สมบัษร ถิระสาโรช

ความหมายของยางลบความทุกข์ แง่คิดการใช้ชีวิตทางสายกลางแบบตือสนิท

ในวัย 58 ปี คุณคิดว่าคนอย่าง ‘ป้าตือ’ – สมบัษร ถิระสาโรช มองชีวิตของตัวเองอย่างไร สำหรับเราที่รู้จักกับออร์แกไนเซอร์มือหนึ่งของเมืองไทยคนนี้ มองว่าป้าตือเป็นคนที่ยังมีไฟในการทำงานอย่างเต็มเปี่ยมโดยไม่เกี่ยงกับตัวเลขของอายุ และเป็นคนที่ดูแลทีมงานเสมือนเป็นคนในครอบครัวของตัวเองอย่างดี แม้บางทีจะมีความเกรี้ยวกราดแสดงออกมาบ้างในบางครั้งที่พบกับเรื่องจุกจิกที่ไม่เป็นดั่งใจ แต่อีกมุมหนึ่งที่คนไม่ค่อยเห็นคือ ป้าตือเป็นคนที่ปล่อยวางกับปัญหาทุกอย่างได้ง่ายดายเหมือนกับคนที่ไม่แยแสอะไรในโลก

        การไม่สนใจสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ของป้าตือนั้น ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนไร้หัวใจ ในทางตรงกันข้าม เพราะความรักตัวเองอย่างล้นเหลือต่างหาก จึงทำให้ต้องเลือกตัดบางสิ่งเพื่อเก็บบางอย่างให้ชีวิตมีความสุขที่สุด แนวคิดนี้เธอเรียกว่า ‘ยางลบ’ โดยบอกว่าคนเราควรมียางลบในใจเอาไว้ใช้ขจัดสิ่งมัวหมองที่มาแปดเปื้อนความสุขให้สะอาดอยู่เสมอ เมื่อตัวเองมีความสุข เราก็พร้อมจะรักคนอื่นได้เหมือนกับที่เรารักตัวเอง ป้าตือกล่าวเช่นนั้น

        นั่นจึงเป็นที่มาของการพูดคุยกันในวันนี้ วันที่อากาศในกรุงเทพฯ กำลังดี มลพิษที่ลดลง รถยนต์บนถนนมีไม่มาก แม้จะติดขัดในเรื่องใหญ่ๆ ของชีวิตอยู่ตอนนี้ แต่บางทีการวางปัญหาลงไว้ชั่วครู่ให้สมองได้พักและมีความปลอดโปร่งบ้างด้วยการอ่านบทสนทนาระหว่างเรากับป้าตือ อาจทำให้เกิดไอเดียในการแก้ปัญหาบางอย่างขึ้นมาก็ได้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการที่เราต้องรักตัวเองให้มากขึ้นก่อน โดยเฉพาะในวันที่มนุษย์กำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ระดับโลกอยู่ตอนนี้

 

สมบัษร ถิระสาโรช

คุณมักพรินต์ข้อความหรือแง่คิดต่างๆ ในการใช้ชีวิตไว้ตามจุดต่างๆ ในบ้าน สิ่งเหล่านี้มีไว้สำหรับเตือนสติตัวเองในทุกวันใช่ไหม

        เราเป็นคนที่ไปวัดกับแม่ตั้งแต่เด็ก ซึ่งหลวงพ่อมักจะคุยโน่นคุยนี่ให้เราฟังเสมอก็เลยซึมซับมา หรือบางทีเราก็ถามเตี่ยกับแม่ว่า ‘หลวงพ่อพูดว่าอะไร’ เพราะบางคำพูดเราไม่ค่อยเข้าใจ แม่เขาก็อธิบายให้ฟัง ถ้าเป็นคำพูดดีๆ เราจะจำ หรือเวลาเราไปอ่านเจออะไร เห็นอะไรดีๆ เราก็จะเก็บมาเพื่อเอาไว้เตือนตัวเอง ง่ายๆ คือบ้านนี้เป็นเหมือนวัดที่เวลาเราไปแล้วจะเห็นหลักธรรมคำสอนที่แขวนอยู่ตามต้นไม้ บ้านเราก็เช่นกัน (หัวเราะ)

