โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ (JoJo’s Bizarre Adventure) เปิดตัวด้วยการเป็นการ์ตูนต่อสู้ผจญภัย ว่าด้วยเรื่องของตระกูลโจสตาร์ ที่ต้องต่อสู้กับแวมไพร์ที่เกิดจากพลังของหน้ากากศิลา โดยแบ่งออกเป็นคนในแต่ละรุ่น จนกระทั่งมาถึงภาคสี่ที่ อ.อารากิ ลดทอนลายเส้นให้น้อยลง และใส่ความรู้สึกนึกคิดของตัวการ์ตูนแต่ละคนลงไปมากขึ้น
ในภาคนี้ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ ของประเทศญี่ปุ่นที่เหมือนไม่มีอะไร ทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย โดยไม่มีใครเอะใจว่าเมืองนี้มีหญิงสาวหายตัวไปหลายต่อหลายคน จากฝีมือของฆาตกรต่อเนื่องที่ชื่อ คิระ โยชิคาเงะ ผู้มี Killer Queen เป็นสแตนด์ประจำตัว โดยพลังของมันคือสามารถระเบิดทุกอย่างให้สลายกลายเป็นผุยผงได้แค่สัมผัสตัวเท่านั้น
เป้าหมายของความสุขคือการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย
ในบรรดาตัวละครทั้งหมดของ โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ คิระ โยชิคาเงะ เป็นตัวละครที่มีความเป็นมนุษย์อยู่สูงที่สุด โดย อ.อารากิ สร้างให้เขามีจุดมุ่งหมายที่จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย จากการตั้งเป้าหมายให้ตัวเองตั้งแต่เป็นเด็กว่าจะไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น ถ้าแข่งกีฬาก็จะทำให้ตัวเองได้ที่สาม หรือแม้แต่การเรียน เขาก็เลือกที่จะสอบได้เป็นอันดับสามของห้อง เมื่อเติบโตก็เลือกทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศในตำแหน่งคนส่งเอกสาร ใช้ชีวิตทุกๆ วันอย่างไม่มีอะไรหวือหวา แต่กลับเข้มงวดกับตัวเองอย่างเคร่งครัด เช่น ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนอน และออกกำลังกายประมาณยี่สิบนาที เข้านอนไม่เกินห้าทุ่มเพื่อจะได้นอนหลับอย่างเต็มที่วันละแปดชั่วโมง ตั้งใจทำงานของตัวเองอย่างดีที่สุด บุคลิกสุขุมเยือกเย็น พูดน้อย และไม่สุงสิงกับใครถ้าไม่จำเป็น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่ฉลาดมากๆ อย่างเขาจึงเลือกทำงานในตำแหน่งเล็กๆ แลกกับการไม่ต้องอยู่ในออฟฟิศทั้งวัน
ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่บั่นทอนความสงบสุข
คิระเชื่อในแนวคิดที่ว่าการมีชื่อเสียงจะทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวาย ดังนั้น เขาจึงพยายามไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น ไม่ทำตัวให้โดดเด่นกว่าใคร แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมารู้จุดอ่อนของเขาด้วยเช่นกัน แม้จะมีตอนที่แสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ต้องเอาแต่คอยก้มหัวให้หัวหน้าทั้งๆ ที่ความสามารถในการทำงานของเขานั้นมีมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด โดยไม่มีความทะเยอทะยานให้ตัวเองเติบโตในอาชีพการทำงาน ถึงแม้จะไม่อยากให้ใครสนใจตัวเขาก็ตาม แต่คิระเองก็ไม่ต้องการให้คนอื่นมองว่าเขาเป็นคนที่ไร้ความสามารถ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมในตอนเป็นเด็กนั้นเขาจึงเลือกที่จะทำอะไรได้เป็นที่สามตลอด เพราะถึงแม้จะไม่โดดเด่นจนเป็นเป้าสายตาของใคร แต่ก็ยังอยู่ในอันดับของคนเก่งกว่าคนทั่วไป
ที่สำคัญแนวคิดการที่ไม่อยากพาตัวเองขึ้นไปอยู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในการทำงาน ก็เป็นแนวคิดเดียวกับคนญี่ปุ่นหลายคนตอนนี้ที่มองว่าการเป็นหัวหน้านั้นเต็มไปด้วยความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น แต่ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นมานิดเดียว (คนญี่ปุ่นยังมีวัฒนธรรมในการทำงานที่ใดที่หนึ่งจนเกษียณไม่เปลี่ยนงานบ่อยๆ) ดังนั้น การอยู่ในความรับผิดชอบเดิมๆ ที่อยู่มือ (เซฟโซน) แล้วเอาเวลาไปทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุขน่าจะดีกว่า
ไม่ยุ่งกับใครแต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาทำลายความสุข
