอกจากโรคระบาดที่ทำให้คนอินคาจำนวนมากล้มตายลงแล้ว ก็คือศรัทธา ชาวสเปนได้เผยแพร่ความเชื่อในศาสนาของเขาให้กับชนพื้นเมืองที่เริ่มมองผู้มาใหม่ว่าแข็งแกร่งกว่าชนเผ่าของตนเองเพราะแม้แต่กษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรอินคาอย่างอัตตาฮัวปา (Atahualpa) กลับถูกผู้มาใหม่คุมขังและประหารชีวิตในที่สุด 

        ถ้าอย่างนั้นแล้ว เทพเจ้าของผู้มาใหม่ก็น่าจะมีฤทธาและน่ากราบไหว้ศรัทธามากกว่าเทพเจ้าที่บรรพบุรุษของตนเคยกราบกราน ชาวอินคาจึงค่อยเริ่มที่จะละทิ้งเทพเจ้าองค์เดิมที่ไม่อาจปกป้องพวกตนได้ 

        ศาสนาคริสต์จึงเริ่มลงหลักปักฐานในผืนแผ่นดินแห่งใหม่นี้ จนปัจจุบันลาตินอเมริกาได้กลายเป็นภูมิภาคที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์มากที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิกายโรมันคาทอลิก แต่ก็คล้ายหลายที่บนโลก ที่ความเชื่อที่แตกต่างจะถูกผู้คนจับมาผสมผสานให้เข้ากับวิถีชีวิตและจิตวิญญาณของพวกตน ลูกหลานของชาวอินคาก็เช่นกัน เทพเจ้าและวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่เดิมก็มิได้ถูกลบเลือนหายไปเสียทีเดียว 

 

รีโอเดจาเนโร

 

        ผมเดินทางจากกรุงลาปาซ เมืองหลวงของประเทศโบลิเวีย ขึ้นเหนือเพื่อมุ่งหน้าสู่ประเทศเปรู ราว 4 ชั่วโมงบนถนนลัดเลาะสันเขาสูงชัน รถประจำทางก็จะพามาหยุดพักที่ปลายทางสุดท้ายก่อนจะข้ามชายแดนไปยังเปรู เมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบติติกากาที่ชื่อโคปาคาบานา ซึ่งสันนิษฐานกันว่ามาจากชื่อเทพเจ้าของชาวอินคาที่ชื่อโกตาคาบานาซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการเพาะปลูก

        ถนนในโบลิเวียได้ชื่อว่าอันตรายลำดับต้นๆ ของโลก ด้วยความที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง ถนนแคบลัดเลาะไปตามสันเขากลายเป็นจุดจบของชีวิตใครหลายคน เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับรถ เวลาที่ชาวโบลิเวียซื้อรถใหม่ สิ่งหนึ่งที่นิยมทำกันก็คือการปลุกเสกรถเสียก่อน เพื่อให้เจ้าของได้แคล้วคลาดจากอันตรายบนท้องถนน ซึ่งตรงนี้ก็คล้ายกับคนไทยเมืองพุทธอยู่ไม่น้อย ทั้งอันตรายบนท้องถนนที่เราก็อาจจะไม่แพ้โบลิเวียแม้ประเทศเราจะเป็นที่ราบ คนไทยอาจจะให้หลวงพ่อเกจิชื่อดังเป็นคนช่วยทำพิธี แต่สำหรับชาวโบลิเวียแล้ว ต้องไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเขา นั่นคือเมืองโคปาคาบานาแห่งติติกากานี่เอง

 

รีโอเดจาเนโร

 

