อยู่ๆ ใจก็หวนนึกถึงไอหนาวและหิมะสีขาวโพลนของเมืองทาคายามะ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ภูมิภาคชูบุตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตามคำพยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นคาดการณ์ไว้ว่า หิมะอาจจะตกทิ้งท้ายอีกครั้งช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งยังพอมีเวลาให้เราเตรียมตัวเดินทางไปสัมผัสความหนาวเย็นของปุยหิมะได้อีกสักครั้ง ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ถึงแม้ว่าจะยังหนาวอยู่ แต่หิมะขาวโพลนก็คงไม่สมบูรณ์แบบเหมือนตอนนี้
ว่ากันว่าหิมะทิ้งท้ายฤดูเป็นช่วงเวลาที่สวยที่สุดของฤดูกาล เพราะเราจะได้เห็นหิมะโปรยปรายพอให้ได้หนาวสั่น แต่ไม่ถึงกับตกหนักจนมองอะไรไม่เห็น ได้ยินเสียงน้ำหยดจากหิมะที่ค่อยๆ ละลายกลายเป็นลำธารเล็กๆ ได้ชมความอลังกาลของวิวทะเลสาบน้ำแข็งสีเขียวมรกตระหว่างทาง ได้สัมผัสความหนาวสะท้านที่ยังพอทนได้โดยปราศจากความหวาดกลัวเรื่องพายุ และได้เฝ้ามองวิวภูเขาสูงที่บนยอดแต่งแต้มไปด้วยหิมะในระดับสายตา
ความหนาวระดับทิ้งท้ายฤดูนี้ ยังทำให้เราเพลิดเพลินไปกับเครื่องดื่มชวนแก้มแดง และอาหารญี่ปุ่นอุ่นๆ จากร้านซูชิ ร้านปิ้งย่างโบราณ ร้านกาแฟ หรือแม้แต่อาหารสำเร็จรูปในร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งความสุขเล็กๆ ที่เกิดจากไออุ่นของฮีตเตอร์ในห้องพักท่ามกลางความหนาวติดลบจากด้านนอก ทั้งหมดคือความโชคดีของเราที่ได้พบเจอ
แต่ในความโชคดีก็ต้องผ่านการวางแผน หนึ่งในแผนก็คือ เดินทางด้วยการเช่ารถขับกันเอง โดยใช้เส้นทาง express way เพื่อไปยังเมืองทาคายามะ เพราะได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าวิวระหว่างทางสวยจนหลับไม่ลง และที่สำคัญ หมุดหมายไฮไลต์อีกสองสามแห่งก็ยังอยู่ในพื้นที่เมืองทาคายามะ ที่ที่ทำให้เราเจอหิมะทิ้งท้ายฤดูกาล
สวัสดีฟูจิซัง และยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
จุดหมายแรกนั้นเราไม่ได้มุ่งหน้าตรงไปที่ทาคายามะในทันที แต่เป็นเส้นทางที่มุ่งหน้าผ่านทางจังหวัดชิซูโอกะ ก่อนตรงไปเข้าสู่จังหวัดยามานาชิ เพื่อไปทักทายมิสเตอร์ฟูจิที่ทะเลสาบคาวากุจิโกะ โดยระหว่างทางเราจะได้เจอกับอุโมงค์ข้ามภูเขาสั้นบ้างยาวบ้าง เมื่อพ้นปลายอุโมงค์บางแห่งก็จะเจอกับวิวธารน้ำสีเขียวมรกต เบื้องหน้าคือภูเขาที่เริ่มมีหิมะปกคลุม ทันทีที่เราออกมาจากอุโมงค์ ขอบถนนก็เปลี่ยนกำแพงหิมะเตี้ยๆ แซมด้วยป่าสนสีดำ เวลานี้ท้องฟ้าเปิด และภูเขาฟูจิก็ยิ้มแฉ่งออกมาต้อนรับพร้อมหมอกจางๆ ลอยละเลียดอยู่ช่วงกลางของภูเขา เผยให้เห็นยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเต็มสองตา ก่อนที่วันรุ่งขึ้นมิสเตอร์ฟูจิจะปลุกเราอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม พร้อมลาเต้ร้อนและอเมริกาโนเย็น แถมยังอยู่ใกล้ตากว่าเดิมแค่ตรงหัวนอนของเรา ซึ่งเป็นวิวที่จะเห็นได้จากโฮลเทลสไตล์ลอฟต์ Kagelow Mt. Fuji Hostel