มีกระดาษแผ่นหนึ่งเป็นข้อคิดว่าชีวิตเราควรลืมเรื่องนั้นเรื่องนี้ ลืมว่าเคยโกรธใคร ลืมเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ลืมเรื่องที่หัวใจอ่อนแอ แต่มีข้อหนึ่งที่สงสัยคือ ลืมขอโทษคนอื่น ประโยคนี้หมายความเช่นไร

        หมายความว่าคนเรามักจะลืมทำตัวดีๆ กับคนรอบข้าง ลืมขอโทษเวลาที่ตัวเองทำผิด ซึ่งการขอโทษเป็นสิ่งที่เราไม่ควรลืม คุณกล่าวคำขอโทษไปเถอะ ไม่เสียเงินหรอก พูดไปเลย และถ้าเรารู้สึกผิดก็แค่เดินไปบอกเขาว่า ‘sorry นะ’ ‘ฉันผิดนะ’ ‘ฉันขอโทษนะ’ เพราะการพูดว่า sorry หรือการกล่าวคำขอโทษ เราถือว่าเป็นหนึ่งในเรื่องความรับผิดชอบของการเป็นมนุษย์ คุณทำผิดก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง และก็ต้องรู้จักแก้ไขความผิดเหล่านั้น

การที่ใครสักคนที่มีทิฐิเยอะๆ เมื่อได้กลั้นใจพูดขอโทษใครสักคน มันเหมือนกับเราได้ปลดล็อกตัวเองไปอีกขั้นเหมือนกันนะ

        มันคือยางลบค่ะ คำว่า ‘ขอโทษ’ มันคือยางลบที่มาลบจุดดำในใจเรา คนเรามันต้องมียางลบ และคำว่าขอโทษมันคือยางลบดีๆ นี่เอง

คุณเริ่มพูดขอโทษกับคนอื่นมาตั้งแต่ตอนไหน

        ตั้งแต่เด็กเลย ถ้าทำอะไรผิดเราก็จะพูดว่า ‘ขอโทษ’ และเราต้องหัดพูดขอโทษให้ได้ เราถูกสอนมาเสมอให้หัดพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ กับ ‘ขอบคุณ’ เพราะสองคำนี้เป็นเรื่องปกติของชีวิต ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าเราทำไม่ดี เราก็ say sorry กับเขา เราได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างนี้ และบางทีคนไทยมักจะมีความรู้สึกว่าไม่กล้าที่จะเอ่ยคำขอโทษ คนไทยอาจจะถูกสอนมาว่ามีอะไรให้เก็บ แต่เราถูกสอนว่าต้องหัดพูดความจริงและพูดความในใจออกมาให้คนอื่นได้รู้

การพูดขอโทษแบบจริงใจกับการพูดขอโทษเพื่อให้จบๆ ไป ถ้าเป็นแบบหลัง คุณจะโอเคหรือเปล่า

        สำหรับเราไม่เป็นปัญหานะ แต่ก็คงเป็นปัญหาของเขา ถ้าเขาพูดว่าขอโทษแล้วแต่เขาไม่จบนั่นเป็นปัญหาของเขา เพราะสำหรับเราการพูดว่า ‘ขอโทษ’ คือจบ หรือถ้าคนที่เรา say sorry เขาไม่จบก็ไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่เป็นปัญหาของเขา เพราะเราได้แสดงออกไปแล้วว่าขออภัย ดีกรีคำว่า ‘ขอโทษ’ มันมีหลายดีกรี เราจะสัมผัสได้เองว่าใครขอโทษจริงๆ หรือใครขอโทษแค่ให้มันจบๆ ไป ถ้าเขาต้องการที่จะขอโทษให้มันจบๆ ไป ณ เวลานั้น หรือขอโทษเพื่อต้องการให้ทุกอย่างมันดีขึ้นเราก็โอเค ไม่คิดมากเรื่องนี้เลย เราเป็นคนมียางลบอยู่กับตัวเสมอ ไม่เคยติดค้างใคร ถ้าวันนี้เรามีความทุกข์ เราก็จะรีบพูดความทุกข์นั้นให้มันจบ และถ้ามันจบแล้วเกิดการแก้ไขที่ดีหรือไม่ดีตามมา เราก็ยอมรับได้หมด