        หนึ่งในศูนย์กลางแห่งความศรัทธาของชาวโบลิเวียก็คือโบสถ์พระแม่แห่งโคปาคาบานา (Basilica of Our Lady of Copacabana) ตามตำนานเล่าว่า ราวปี 1576 ชาวประมงในทะเลสาบติติกากาคนหนึ่งกำลังเผชิญกับพายุจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด จนต้องกราบอ้อนวอนขอปาฏิหาริย์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วภาพที่เขาเห็นคือพระแม่ลอยจากบนฟ้าลงมาช่วยเขาให้พ้นภัย เขาจึงเล่าเรื่องราวบอกต่อถึงปาฏิหาริย์พระแม่ที่เขาพบเจอ ซึ่งถูกตีความไปว่าเป็นพระแม่มารีแห่งคริสต์ศาสนา ศาสนาแห่งผู้มาใหม่และหลังจากนั้นก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของพระแม่แห่งโคปาคาบานาอีกมากมาย โดยเฉพาะการช่วยให้พ้นจากการประสบเคราะห์กรรม 

        ในปี 1583 มีการสร้างโบสถ์เพื่อบูชาพระแม่มารีขึ้น บนที่ตั้งเดิมของวิหารแห่งพระอาทิตย์ของชาวอินคา นับแต่นั้นเป็นต้นมาโบสถ์พระแม่มารีแห่งโคปาคาบานาก็เป็นจุดหมายของการแสวงบุญของคนทั่วทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะช่วง Good Friday ผู้คนจากทั่วสารทิศจะเดินทางมายังเมืองเล็กๆ แห่งนี้ โดยมีคนจำนวนไม่น้อยจะไปเริ่มเดินทางแสวงบุญกันที่กรุงลาปาซและร่วมกันเดินเท้าเกือบสองร้อยกิโลเมตรสู่โคปาคาบานา

        วันที่ผมไปถึงรถทั้งจากโบลิเวียและจากเปรูมาจอดรถเรียงรายกันทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ โดยการประดับพวงมาลัยดอกไม้ พรมน้ำมนต์ แต่งแต้มด้วยสีสันต่างๆ มีการวางเครื่องเซ่น แล้วไม่น้อยก็พากันมานั่งสังสรรค์กินดื่มกันด้านหน้ารถต่อนั่นเอง 

 

รีโอเดจาเนโร

 

        หลังจากที่เดินชมเมืองและสังเกตพิธีกรรมปลุกเสกรถจนเต็มที่แล้ว ผมกับเพื่อนๆ ก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปจุดชมวิวที่อยู่บนเขาเพื่อเห็นวิวหาดโคปาคาบานาจากมุมสูง เราไม่แน่ใจเส้นทางที่จะขึ้นมากนัก แต่จากที่เราพอมองเห็นเป็นไปได้สูงว่าจากริมหาดฝั่งหนึ่งน่าจะมีทางให้เดินลัดเลาะขึ้นสู่ยอดเขาข้างๆ ที่ในแผนที่ระบุว่าเป็นจุดชมวิวได้

      เราค่อยๆ เดินลัดเลาะไปตามทางที่เห็นคนจำนวนหนึ่งเดินไปเป็นแถว แต่เส้นทางแทนที่จะตัดดิ่งขึ้นสู่เนินเขากลับค่อยพาอ้อมไปทางแหลมด้านข้าง เมื่อถามคนที่เดินสวนมาว่าทางที่เรากำลังเดินอยู่นั้นถูกแล้วหรือไม่ คำตอบภาษาสเปนที่ฟังไม่ออกก็ชี้ไปบนเส้นทางสายนั้นให้เราเดินไปกันต่อ เมื่อเดินอ้อมแหลมไปจนเจอชายหาดเล็กๆ อีกฝั่งหนึ่ง ตอนนั้นเรามั่นใจแล้วว่าเรากำลังหลงทาง แต่ภาพที่เราเห็นกลับไม่ใช่สิ่งที่เรานึกคิดมาก่อนเลย