มุ่งหน้าสู่ทาคายามะกับวิวธรรมชาติสองข้างทาง
วิวภูเขาสูงปกคลุมด้วยหิมะน้อยใหญ่ บางแห่งเป็นทะเลสาบที่เปลี่ยนเป็นน้ำแข็งสีเขียวมรกต พร้อมหิมะเม็ดเล็กๆ ที่เริ่มตกมาทักทาย และเมื่อเราเข้าสู่เขตพื้นที่ทาคายามะ ที่นี่ก็ต้อนรับเราด้วยกำแพงหิมะที่ขนาบข้างทั้งสองฝั่งเป็นแนวยาว ก่อนเส้นทางถนนโล่งๆ จะเปลี่ยนเป็นโซนบ้านคน และเขตพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งเวลานี้ขาวโพลนไปด้วยหิมะ ฉากหลังคือเนินเขาที่มีต้นสนสีเขียวแก่จนเกือบดำ ทุกอย่างสวยหยดจนอดที่จะจอดรถริมทางลงมาชื่นชมไม่ได้
เราใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงขับรถจาก Kagelow Mt. Fuji Hostel จนมาถึง Guest House OUKA & Blossom Coffee โฮลเทลใจกลางเมืองทาคายามะ และถึงแม้จะเป็นเมืองเล็กๆ มีผู้คนและรถราไม่มาก แต่พื้นที่จอดรถก็ยังคงเป็นเรื่องที่จำกัด สำหรับโฮลเทลเองยังจะต้องเช่าที่จอดรถเป็นของตัวเอง และเก็บค่าที่จอดรถแบบค้างคืนคืนละ 1,000 เยน ซึ่งแยกจากค่าที่พัก และอยู่ห่างจากโฮลเทลไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก ซึ่งจะเป็นแบบเดียวกับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในทาคายามะและทั่วญี่ปุ่น
ช่วงเย็นๆ เราทำความรู้จักกับเมืองเล็กๆ ด้วยการขับรถมาจอดที่ลานจอดรถชินเม เสียค่าที่จอด 300 เยน เพื่อเดินเล่นชม ‘ย่านเมืองยุคเอโดะ’ กันที่ถนนซันมาชิ ตลอดสองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้า ร้านขายเหล้าสาเก มีหอหัตถกรรมโบราณให้ชมกันจนเพลิดเพลิน และหากสังเกตอีกนิดจะพบว่าบริเวณหน้าร้านหรือหน้าบ้านเรือนบนถนนนี้ จะมีร่องน้ำใสแจ๋วไหลผ่าน ซึ่งเกิดจากการละลายของหิมะบนภูเขานั่นเอง
เราเดินเรื่อยๆ จนถึง ‘สะพานแดงนะคะบะฉิ’ ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของตลาดเช้าจินยะมาเอะ แต่ในช่วงฤดูหนาวก็แทบจะไม่มีร้านค้ามาตั้งเหมือนในฤดูอื่นๆ แต่ในไม่ช้าพระอาทิตย์ก็ลาขอบฟ้า ร้านค้าทยอยปิด เมืองทั้งเมืองเงียบสงัด อุณหภูมิยามค่ำคืนก็ค่อยๆ ลดลง ซึ่งความเย็นของอากาศต่ำสุดที่เราวัดได้คือ เหลือ -7 องศาเซลเซียสในช่วงเวลาไม่นาน