แม้เขาจะไม่อยากเป็นจุดเด่นหรือต้องเผชิญหน้ากับใคร แต่เมื่อถึงเวลา เขาก็เป็นคนหนึ่งที่สู้ไม่ถอยเหมือนกัน จะเห็นได้จากหลายๆ ครั้งเมื่อเหล่าตัวเอกเริ่มหาเบาะแสจนใกล้มาถึงตัวแล้ว เขาจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามาถึงตัวได้ แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤตสุดๆ จนเราคิดว่าต้องโดนเปิดเผยตัวแน่ๆ เขาก็ยอมเลือกที่จะตัดมือของตัวเองทิ้งหรือกระทั่งไปบังคับผู้ใช้สแตนด์ที่มีพลังเปลี่ยนใบหน้า ทำการสลับหน้าของเขากับผู้ชายอีกคน และสร้างตัวตนใหม่ด้วยการสวมรอยเป็นผู้ชายคนนั้นไปใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวของเหยื่อ โดยพยายามทำทุกอย่างให้เรียบง่ายที่สุด จนถึงขั้นยอมกลั้นใจไม่ฆ่าผู้หญิงที่เป็นภรรยาของชายที่เขาไปนำใบหน้ามา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องน่าสงสัยในชีวิตใหม่ของเขา (อาการทางจิตของเขาคือเมื่อเห็นสรีระที่สวยงามของผู้หญิงจะเป็นการกระตุ้นความอยากฆ่าคนคนนั้น)
ไม่มีสิ่งไหนที่สมบูรณ์แบบที่สุด
คิระ โยชิคาเงะ อาจดูเป็นคนที่สมบูรณ์แบบทั้งหน้าตาดี มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำอาหารก็เก่ง ฉลาดรอบรู้ เป็นคนนิ่งขรึม เด็ดเดี่ยว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทำไมพลังสแตนด์ของเขาจึงมีพลังโจมตีที่รุนแรง แต่ในความสมบูรณ์แบบนี้ อ.อารากิ ก็เติมบางอย่างที่ไม่สมบูรณ์แบบลงไปด้วย เช่น หลายครั้งที่เขาลืมระวังข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เพราะความมั่นใจในตัวเองจนทำให้พวกพระเอกตามสืบจนเจอ หรือเมื่อเกิดอาการหวาดกลัวจนขีดสุดเขาก็จะกัดเล็บตัวเอง ซึ่งนั่นเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้คนอ่านเข้าถึงตัวละครนี้ได้มากขึ้นกว่าเดิม
อิคิไก ความหมายของการมีชีวิต
ถ้าจะบอกว่า คิระ โยชิคาเงะ เป็นคนที่มีอิคิไก (ปรัชญาว่าด้วยความหมายของชีวิต) ในตัวเองครบทุกข้อก็คงได้ เพราะเสาหลักของอิคิไกทั้ง 5 ต้นนั้น ได้แก่ การเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ก็ตรงกับที่คิระมีระเบียบแบบแผนให้ชีวิต ทั้งการกลับถึงบ้านไม่เกินสองทุ่มหรือนอนให้ได้วันละแปดชั่วโมง ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปทำงาน เขาเลือกจะใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องและยั่งยืน โดยเจ้าตัวเคยพูดว่า เป้าหมายของตัวเองคือการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขดั่งต้นไม้ มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ซึ่งเป็นความตลกร้ายหน่อยๆ ที่เขามีความสุขด้วยการฆ่าเหยื่อซึ่งเป็นหญิงสาวที่ตัวเองชอบแล้วเหลือแค่มือของเหยื่อไว้พกติดตัวไปไหนมาไหน เมื่อมือนั้นเริ่มเน่าก็ทำลายทิ้งและหาเหยื่อรายใหม่ต่อไป ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงแนวคิดการอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่เริ่มเสื่อมก็ทิ้งไปหรือการไม่พาตัวเองทะยานไปในตำแหน่งสูงๆ ของหน้าที่การงาน รวมถึงเสาต้นสุดท้ายของแนวคิดแบบอิคิไกนั่นคือ การปลดปล่อยตัวเอง ซึ่งเขาได้เลือกวิถีชีวิตที่ไม่ยึดติดกับสถานะหรือชื่อเสียง โดยขอใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องโดดเด่นในสายตาของใคร
ความสุขอาจอยู่แค่ให้ชีวิตเดินไปในทางสายกลาง
เมื่อตัดด้านมืดและความชั่วร้ายเห็นแก่ตัว รวมถึงความสุดโต่งในบางเรื่องของคิระออกไป เราอาจนำแนวคิดของตัวละครนี้มาปรับใช้กับตัวเองได้ เพราะบางทีความวุ่นวายของชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ อาจจะมาจากที่เรายึดติดกับเรื่องสถานะทางสังคมมากเกิน หากเราทำตัวให้ไม่ตึงหรือหย่อนไป มีกฎเกณฑ์การใช้ชีวิตให้ตัวเอง ไม่ไปเปรียบเทียบกับใครหรือเอาความคิดของตัวเองไปตัดสินคนอื่น ลดทอนความความหวังในชีวิตลง ไม่ไขว่คว้าหาความสุขจนเกินตัว และไม่แบกความทุกข์ไว้จนหนักอึ้ง ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายแต่ก็กลมกลืนไปกับคนทั่วไป นี่อาจจะเป็นสมดุลของชีวิตที่ใครกำลังตามหาอยู่ก็ได้
ถึงจะมีชื่อเสียงเงินทองมากมายเท่าไหร่ก็ตาม แต่สุดท้ายคงไม่มีอะไรจะมีความสุขได้เท่ากับการที่เราล้มตัวลงบนที่นอนและหลับสนิทได้ทุกคืนจนถึงเช้า โดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องของวันพรุ่งนี้ก็ได้