        ก้อนหินศักดิ์สิทธิ์ คือคำแรกที่ผมเรียก ซึ่งรู้ในภายหลังว่าหินใหญ่ก้อนดังกล่าวเป็นรูปแทนของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ โดยใกล้กับหินศักดิ์สิทธิ์จะมีรูปวาดเทพเจ้าซึ่งแต่งกายแบบชาวอินคาโบราณอยู่ คนจำนวนมากหลังจากที่สักการะพระแม่มารีแห่งโคปาคาบานาแล้วก็จะเดินเลาะริมหน้าผาหรือนั่งเรือมายังสถานที่แห่งนี้ต่อ พิธีกรรมของที่นี่ก็มีความแปลกจากที่ผมเคยเห็นในที่อื่นๆ โดยคนที่มาจะซื้อสุราหรือน้ำที่เป็นขวดแก้วแล้วโยนเข้าใส่ก้อนหิน เสียงแก้วแตกจึงดังต่อเนื่องตลอดเวลาที่เราอยู่ที่นั่น และบริเวณรอบๆ ก็เต็มไปด้วยเศษแก้วกระจัดกระจาย โดยมีผู้คนยังคงต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อเข้าไปบูชา (โยนขวด) ใส่หินศักดิ์สิทธิ์นั้น 

 

รีโอเดจาเนโร

 

        โคปาคาบานาเป็นเหมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยลมหายใจของศรัทธา กลายเป็นดินแดนที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทวีปอเมริกาใต้ให้อยากเดินทางมาสักครั้ง และเป็นตัวอย่างของการผสมผสานความเชื่อใหม่เข้ากับพิธีกรรมความเชื่อดั้งเดิมของบรรพบุรุษ โบลิเวียได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีคนศรัทธาในศาสนามากที่สุด ในทุกโบสถ์ตามเมืองที่เราไปเห็นจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ควบคู่ไปกับพิธีกรรมความเชื่อแบบดั้งเดิม อิทธิฤทธิ์ของเทพเจ้าโบราณที่ดูจะเสื่อมมนตร์ไปแล้วในที่อื่นๆ เว้นแต่ในโบลิเวีย  

        ในขณะเดียวกันโบลิเวียก็เป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล ซึ่งไม่ว่าจะวัดด้วยตัวชี้วัดไหน ชีวิตของคนโบลิเวียก็ไม่ได้สุขสบายเลย โดยรายได้ของประเทศส่วนใหญ่มาจากเหมืองเงินและทองแดงซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมือของบริษัทข้ามชาติ ชีวิตคนงานเหมืองก็อยู่อย่างยากลำบาก คุณภาพชีวิตไม่สมกับที่ทำรายได้มหาศาลให้กับเหล่าผู้ถือหุ้นที่นั่งกะเก็งผลกำไรอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จากแดนไกล เมื่อหลายสิบปีก่อนนายแพทย์หนุ่มจากอาร์เจนตินาคนหนึ่งก็เคยเดินทางมาเที่ยวโบลิเวียและเห็นชีวิตความเป็นอยู่อันแร้นแค้นของคนงานเหมืองเงินที่เป็นของบริษัทสัญชาติอเมริกัน จนสุมเป็นเชื้อไฟในใจจนนำเขาไปสู่การเป็นนักปฏิวัติ ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึง นายแพทย์เอร์เนสโต เกบารา ผู้ที่ภายหลังต้องมาเสียชีวิตลงระหว่างการพยายามนำการปฏิวัติในโบลิเวียนี่เอง

        พื้นที่ส่วนใหญ่ของโบลิเวียค่อนข้างแห้งแล้งไม่เหมาะกับการเพาะปลูก เนื่องจากอยู่บนพื้นที่สูงและแห้งแล้งของเทือกเขาแอนดีส ด้วยเหตุนี้เศรษฐกิจของโบลิเวียจึงยังติดอยู่ในหล่มที่ไม่อาจฉุดรั้งความเป็นอยู่ของผู้คนให้ก้าวต่อไปได้ อาจจะมีเพียงความศรัทธาเท่านั้นที่พอจะเป็นความหวังของชีวิต ความหวังที่ว่าสักวันหนึ่งทุกอย่างจะดีขึ้น

 

รีโอเดจาเนโร

 