ส่วนเรื่องของกินในช่วงหัวค่ำ เราแนะนำให้ไปซูเปอร์มาร์เกตขนาดย่อม ที่นั่นจะมีโซนอาหารทำสดใหม่ เช่น เซตซูชิราคาน่ารัก โครอกเกะหลากหลายไส้ ข้าวหน้าต่างๆ ไข่ม้วนชิ้นโต ปลาย่าง ไก่ทอด สลัดนานาชนิด เบียร์กระป๋องหลากหลายรสชาติ เยอะแยะจนเลือกไม่ถูก แถมทุกอย่างในราคาย่อมเยาและมีรสชาติที่อร่อย สำหรับมื้อเช้า เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เรามักจะฝากท้องไว้ที่ตู้เย็นของร้านสะดวกซื้อข้างๆ ที่พัก ซึ่งเราค้นพบว่า ข้าวกล่องหน้าต่างๆ ข้าวปั้นสารพัดชนิด ของทอดมากมายในตู้อบร้อน อุด้งร้อนๆ ตักเอง รวมทั้งกาแฟสดกดเอง ก็มีรสชาติดีเกินคาด ราคาก็เบาใจเหลือเกิน
ยิ่งสูงยิ่งหนาวแต่ดีต่อใจกว่าที่ใด
ไฮไลต์อันดับหนึ่งในครั้งนี้อยู่ที่การขึ้นไปชมเจแปนแอลป์ทางตอนเหนือ ที่ Shin-Hotaka Ropeway ซึ่งอยู่ถัดจากตัวเมืองทาคายามะไปประมาณ 1.30 ชั่วโมง ระหว่างทางก็จะพบกับวิวเรียกน้ำย่อยอย่างกำแพงหิมะที่สูงเกือบถึงหลังคารถ วิวภูเขาบางลูกจะเห็นคนเล่นสกีหิมะอยู่ลิบๆ วิวข้างทางที่หมุนเปลี่ยนไปตามเส้นทางสวยแตกต่างกัน มองเพลินๆ เพียงครู่เดียว เราก็มาถึงที่หมาย
จากจุดจอดรถ เราต้องเดินเข้าอาคารเพื่อซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าลอยฟ้ากันที่สถานีชินโฮะทะคะออนเซน แบบไป-กลับคนละ 2,900 เยน โดยกระเช้าจะแบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงแรกเป็นกระเช้าชั้นเดียวใช้เวลา 4 นาที ไปหยุดที่สถานีนะเบะไดระโคเกง จุดนี้มีบ่อน้ำร้อนให้แช่เท้าฟรีด้วย จากนั้นก็ไปต่อยังกระเช้าลอยฟ้าจุดที่ 2 หรือ ‘เรือกอนโดลา’ ที่มีถึงสองชั้นหนึ่งเดียวในญี่ปุ่น ที่สถานีชิระคะบะไทระ ด้านในสถานีจะมีร้านเบเกอรีแห่งเทือกเขาแอลป์ ห้องน้ำ และเตาผิงขนาดย่อมไว้คอยบริการ
แต่พอเรามาถึงจุดต่อคิวรอเรือกอนโดลากลับเงียบสนิท มีเพียงแผ่นป้ายเขียนไว้ว่า It’s 15 minutes an Hour 45 Minutes เรางงจนเกือบจะละความสนใจ แต่สุดท้ายก็มาแปลความหมายได้ว่า ที่แท้กระเช้าจะออกทุกๆ 30 นาที คือทุกครั้งที่เข็มยาวชี้ที่เลข 3 (15 นาที) และเลข 9 (45 นาที) นั่นคือเวลาที่ประตูให้เข้ากระเช้าจะเปิดออกนั่นเอง
หลังจากถอดรหัสไม่นาน เรือกอนโดลาก็มาถึง เรารีบไปจับจองให้ทันด้านหน้าสุด เพื่อชมวิวอลังการเบื้องหน้าและเบื้องล่างที่ค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยใช้เวลาถึง 7 นาทีให้เต็มอิ่มกับวิวความขาวของหิมะจนต้องหรี่ตามอง เมื่อมาถึงสถานีด้านบน เราต้องเดินขึ้นบันไดต่อไปอีก 2 ชั้นจนถึงชั้นดาดฟ้าและพบกับจุดชมวิวแบบพาโนรามา 360 องศา
ที่นี่มอบอากาศหนาว -12 องศาเซลเซียสให้กับเราอย่างสะใจ ไอหนาวทำให้เรายิ้มระรื่น ส่วนวิวตรงหน้าทำให้เราตกอยู่ในมนตร์สะกดไปกับความงามของภูเขาหิมะน้อยใหญ่และต้นสนที่โอบล้อมเราไว้รอบด้าน โดยมีเทือกเขาที่มองเห็นได้จากจุดชมวิวคือ นิชิโฮะทะคะ ระดับความสูง 2,909 เมตร ซึ่งเป็นยอดเขาด้านปลายภาคตะวันตกเฉียงใต้ของเทือกเขาโฮะทะคะที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น