เราสามารถใช้ยางลบนั้นลบทุกเรื่องในชีวิตได้ใช่ไหม เช่น ความเจ็บปวดเวลาที่อกหัก

        ทุกเรื่องค่ะ แต่ในชีวิตเราไม่เคยอกหักค่ะ เพราะโดนสอนมาว่าให้ทิ้งผู้ชายก่อน (หัวเราะ) สวยเนาะ

คุณไม่เคยเจ็บปวดกับความรักเลยอย่างนั้นเหรอ

        เคยเจ็บปวดค่ะ แต่ถ้าเรารู้ว่าฝืนอยู่แล้วทุกข์เราจะไม่อยู่ให้เสียเวลา เพราะอันดับแรกเราต้องรักตัวเองก่อน ถ้าไม่รักตัวเองแล้วเราจะไม่มีความสุข แล้วเราก็จะไม่สามารถรักเขาได้ เวลาเกิดเรื่องไม่ดี เราจะไปยืนหน้ากระจกแล้วพูดกับคนในกระจกเสมอว่า ‘ขอบคุณนะที่ไม่ทิ้งกัน และขอบคุณที่อยู่ข้างฉันตลอด’ เราต้องพูดกับตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง และรักตัวเองค่ะ ขอบคุณที่เธอรักฉัน

 

สมบัษร ถิระสาโรช

ปัญหาในความสัมพันธ์สมัยที่ยังเป็นเด็กของคุณส่วนใหญ่มาจากเรื่องอะไร

        การเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง นี่คือปัญหาสมัยเราเป็นเด็ก จนถึงวันหนึ่งที่เรียนรู้ว่าทุกอย่างไม่ใช่แค่เรื่องของความรักอย่างเดียว ถ้าเราเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเมื่อไหร่เราจะเป็นทุกข์ แต่สมมติว่าตอนนี้เรามีความทุกข์กับคุณ เราจะเดินไปบอกคุณเลยว่า ‘เธอ ขอเคลียร์เดี๋ยวนี้’ เพราะเราจะไม่เก็บไม่ดองความทุกข์ข้ามวัน เสียเวลา เราเคยโกรธคนนานที่สุดแค่อาทิตย์เดียวเองนะ (หัวเราะ)

เราจำเป็นต้องจัดลำดับความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเหมือนจัดลำดับการทำงานด้วยใช่ไหม

        ต้องจัดค่ะ เพราะกฎของการเป็นมนุษย์คือถ้าคุณไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของผู้คนได้ แล้วเอามาปนกันหมดมันจะกลายเป็นความทุกข์ และจะกลายเป็นการสร้างความทุกข์ให้ตัวเองโดยอัตโนมัติเลย ดังนั้นการจัดลำดับจึงเป็นสิ่งที่ดี ถ้าวันนี้คนนี้อยู่ลำดับนี้แล้วเขาดีกับเรา เราก็ต้องเสิร์ฟอย่างเต็มที่กับความดีของเขา แต่ถ้าวันนี้เขาดีกับเราน้อยลงก็แค่ลดลำดับความสำคัญลงมาแค่นั้นเอง เราเชื่ออย่างหนึ่งว่ากฎของการเป็นมนุษย์คือการจัดลำดับ ซึ่งวิธีการนี้สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้