        เสียงเฮลิคอปเตอร์ดังจนกลบเสียงเพลงบอสซาโนวาที่กำลังขับกล่อม ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผู้คนคลาคล่ำเต็มหาดโคปาคาบานา เรื่องอาชญากรรมโดยเฉพาะการปล้นจี้ ลักขโมยก็จะมากตามไปด้วย ผมไม่แน่ใจว่าจะมีหาดไหนในโลกที่จะต้องมีเฮลิคอปเตอร์บินต่ำๆ คอยตรวจการเช่นนี้ ยังไม่นับว่ามีตำรวจพร้อมอาวุธครบมือเดินตรวจไปมาตลอดเวลา

        รีโอเดจาเนโร เป็นเมืองอันตรายมาก ผมเคยได้ยินคำเตือนนี้มาตลอดตั้งแต่ก่อนจะมา เมื่อมาถึงและได้พูดคุยกับผู้คนที่โฮสเทล ผมก็ยอมรับว่ารีโอแห่งนี้น่ากลัวกว่าที่ผมคิดไว้มาก ผมเดินทางมาไม่มาก แต่ก็ไปในหลายเมืองที่มีคนเตือนๆ ว่าโจรเยอะนะ ระวังโดนล้วงกระเป๋า โดนปล้น โดนหลอก และส่วนใหญ่ผมก็พอถูไถรอดมาได้ มีตกเป็นเหยื่อของพวกหลอกลวงนักท่องเที่ยวบ้าง แต่ก็ไม่เคยตกเป็นเหยื่อของโจรร้ายที่ไหน แต่รีโอเป็นเมืองแรกที่กดหัวผมจนไม่กล้าแม้แต่จะพกกล้องออกจากที่พัก 

        ในค่ำคืนแรกของการพักในรีโอ ผมสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะเสียงปืน ที่ตามมาด้วยเสียงปืนกลรัวเป็นชุดๆ อยู่ประมาณสิบกว่านาทีก่อนที่จะสงบลง เช้ามาเจ้าของโฮสเทลชาวฝรั่งเศสผู้หลงรักรีโอจนย้ายมาลงหลักปักฐานที่นี่ก็ชี้แจงว่าเป็นเรื่องค่อนข้างปกติของที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นตำรวจยิงต่อสู้กับพวกแก๊งค้ายาเสพติด  

        รีโอจัดเป็นหนึ่งในเมืองที่อันตรายที่สุด ไม่ใช่แค่สำหรับนักท่องเที่ยว แต่สำหรับผู้อยู่อาศัยด้วย สัดส่วนคนที่ตายด้วยการถูกฆาตกรรมสูงถึง 40 คนต่อประชากร 100,000 คน แทบจะสูงที่สุดในบรรดาเมืองที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่สงคราม รีโอเดจาเนโรเคยเป็นเมืองหลวงของบราซิลอยู่เป็นเวลานาน รวมถึงยังเคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์โปรตุเกสในช่วงปี 1808-1821 ที่นโปเลียนเข้ายึดครองดินแดนโปรตุเกสจนทำให้ราชวงศ์และขุนนางต่างต้องอพยพหนีมาอยู่ที่รีโอ และนับเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ยุโรปแห่งเดียวที่อยู่นอกยุโรป 

        ก่อนที่ในปี 1960 บราซิลจะตั้งเมืองหลวงใหม่ที่ชื่อบราซิเลียซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ รีโอก็สูญเสียสถานะเมืองหลวงไป แต่รีโอก็ยังเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ อุตสาหกรรมสำคัญๆ ของบราซิลยังมีฐานอยู่ที่รีโอจนทำให้ผู้คนจากต่างถิ่นยังคงหลั่งไหลเข้ามาแสวงหาโอกาสมากมายในรีโอ พื้นที่ราบตามริมฝั่งทะเลที่มีอยู่อย่างจำกัดจึงไม่อาจแบ่งสรรไปให้ผู้มาใหม่ไร้ทรัพย์สินได้ ที่ดินบริเวณเชิงเขาจึงเริ่มถูกบุกรุกยึดครองโดยคนงานค่าจ้างราคาถูก เมื่อเศรษฐกิจบราซิลขึ้นชื่อว่าเต็มไปด้วยการผูกขาด โดยเฉพาะใน 1964-1985 ที่ประเทศปกครองด้วยเผด็จการทหาร รัฐวิสาหกิจที่กุมอำนาจโดยนายพลทหารเข้าไปยึดโยงทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ ช่องว่างของชนชั้นก็เริ่มขยายกว้าง จนถึงในปัจจุบันที่บราซิลได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำที่สุดในโลก 