เราอ้อยอิ่งอยู่บนนั้นได้พักใหญ่ ก่อนที่จะเดินลงมายังชั้น 4 ซึ่งเป็นโซนฟู้ดคอร์ต และเป็นทางเข้า ‘สวนเซนโกะคุ’ ซึ่งเป็นจุดทางขึ้นเขาสำหรับนักปีกเขาและนักเล่นสกี แต่บริเวณนั้นเต็มไปด้วยกองหิมะสูงท่วมหัว มีทางเดินแคบๆ ให้ได้เดินชมรอบตัวเรามีแต่หิมะ ถึงกับอดใจไม่ไหวกระโจนตัวใส่กองหิมะที่นุ่มฟูจนเปียกกันไปข้าง
ระวังนะ! รอยเท้าที่เห็นอาจเป็นของหมีดำ
มุ่งหน้าสู่ไฮไลต์ลำดับสอง ‘ชิราคาวาโกะ’ อยู่ห่างจากโฮลเทลไปประมาณ 50 นาที วิวสองข้างทางยังคงทำให้ชวนฝันเหมือนเคย วิวสวยมองเพลินจนมาถึงวิวอีกจุดบริเวณทางโค้งเกือบเป็นรูปตัวซี ที่พาดด้วยสะพานสีแดง เพื่อข้ามแม่น้ำโชกาวะ ที่ไหลผ่านกลางหมู่บ้านชิราคาวาโกะ
เราจอดรถไว้ที่ทางแคบๆ ก่อนเข้าอุโมงค์ข้ามภูเขา ในระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับภูเขา แม่น้ำและสะพาน เราก็สังเกตเห็นว่า บนหิมะมีรอยเท้าบางอย่าง เมื่อมองดีๆ เราก็คิดว่า นี่จะใช่รอยเท้าหมีดำหรือเปล่า เพราะที่ทาคายามะและในภูมิภาคนี้ยังคงมีหมีดำ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ
เราเก็บความสงสัยไว้ในใจ แทบจะทันทีที่เราถึงโฮลเทล เราก็ถามกับเจ้าหน้าที่เรื่องหมีดำ เพราะเราสังเกตว่า โลโก้ต่างๆ หรือรูปวาดในโบรชัวร์ ส่วนใหญ่จะเป็นรูปหมีแทบทั้งนั้น เขาเลยอธิบายให้ฟังว่า ที่นี่มีหมีดำอยู่จริง อาศัยอยู่ในเขตคุ้มครองสัตว์ป่า ตั้งอยู่บริเวณสวนชิโระยะมะ ซึ่งเป็นจุดชมเมืองด้วยการเดินขึ้นเขา ที่มีด้วยกันถึงสองระยะทางคือแบบ 3 กิโลเมตร และ 5 กิโลเมตร โดยแบบหลังนั่นเองเป็นเขตคุ้มครองสัตว์ป่า และมีป้ายคำเตือนระวังหมี เท่าที่ผ่านมาเขาเองก็ยังไม่เคยเจอตัวจริง แต่เคยมีนักท่องเที่ยวมาเล่าให้ฟังว่าเมื่อนานมาแล้ว ได้เดินผ่านจุดเตือนนี้เข้าไป แล้วเจอหมีตัวจริงยืนสองขาอยู่ลิบๆ แค่นั้นเขาก็หันตัวกลับและรีบเดินลงเขาให้ไว เรื่องนี้จะจริงแท้แค่ไหนก็ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ๆ รอยเท้านั่นต้องเป็นของหมีดำแน่ๆ
ชิราคาวะโกะ หมู่บ้านมรดกโลก
เราขับเลยทางเข้าหมู่บ้านชิราคาวะโกะ หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า หมู่บ้านโอกิมาจิ เพื่อตรงดิ่งขึ้นไปยังจุดชมวิวชิโรยามะ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของใจกลางหมู่บ้าน เราสามารถจอดรถไว้ใกล้ๆ จุดชมวิวได้เลย ที่นี่ทำให้สามารถมองเห็นหมู่บ้านโอกิมาจิเล็กๆ เบื้องล่างได้ทั้งหมด