จัดลำดับคนกับจัดลำดับสิ่งของในบ้านใช้วิธีการเดียวกันไหม

        ไม่เกี่ยวนะ เราว่าไม่ได้อยู่ที่การจัดบ้าน การจัดบ้านเป็นนิสัยส่วนตัว แต่การจัดลำดับคนเป็นสิ่งที่อยู่ในสมอง การจัดลำดับคนถือว่าจำเป็นมากในการที่เราจะพูดคุยหรือพบเจอผู้คน ทำให้เรารู้ว่าการให้ความสำคัญในระดับไหนจึงจะเหมาะกับเขา เรื่องนี้เป็นศาสตร์ของแต่ละบุคคล ไม่มีผิดหรือถูก บางอย่างที่เราจัดลำดับกับบางอย่างที่คนอื่นจัดลำดับอาจไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว แต่สำหรับเรา เราจะเอาความสุขเป็นที่ตั้งในการเลือกคน

        วิธีนี้เราค้นพบตอนที่เรารู้สึกไม่สบายใจ เราค้นพบว่าทำไมตัวเองถึงไม่สบายใจ หรือทำไมเราถึงให้ค่ากับสิ่งนี้มากเกินไป และมีสิ่งที่ดีกว่าสิ่งนี้อีกไหม ถ้ามันมีสิ่งที่ดีกว่าสิ่งนี้ เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ค่า จบ ปิดสวิตช์ หมดเวลา หมดอายุ ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ดีกว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่เป็นความชุ่มชื่นในจิตใจ เราควรให้ความสำคัญกับมัน เราคิดแค่นี้

คิดแบบนี้จึงทำให้คุณแทบไม่ต้องปวดหัวกับชีวิตอีกแล้วใช่ไหม

        ปีนี้เราอายุ 58 แล้ว เรามีปัญหาอยู่อย่างเดียวคือความสวยไม่ยอมลด (หัวเราะ) เราไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้วนะ คนมักบอกว่าคนอายุ 58 ต้องเป็นวัยทอง เราก็ยอมรับมัน นอนไม่หลับก็ต้องยอมรับมัน นอนกลางคืนเปิดแอร์สี่ตัวแต่ก็ยังเหงื่อแตกก็ต้องยอมรับมัน หรือเวลาเราหงุดหงิดเราก็ต้องยอมรับกับสิ่งนี้ให้ได้ เราก็ต้องเดินไปบอกกับคนรอบข้างและคนที่รักเราว่า ‘ขอโทษนะ อย่าโกรธกันเลยถ้าฉันควบคุมตัวเองไม่ได้ในอารมณ์ที่ฉันเป็นวัยทองแล้วฉันเหวี่ยง’ ก็มันช่วยไม่ได้ แต่ว่าเราโชคดีอย่างหนึ่งคือเรารู้จักขอโทษ เวลาเรามีสภาพวัยทองหรือตอนที่สมอง error

คนอย่างป้าตือเกิดอาการ error บ่อยแค่ไหน แล้วใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะรีบูตตัวเองกลับมาให้เป็นปกติ

        ไม่บ่อยค่ะ เพราะว่าเราไม่ได้คิดว่าอาการนี้มาจากวัยทอง มันเลยทำอะไรเราไม่ค่อยได้ สิ่งที่มันทำกับเราอย่างเดียวคือกลางคืนเรานอนไม่ค่อยหลับ แต่ตอนหลังก็แก้ปัญหา เราก็สู้กับเขา เพราะถ้านอนไม่หลับเราก็ไม่นอน วัยทองเธอจะมาสู้กับฉันใช่ไหม เธอทำให้ฉันนอนไม่หลับ ฉันก็จะไม่หลับ และในที่สุดร่างกายก็จะอยากหลับ แล้วก็จะหลับยาวไปเลยสิบชั่วโมง สิบสองชั่วโมง สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้ไปเลย เราสู้อย่างนี้ไปเลยและเราก็แฮปปี้ ถ้ามีงานก็จัดลำดับงานก่อนแล้วค่อยไปสู้กับมัน แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ เราก็ลุกขึ้นมาทำงานแล้วค่อยกลับไปนอนพักต่อ