 

รีโอเดจาเนโร

 

        พื้นที่บริเวณเชิงเขาอัดแน่นไปด้วยที่พักหลังเล็กๆ กลายเป็นสลัมกระจัดกระจายอยู่ทั่วเมืองรีโอ โดยมีชื่อเรียกกันว่าฟาเวลา (Favela) ซึ่งฟาเวลาส่วนใหญ่ไม่ได้มีสีสันสวยงามให้ the Hulk กระโดดไปมา หากแต่เป็นพื้นที่ปลอดกฎหมายที่ควบคุมโดยแก๊งค้ายาเสพติดเช่นในภาพยนตร์ City of God เสียมากกว่า 

        โฮสเทลที่ผมพักตั้งอยู่แถวหาดเลบลอนโดยเดินขึ้นมาอยู่ในเขตฟาเวลานิดหน่อย แต่เจ้าของยืนยันว่าฟาเวลาแห่งนี้ปลอดภัย  แม้ว่าเมื่อคืนเพิ่งมีการยิงต่อสู้กัน!! โดยเขายังเล่าเพิ่มเติมว่า แขกของเขาไม่เคยเกิดเรื่องอะไรในย่านนี้เลย แต่ยามดึกถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกไปเดินคนเดียว แขกที่เคยเกิดเรื่องมีเพียงครั้งเดียว เมื่อปีก่อนมีหนุ่มอเมริกันคนหนึ่งเดินคุยวิดีโอคอลอยู่บนชายหาดเลบรอนตอนมืดๆ แล้วก็มีชายสองคนวิ่งเข้ามาต่อยเขาที่ใบหน้า ก่อนจะแย่งโทรศัพท์ไป แน่นอนว่าตำรวจช่วยอะไรไม่ได้ 

        คริสเตียนา พนักงานโรงแรมที่เกิดและเติบโตมาในรีโอเล่าว่า เธอเคยโดนปล้นแค่ครั้งเดียวบนรถเมล์ โดยคนร้ายมายืนประกบด้านหลังแล้วเอาปืนจี้เพื่อเอากระเป๋าของเธอไป เธอย้ำว่าถ้ามีคนจะมาแย่งชิงทรัพย์สินอะไรก็แล้วแต่ อย่าเถียงหรือต่อสู้ ให้ยื่นของให้ไปเลย เพราะพวกนี้ส่วนใหญ่มีปืน และคดีฆาตกรรมที่นี่ก็ไม่เคยจับคนร้ายได้ นักท่องเที่ยวจำนวนมากจึงโดนทำร้ายร่างกายเพราะต่อสู้กับโจร ฟังเรื่องราวแล้วโจรล้วงกระเป๋าในอิตาลีดูเป็นโจรกระจอกไปเลย 

        นอกจากจะให้คำแนะนำในการท่องเที่ยวเดินทางแล้ว เธอยังมาช่วยพวกเราวางแผนการท่องเที่ยวอีกด้วย คณะของเราตั้งใจจะไปเดินเล่นในตัวเมืองโดยมีปลายทางสำคัญๆ เช่น ห้องอ่านหนังสือของโปรตุเกส บันไดโมเสส Escadaria Selelon รวมไปถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่โดนไฟไหม้ไปแล้วเมื่อปี 2018 นับเป็นความโชคดีของผมที่ได้ไปเยือนเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นเถ้าถ่าน 

        แผนเดิมของพวกผมนั้นก็คือเดินไปตามแผนที่ในเส้นทางที่เราคิดว่าใกล้ที่สุด แต่เมื่อคนท้องถิ่นอย่างคริสเตียนาบอกว่า ถนนบางเส้นไม่ควรเดินผ่านโดยเด็ดขาดแม้ว่าจะไปกันหลายคนและเป็นตอนกลางวัน พวกผมก็ยอมรับฟังแต่โดยดี เส้นทางเดินเที่ยวเมืองของเราจึงมีทางวนอ้อมบางจุดอยู่บ้าง และแน่นอนว่าไม่พกของมีค่าติดตัวไปเยอะ กระเป๋าเป้ใส่กล้องราคาแพงของผมเปลี่ยนเป็นถุงผ้าที่มีเพียงขวดน้ำและหนังสือ