หลังจากนั้นก็วนลงมาจอดรถไว้ที่ลานจอดรถด้านล่าง เสียค่าจอดคันละ 1,000 เยน และต้องนำรถออกจากบริเวณนี้ก่อนเวลา 16.30 น. หมู่บ้านมรดกโลกแห่งนี้เชิญชวนเราด้วยความขาวของหิมะที่ริมตลิ่งของแม่น้ำโชกาวะ เราข้ามสะพานที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว เพื่อเข้าสู่ภายในหมู่บ้าน ซึ่งมีบ้านไร่กัสโชซูคุริ และบ้านแบบกัสโชซูคุริมินคาเอน โดยมีเอกลักษณ์คือ โครงสร้างบ้านออกแบบเพื่อให้ทนทานต่อหิมะที่ตกหนักตลอดฤดูหนาว บ้านไร่ส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหาร ในขณะที่บ้านไร่บางส่วนที่มีสภาพสมบูรณ์รอบๆ หมู่บ้าน ได้ย้ายให้ไปอยู่ในโซนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง และทันใดนั้นเอง ในระหว่างที่กำลังเดินชมบ้านเรือนเพลินๆ ละอองหิมะก็โปรยปรายมาจากหลังเขาไกลๆ อีกฝั่งของหมู่บ้าน หิมะเม็ดเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากตกประปราย กลายเป็นเป็นตกหนักมากขึ้น ทุกอย่างรอบตัวราวกับถูกมนตร์สะกด เกิดเป็นภาพสตอปโมชันสวยตะลึงถึงกับกู่ร้องอยู่ในใจว่า Mission Accomplished!
อีกไม่ช้าหิมแห่งฤดูหนาวก็จะละลายหายไป
ไฮไลต์อันดับสุดท้ายที่เราจะไม่มีวันลืมนั้น อยู่ห่างจากทาคายามะและชิราคาวาโกะออกไปอีกค่อนข้างไกล ที่นั่นก็คือ ‘อาอิโนคุระ’ ตั้งอยู่ในหุบเขาที่ห่างไกลที่สุดในแถบโกคายามะ เป็นหมู่บ้านโบราณสไตล์กัสโชซูคุริ มุงหลังคาด้วยหญ้าสดที่นำมามัดรวมกันบนความลาดเอียง 60 องศา ที่นี่มีคนอาศัยอยู่เพียงไม่กี่หลัง แต่เพราะทุกคนร่วมอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดั้งเดิมเอาไว้ได้ จนในปี 1995 ได้ขึ้นทะเบียนเป็นอีกหนึ่งในหลายๆ หมู่บ้านมรดกโลกเช่นกัน
เราชอบที่นี่เพราะแทบจะไม่มีนักท่องเที่ยว แถมยังไม่เสียค่าเข้าชมอีก เสียค่าที่จอดรถคันละ 500 เยน ถือว่าคุ้มกับภาพตรงหน้ามาก เพราะแค่เพียงบริเวณจุดจอดรถ เราก็สนุกได้กับอุโมงค์หิมะที่มีใครสักคนทำไว้ รอบกายของเราขาวโพลนไปด้วยหิมะสูงท่วมหัว บางจุดเกือบมิดหลังคาบ้าน เราเดินเล่นสักครู่ สายตาพยายามมองหาจุดชมวิว เพื่อชมความสวยงามของหมู่บ้านในจุดที่สูงที่สุด จนเรามาเจอกับจุดชมวิวแห่งหนึ่ง เมื่อเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ก็พบว่าป้ายบอกพิกัดได้จมอยู่ท่ามกลางกองหิมะไปเสียแล้ว
เวลานี้หิมะบางส่วนเริ่มละลายกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งบางๆ ทำให้ทางเดินขึ้นเนินเขาเตี้ยๆ แห่งนี้ค่อนข้างลื่น บวกกับมีธารน้ำเล็กๆ ไหลผ่าน ซึ่งเกิดจากหิมะบนหลังคาบ้านค่อยๆ ละลาย ก่อตัวเป็นแท่นน้ำแข็งย้อยลงมากลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ อยู่หน้าบ้าน ก่อนจะไหลลงด้านล่าง และจากจุดสูงสุดของบริเวณนี้ ทำให้เรามองเห็นบ้านหลังอื่นๆ ที่อยู่เบื้องหลังได้อย่างชัดเจน มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ ส่วนต้นไม้ที่เติบโตอยู่ด้านข้างหลังของเราคือ ต้นซากุระที่เริ่มมีตุ่มดอกงอกออกมาให้เห็น และในอีกไม่ช้าตัวแทนฤดูหนาวอย่างหิมะก็จะละลายหายไป แล้วดอกซากุระสีชมพูจิ๋วๆ ตัวแทนแห่งฤดูใบไม้ผลิก็เข้ามาแทนที่อีกครั้ง