 

สมบัษร ถิระสาโรช

วันไหนที่ใจไม่พร้อม คุณปรับตัวอย่างไรถ้าต้องออกไปเจอกับเรื่องต่างๆ ข้างนอกบ้าน

        ถ้าเราไม่มีความสุขเราจะไม่ออกจากบ้าน เพราะถ้าต้องออกจากบ้านไปด้วยความรู้สึกที่ฝืนตัวเอง เราจะไม่ไป บ่อยครั้งที่เรามักจะโทร.ไปบอกกับน้องๆ ที่ออฟฟิศว่าวันนี้พี่ขอเวลาส่วนตัวนะ เพราะว่าวันนี้พี่ไม่โอเค เราต้องพูดความจริงกับเขา วันนี้หนูไปคุยกับลูกค้านะ แล้วฝากบอกลูกค้าด้วยว่าวันนี้พี่ไม่พร้อม นี่คือความจริง ก็เราไม่พร้อมจะให้ทำยังไง เราไม่พร้อมแล้วเราจะเอาใบหน้าบึ้งๆ อารมณ์หงุดหงิด ความเครียด หรืออะไรก็ไม่รู้ที่เกิดขึ้นในบ้านเราไปให้เขาเห็น เราจะดูเป็นคนชั่วมาก เราห้ามแผ่พลังลบให้เขา

เพื่อนรุ่นเดียวกันตอนนี้เขายังใช้ชีวิตที่เปรี้ยวแบบคุณอยู่ไหม

        คนรุ่นเราตอนนี้เขาก็อยู่บ้านเลี้ยงหลาน แล้วก็ส่งไลน์สวัสดีวันจันทร์ แล้วพอใครส่งมาเยอะๆ เราก็จะบอก ‘มึงเลิกส่งให้กูเดี๋ยวนี้เลย’ (หัวเราะ) แต่เราว่าเขามีความสุขนะ มีคนมาถามเราเสมอว่า ‘เราจะทำงานไปจนอายุเท่าไหร่’ เราตอบไม่ได้ แต่เราเชื่ออย่างหนึ่งว่าเรามีความสุขกับการได้ทำงาน เรามีความสุขกับการได้เจอผู้คน เราตอบไม่ได้ว่าอันนี้คืองานหรืออันนี้คืออะไร เพราะบางทีเราแบ่งแยกความสุขกับงานไม่ถูก อันนี้คือความลับของเราที่ไม่ได้บอกใคร

ตอนนี้ที่โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาด มีผลกระทบต่องานหรือชีวิตคุณแค่ไหน

        เอาความจริงแบบไม่โลกสวยนะ เราบอกกับทุกคนว่าจริงๆ แล้วมันเป็นการเปลี่ยนยุค การเปลี่ยนยุคในวันที่มันเป็นยุคเรอแนซ็องส์ของความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจหรือธุรกิจ เราก็ยอมรับกับสิ่งนั้นและอยู่กับมันได้ แต่ ณ วันนี้มันเปลี่ยนไป เราไม่ยึดติดกับเรื่องเดิม เราไม่ยึดติดกับความรุ่งเรืองในอดีตแล้ว เราตั้งรับใหม่ แล้วก็ลงทุนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะลงทุนด้วยใจ ลงทุนด้วยเงิน หรืออะไรก็แล้วแต่ เราต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลง มันคือการเปลี่ยนของยุคสมัย โรคระบาดก็คือโรคระบาด แล้วยังไง เราจะไปคัดค้านทำไม ในเมื่อมันระบาดกันทั้งโลก ในเมื่อมันเป็นโรคระบาด เราก็ต้องเข้าใจและเตรียมตัวถ้ามันจะรุนแรงกว่านี้ ให้คิดง่ายๆ เป็นมูลค่าของเงินก็ได้ เราเล่นกับคำว่าโรคระบาด เป็นโรคละบาท ถ้าต่อไปมันแพงขึ้นเป็นโรคละสิบบาท โรคละพันบาท คุณก็ต้องคิดแล้วว่าจะอยู่อย่างไร