        หลังจากวางแผนท่องเที่ยวเสร็จ เธอก็ชี้ไปที่มหาวิทยาลัยของเธอ บอกว่าเธอเรียนอยู่ที่นี่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 3 แล้ว แต่ตอนนี้เรียนต่อไม่ได้เพราะมหาวิทยาลัยไม่มีเงินจ้างอาจารย์มาสอน บางวิชาจึงต้องงดไปก่อน ทั้งนี้เพราะรัฐบาลเมืองรีโอซึ่งเป็นเจ้าของไม่มีเงินมาอุดหนุนมหาวิทยาลัยแล้ว เทอมนี้เธอจึงไม่สามารถลงทะเบียนเรียนได้ จนต้องมาสมัครเป็นพนักงานในโฮสเทลเช่นตอนนี้ เฉกเช่นเดียวกับความสูญเสียในกองเพลิงของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ส่วนหนึ่งมาจากการขาดงบประมาณบำรุงรักษา รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งของบราซิลอยู่ในสภาพถังแตกจนไม่มีเงินเพียงพอที่จะมาจัดสรรบริการพื้นฐานให้คนประชาชนได้ 

        ปัญหาอาชญากรรมก็เช่นกันที่ได้แผ่ขยายออกไปพร้อมๆ กับความล้มละลายของภาครัฐ เมื่อตำรวจในรีโอคือหนึ่งในอาชีพที่อันตรายที่สุด แต่ผลตอบแทนก็ไม่ได้มากพอที่จะคุ้มค่ากับการเสี่ยงชีวิต ตำรวจจำนวนมากจึงเลือกที่จะอยู่อย่างสงบไม่ยุ่งเกี่ยวกับแก๊งค้ายาเสพติดที่ทำสงครามกันทั่วพื้นที่เมืองรีโอ 

        ปัญหาการคอร์รัปชันกลายเป็นมะเร็งร้ายเกาะกินสังคมบราซิล ปฏิบัติการเปิดโปงการทุจริตครั้งสำคัญที่เรียกกันว่าปฏิบัติการล้างรถ (Operacao Lava Jaoto) ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2015 ได้กลายเป็นการขุดรากเครือข่ายการทุจริตที่ใหญ่โตที่สุดในโลกครั้งหนึ่ง โดยแกนกลางอยู่ที่บริษัทน้ำมันแห่งชาติ Petrobas ที่ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง นอกจากจะมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักธุรกิจระดับหัวแถวของประเทศแล้ว ยังรวมไปถึงอดีตประธานาธิบดีดิลมา (Dilma Rousseff) และอดีตประธานาธิบดีลูลา (Luiz Inácio Lula da Silva) อีกด้วย การจับกุมการทุจริตครั้งนี้สะท้อนกลไกรัฐบาลที่ผุพัง จนประเทศที่ร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรอย่างบราซิลกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีปัญหาทางสังคมมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่อย่างรีโอ

        สถานการณ์ของรีโอยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ในเมื่อผู้คนส่วนใหญ่ยังอยู่กันอย่างลำบาก บ้านคนรวยหรือสถานที่ดีๆ หลายแห่งต้องสร้างกำแพงสูงแถมมีรั้วไฟฟ้าอยู่บนกำแพงอีกชั้นหนึ่ง แม้ว่าในปี 2008 จะมีการตั้งหน่วยตำรวจพิเศษติดอาวุธสงครามที่พอต่อกรกับแก๊งค้ายาเสพติดได้ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะยึดคืนพื้นที่ฟาเวลาทั้งหลายกลับคืนมาอยู่ใต้กฎหมาย ข่าวคราวการปะทะกันของตำรวจพิเศษกับเหล่าพ่อค้ายาเสพติดมีมาอย่างต่อเนื่อง แต่คริสเตียนาก็แสดงความเห็นไว้ว่าไม่มีทางสำเร็จแน่นอน เพราะทุกวันนี้ปืนของตำรวจจำนวนมากหายไป และไปโผล่ในมือของฝั่งพ่อค้ายาเสพติดแทน นโยบายนี้จะยิ่งเป็นการเอาภาษีที่เหลืออยู่น้อยนิดไปซื้ออาวุธให้เหล่าพ่อค้ายาต่างหาก  