ทาคายามะส่งเราด้วยหิมะที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องไปตลอดเส้นทางขาออก ในไม่ช้าก็หลุดเขตเมืองทาคายามะ ก่อนเข้าสู่เมืองกุโจ ซึ่งเป็นอีกจุดที่หิมะตกลงมาอย่างหนัก พร้อมๆ กับอากาศที่ลดลงอย่างรวดเร็วเหลือเพียง -2 องศาเซลเซียส แต่หลังจากนั้นไม่นานทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปลี่ยนเป็นภูเขาสูงสีน้ำตาลปกคลุมไปด้วยต้นสนสีเข้ม และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวตามอุณหภูมิที่สูงขึ้น จนกระทั่งวิวสองข้างทางกลายเป็นท้องนาที่มีต้นหญ้าอ่อนๆ และสุดท้ายมาจบวิวชนบทกันที่วิวตึกระฟ้าของเมืองใหญ่ที่เกียวโต โอซาก้า และนาโกย่าเป็นลำดับสุดท้าย
รวมร้านอร่อยที่ต้องห้ามพลาด
สำหรับคนที่ชอบกินปิ้งย่าง เราขอแนะนำร้านปิ้งย่างโบราณชื่อ Sanrokuen ในบ้านเก่าแก่อายุกว่า 150 ปี เมื่อเข้ามาด้านในจะเจอกับเตาย่างที่เรียกว่า โรบาตะ หรือเตาผิงที่วางกับพื้น มีของสดเสียบไม้จัดเป็นเซตให้เราปิ้งย่างเอง เช่น เต้าหู้ทอด ปลาเรนโบว์เทราต์ เนื้อวัวฮิดะ หอยเชลล์ ข้าวโพด มาพร้อมน้ำซุปมิโสะและไหน้ำซอสสีเข้ม ก่อนกินเจ้าของร้านแนะนำว่า ให้ย่างหนึ่งที จุ่มน้ำซอสหนึ่งที แล้วย่างจนสุกค่อยกิน ที่นี่เปิดทุกวันจันทร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 11.00-21.00 น. หยุดวันพฤหัสบดี
ร้านซูชิสไตล์เอโดะ Matsuki Sushi เราได้กินในช่วงเปิดร้านรอบ 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของอาหารเซต หนึ่งคนต้องสั่งอย่างน้อย 1 เซต อย่างซูชิโอมากาเสะ 8 คำ พร้อมซุปมิโสะปู ราคาเซตละ 2,400 เยน พร้อมสั่งเนื้อวัวฮิดะในกระทะร้อน ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อในทาคายามะ ขนาด 100 กรัม ราคา 3,000 เยน ย่างแบบสุกกำลังดี โรยเกลือนิดๆ รสละมุนลิ้นชวนให้เคี้ยวจนคำสุดท้าย ที่นี่เปิดทุกวัน รอบแรกเวลา 11.30-14 .00 น. รอบสอง 17.30-23.00 น.
Food Court ‘Mount View’ ที่ชั้น 4 สถานีนิชิโฮะทะคะคุจิ กับเมนูข้าวหน้าหยอดเหรียญ เวลาสั่งอาหารต้องไปเลือกเมนูที่ตู้อัตโนมัติ กดเลือกข้าวหน้าที่ต้องการ หยอดเงินตามราคาที่กำหนด หยิบบัตรคิวแล้วรอเรียก ใช้เวลาไม่นานก็จะได้เมนูข้าวหน้าสดใหม่ เราขอแนะนำข้าวหน้าเนื้อวัวผัดกับโชยุโรยด้วยหอมใหญ่ราดข้าวร้อนๆ ราคา 780 เยน และโซบะเทมปุระผักร้อนๆ กลิ่มหอมฉุย ราคาชามละ 780 เยน ความฟินระดับสิบท่ามกลางวิวหิมะและไออุ่นของฮีตเตอร์เตาแก๊ส