        ถ้าเป็นเราก็ต้องอยู่ในความไม่ประมาท เราเป็นคนชอบวางแผนอยู่แล้ว เราจะเป็นคนทำธุรกิจแบบเตรียมการทุกอย่างไว้ ตอนนี้เราวางแผน 6 เดือนไว้หมดแล้ว ถ้าเกิดภายใน 6 เดือน ธุรกิจไม่มีเงินเข้าสักบาท เราจะอยู่ได้ 6 เดือน หลังจากเดือนที่ 6 ก็ต้องเคลียร์ แต่ถ้า 6 เดือนเราไม่มีงาน ไม่มีอะไรเข้ามาก็ต้องพัง แต่เราไม่อยากให้ทุกคนกังวลกับเรื่องของเศรษฐกิจตอนนี้ เราบอกกับทุกคนว่า ‘ตอนนี้คุณกำลังเริ่มต้นใหม่แล้ว ที่ผ่านมามันจบไปแล้ว เริ่มตอนนี้ ทำตอนนี้ คุณมีลู่ทาง มีอะไรทำ คุณคิดอะไรแล้วทำในสิ่งที่คุณจะต่อยอด’ ถ้าวันนี้มันพังก็ไปเริ่มใหม่ ทุกๆ อย่างมันมีโอกาส เราอายุ 58 แล้วเรายังทำธุรกิจใหม่ๆ เต็มไปหมด เราไม่เห็นจะแก่ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราวางแผนให้ดีธุรกิจก็จะดีตามมาเอง

คุณกลัวความตายไหม

        เราไม่เคยกลัวเรื่องความตายเลย แต่เราเคยมีความกังวลกับเรื่องนี้ จนวันหนึ่งไปนั่งคุยกับเพื่อนสนิทแล้วเขาบอกว่า ‘ถ้าวันหนึ่งถ้ารู้ว่าจะต้องตาย ชีวิตที่เหลือก่อนวันตายตือจะทำอะไร ถ้าเป็นเรา เราจะหาความสุขให้เยอะที่สุด’ ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงที่เปิดโลกเราเลย

        เรารู้สึกดีขึ้นมาทันทีเลยว่า ถ้าวันนี้เราจะต้องตาย จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข กินในสิ่งที่อยากกิน เที่ยวในที่ที่อยากเที่ยว และทำในสิ่งที่อยากทำ เพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องตาย แล้วเราก็ฝืนมันไม่ได้ เราเลยไม่กลัวว่าจะต้องตาย จะไปกลัวทำไมในเมื่อมนุษย์ก็ต้องตาย แต่ฉันมีความสุขไปจนถึงวันตายก็คุ้มแล้ว ใช่ไหม และชีวิตหลังความตายเราก็ไม่รู้ว่าชาติหน้าจะเกิดไปเป็นหินหรือเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวมัน ชีวิตหลังความตายมันไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่เป็นปัญหาของคนที่เหลือที่อยู่

การมีชีวิตอยู่โดยมองเห็นคนรอบตัวค่อยๆ จากไป คุณรู้สึกว่ามันบั่นทอนจิตใจบ้างไหม

        ไม่ค่ะ ด้วยความสัตย์จริง เราไม่รู้สึกทุกข์นะ เรารู้สึกเขาโชคดีที่ไม่ต้องมาเจอเรื่องในอนาคตที่มันซับซ้อนอีก คุณจะรู้ได้ยังไงว่าคนที่เกิดมาจนอายุ 20 แล้วเขาไม่มีความสุข หรือคุณเกิดมาจนอายุ 80 แล้วไม่มีความสุข มันตอบไม่ได้เพราะชีวิตเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ในอายุ 80 ปี เขาอยู่บนโลกใบนี้แล้วมีความสุขแค่ 20% เขาอาจจะพอใจก็ได้ หรือคนเกิดมาแค่อายุ 20 ปี แล้วเขามีความสุขในสิ่งที่เขาเป็น