        ผมถามคริสเตียนาว่า “ยังมีความหวังกับเมืองนี้ไหม” เธอตอบโดยแทบจะไม่ต้องใช้เวลาคิด “ไม่มี” หลังจากนั้นเธอก็หัวเราะเบาๆ ไปพร้อมกับแววตาที่หมองเศร้า

 

รีโอเดจาเนโร

 

        Christ of Redeemer รูปปั้นพระเยซูกางแขนอยู่บนยอดเขาสูง หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคประชาธิปไตยอินเทอร์เน็ตที่ได้รับคะแนนโหวตจากชาวบราซิลอย่างท่วมท้น กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองรีโอที่สามารถมองเห็นได้จากแทบทุกจุดในเมือง โดยเฉพาะทางฝั่งริมหาด จนเสมือนทุกการกระทำจะอยู่ในสายตาของพระเยซูเจ้ารวมทั้งการอาชญากรรมต่างๆ ด้วย รูปปั้นนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความศรัทธาของชาวบราซิล เป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองรีโอ แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความศรัทธานี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของชาวรีโอปลอดภัยขึ้นเลย 

        ตอนบ่ายๆ คริสเตียนาเป็นแกนนำในการพาแขกที่โฮสเทลลงไปสัมผัสบรรยากาศของชายหาดอันโด่งดังของรีโอ เราเดินไล่มาตามถนนริมหาดความยาวหลายกิโลเมตร และเลือกมาหยุดนั่งพักที่โคปาคาบานา หาดที่โด่งดังที่สุดแห่งนี้

        ชายหาดแห่งนี้ตั้งชื่อเลียนแบบหาดโคปาคาบานาในโบลิเวีย ด้วยชื่อเสียงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่มารีแห่งโคปาคาบานาในโบลิเวีย ในศตวรรษที่ 18 ชาวโปรตุเกสในเมืองรีโอจึงได้ทำการสร้างโบสถ์ขึ้นมาและจำลองรูปสลักพระแม่มารีจากหาดโคปาคาบานา แล้วตั้งชื่อชายหาดบริเวณนั้นว่าโคปาคาบานา กาลเวลาผ่านไปหาดโคปาคาบานาแห่งใหม่กลับมีชื่อเสียงกว้างไกลจนผู้คนแทบจะลืมชายหาดเล็กๆ ในโบลิเวียไปแล้ว หรืออาจจะลืมกันไปแล้วด้วยซ้ำว่านามเรียกขานของหาดแห่งนี้ตั้งขึ้นมาด้วยหวังว่าดินแดนแห่งนี้จะเต็มไปศรัทธาของผู้คนเฉกเช่นที่โบลิเวีย

        วิถีชีวิตของชาวรีโอกับหาดทรายเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก ผมมองดูผู้คนรอบๆ ที่สนุกสนานไปกับเสียงดนตรี ชายหาดของเมืองรีโออาจจะเป็นลานที่อัดแน่นไปด้วยความสุขมากที่สุดในโลก สายลมได้พัดเอาความเศร้าหมองจากผู้คนไปเสียหมดสิ้น  

        คริสเตียนาก็เช่นกัน เธอยังไม่หยุดยิ้มเล่นหัวเราะตั้งแต่เราเริ่มเข้ามาในบาร์ แววตาที่เคยสิ้นหวังก็หายไปด้วยเปลวแดดของหาดโคปาคาบานา 

 


เรื่องและภาพ: พีรพัฒน์ ตัณฑวณิช