        คนเราชอบคิดแทนคนอื่นว่า ‘เฮ้ย เสียดายจังเลย คนนี้ไม่น่าอายุสั้น’ อืม… ความเสือกกับหวังดีมันเป็นพี่น้องกันนะ (หัวเราะ) การเสียชีวิตของคนรอบข้างเป็นชะตาชีวิตของเขา เขามีอายุมาเท่านี้ เรามีอายุเท่านี้ก็ต้องทำสิ่งที่เรามีอยู่ ณ ตอนนี้ให้มันดีที่สุดก็แค่นั้นเอง ไม่ต้องไปกังวลและทุกข์กับมัน

        เราไปอ่านข้อความหนึ่งมา ข้อความนั้นทำให้เราแฮปปี้มากเลย ว่าเรามีชีวิตไปทำไม นั่นคือเรามีชีวิตอยู่แค่ ‘ทำความสุขวันละหนึ่งอย่าง’ ก็จบแล้ว ความสุขวันนี้ของเราคืออะไร สำหรับเราคือได้กินสตาร์บัคส์ ‘แล้วก็ทำความดีวันละหนึ่งอย่าง’

        ส่วนวันนี้ความดีของเราคืออะไร วันนี้เราได้ซื้อสตาร์บัคส์ เงินจากการซื้อสตาร์บัคส์ก็ทำให้พนักงานสตาร์บัคส์มีเงินไปเลี้ยงครอบครัว เราได้ทำความดีแล้ว แล้วก็มีความสุขแล้ว

 

สมบัษร ถิระสาโรช

เด็กต่างจังหวัดรุ่นพี่อย่างคุณ มีคำแนะนำให้กับน้องๆ ในตอนนี้ที่เดินทางเข้ามาทำงานในเมืองกรุง และกำลังเผชิญกับปัญหาต่างๆ ของการอยู่ในเมืองที่มีแต่ความรีบเร่งในปัจจุบันอย่างไร

        จริงๆ แล้วเราจะบอกว่าถ้าคุณอยู่ที่ไหนแล้วคุณมีแต่ความทุกข์ คุณก็จะทุกข์ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะอยู่บ้านนอกหรืออยู่ในเมือง ถูกไหม

        มีกฎข้อหนึ่งสำหรับชีวิตเราคือจะไม่เอาความทุกข์มาเป็นเพื่อนเด็ดขาด ในเมื่อคุณรู้ว่านี่คือทุกข์ เหตุของทุกข์คืออะไร แล้วคุณมีวิธีดับทุกข์ยังไง คุณมีคำตอบของคุณ คนเรามันไม่เหมือนกันสักคนเลย

        คุณบอกว่าเด็กคนนี้เขามีทุกข์เพราะว่าเขาอยู่ในเมือง เหตุของทุกข์คืออะไร คืออยู่ในเมือง วิธีดับทุกข์คืออะไรเขาก็ต้องหนีไปนอกเมืองเสียก็จบ ไปอยู่ในที่ที่เชามีความสุข แต่ถ้าหนีไม่ได้เขาก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้ไปทำในสิ่งที่เขามีความสุข ในเมื่อเขาหนีไม่ได้ เขาต้องอยู่ในเมือง เขาก็ต้องยอมรับว่าจะอยู่ในเมืองอย่างมีความสุขยังไง เขาต้องทำให้ได้ แค่นั้นเองสำหรับเรา คนมักจะบ่นว่าตัวเองเจอกับปัญหานั้นปัญหานี้ เพราะในความจริงเราเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ไม่ว่าจะปัญหามลพิษหรือรถติด ในเมื่อถ้าคุณยังอยู่ตรงนี้ได้คุณต้องปรับตัวเองและยอมรับในสิ่งนี้

        แต่ถ้าคุณยอมรับว่าคุณแก้ปัญหานี้ไม่ได้ก็ต้องออกมาแล้วไปอยู่ที่อื่นแค่นั้นเอง แล้วปัญหาบางอย่างของคนอื่น เราจะไม่ค่อยเอามาใส่หัวเรา บางทีรับฟังแต่ไม่รับรู้นะ เพราะว่าหัวเราต้องโล่ง ถ้าเรามีของเน่าอยู่ในหัวมันก็จะไม่มีพื้นที่เก็บเรื่องดีๆ เรายังยืนยันคำเดิม กฎของการเป็นมนุษย์สำหรับเราคือหัวต้องโล่งใส่เรื่องดีๆ เท่านั้น

ได้คุยกับคุณวันนี้พบว่าแนวคิดของคุณมีความเป็นพุทธมากจริงๆ พุทธเกินภาพลักษณ์ที่เราเห็นกันจนชินตา

        มันเป็นกฎของมนุษย์นะ เราว่ากฎของการเป็นมนุษย์คือเราต้องมีความสุข ถ้าเราไม่มีความสุขเราทำให้คนอื่นมีความสุขไม่ได้ แค่นั้นจริงๆ  เราเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เราเลือกมีความสุข

แต่ในหลักธรรมเขาบอกว่าเราไม่ควรเอาตัวเองเป็นที่ตั้งนะ

        โน! ไม่จริงค่ะ เราว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เราห้ามรักตัวเองหรือคนในโลก ศาสดาทั่วโลกก็ไม่เคยสอนว่าห้ามรักตัวเอง เราไม่รู้นะ แต่เราเกิดมาเราถูกสอนว่าให้รักตัวเอง แล้วถ้าเรารักตัวเองแล้วมีความสุข เราจะทำให้คนอื่นมีความสุขได้ แต่ถ้าเรามีความทุกข์เราจะส่งพลังลบไปหาเขาทันที

คุณอยากมีลูกไหม

        ไม่อยากมีค่ะ เราไม่ชอบมีภาระ การมีลูกหรือการมีแฟนต้องไม่เป็นภาระเรา อย่างการมีแฟนเรายังจัดการได้ แต่ถ้าลูกนี่บางทีเราคิดว่าอาจจะจัดการลูกไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะว่าเห็นเพื่อนเรา เห็นใครหลายๆ คนมีลูก แล้วเขาก็มีความอะไรสักอย่าง แลวเรารู้สึกทันทีเลยว่าเราไม่อยากมีลูก

เรากลับคิดว่าถ้าคุณมีลูก คุณจะสามารถสอนเขาให้เป็นคนดีได้เลย

        ไม่จริงค่ะ เราว่าเราอาจจะเลี้ยงลูกได้แย่ก็ได้ เพราะเราเป็นคนชอบสปอยล์คน เพราะหลานเราทุกคน ลูกเพื่อนทุกคนเสร็จเราหมดเลย  (หัวเราะ)

สุดท้ายชีวิตก็คือการคัดกรอง เลือกเอาแต่ความสุขให้ตัวเอง อะไรที่ไม่ใช่ก็ทิ้งไปใช่ไหม

        ไม่ต้องคัดกรองหรอก เราติดป้ายห้ามเลย การคัดกรองอย่างน้อยก็ต้องมาเล็มๆ เราไม่เอา เสียเวลา เราทำอย่างนั้นจริงๆ สิ่งที่เราพูดติดปากเลยคือ ‘ขอโทษนะ ไม่ใช่ปัญหาของเราเนอะ เราขอโทษจริงๆ’ เราพูดแบบนั้นเลย แล้วมันทำให้รอดตัว เราก็ไม่ต้องมานั่งฟังหรือให้เรามานั่งฟังแต่ไม่ต้องรับรู้ คุยๆ พอแยกย้ายปิดประตูปั๊บก็ไม่เกี่ยวกันแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าคุณดูดซับเรื่องราวนั้นแล้วคุณเก็บสะสมไว้คุณก็เป็นมะเร็ง เราไม่ชอบ เราเป็นคนมียางลบในชีวิตเสมอ