รวยบุญ

บุษยรัตน์ ผัดผล เจ้าของแบรนด์รวยบุญ เมื่อการกลับบ้านคือการค้นหาตัวตน

หากย้อนเวลากลับไปตอนอายุ 15 ปี หลายคนอาจจำไม่ได้หรือนึกไม่ออกว่าตัวเองชอบทำอะไรเป็นพิเศษ แต่สำหรับ ‘โบว์’- บุษยรัตน์ ผัดผล เจ้าของแบรนด์รวยบุญ ผ้าธรรมชาติ จำได้ดีว่า ในช่วงนั้น เธอเพิ่งได้รับตำแหน่งแกนนำกลุ่มเยาวชนในเครือข่ายมูลนิธิฮักเมืองน่าน ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของเด็กและเยาวชนทั้งอำเภอในจังหวัดน่าน ครอบคลุมทั้งเด็กเมืองและเด็กดอย เพื่อทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม วันนี้เธอตัดสินใจกลับมาอยู่ที่น่านพร้อมตั้งใจที่จะสร้างอาชีพให้คนในชุมชนให้ดียิ่งขึ้น

ในอนาคตหากน่านมีการเปลี่ยนแปลง มีอะไรให้ทำมากกว่านี้ วันนั้นคงมีคนรุ่นใหม่กลับน่านกันมากขึ้น

รวยบุญ

COME HOME

“หลังจากเรียนจบและออกไปทำงานยังจังหวัดอื่นได้เพียงปีเดียว เราก็พบว่าที่นั่นไม่ใช่ที่ของเรา” โบว์กล่าวอย่างชัดเจน เธอเล่าต่อว่า เมื่อก่อนตัวเองชอบมองหาสิ่งที่ไกลตัว แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ใกล้ตัวต่างหากคือคำตอบของชีวิต

“สิ่งที่ใกล้ตัวเราคือน่านและชุมชนที่คุ้นเคย หากตอนนั้นเราตั้งใจกลับบ้าน แล้วคาดหวังว่าจะมาหาความร่ำรวย ได้ใช้ชีวิตอยู่กับบ้านสบายๆ คงเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า โชคดีที่เราคิดตรงกันข้าม เรารู้ว่าน่านไม่ใช่เมืองอุตสาหกรรม ไม่ได้เป็นเมืองที่รับอะไรเข้ามาทุกอย่าง แต่เลือกเพียงบางอย่าง คนน่านไม่ได้เป็นคนหวือหวา ไม่ได้เสพความศิวิไลซ์ แต่จะใช้ชีวิตช้าๆ ค่อยๆ ก้าวเดิน ส่วนในเชิงการท่องเที่ยว คนน่านจะตื่นตัวเพียง 4 เดือนในช่วงหน้าหนาว ที่เหลือก็ใช้ชีวิตกันตามปกติ”

รวยบุญ

RUAYBOON

เมื่อเข้าใจบริบทเมืองและผู้คน รวยบุญ ผ้าธรรมชาติจึงเกิดขึ้น โดยมีจุดประสงค์หลักตามชื่อแบรนด์ว่า ‘รวย’ มาจากการสร้างรายได้ให้กับชุมชนกลุ่มทอและย้อมผ้า รวมทั้งตัวเอง ‘บุญ’ มาจากการสร้างบุญสามด้านคือ หนึ่ง ด้านวัฒนธรรม เพื่อสืบสานงานหัตถกรรม สอง ด้านสิ่งแวดล้อม การย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติ และสาม คนกับคน หมายถึงการสร้างความเข้าใจระหว่างผู้บริโภคกับผู้ผลิต รวมทั้งการพัฒนางานฝีมือระหว่างผู้ผลิตกับผู้ผลิตด้วยกันเอง

รวยบุญ

CHANGE

ดูเหมือนว่าการสร้างแบรนด์ขึ้นมาได้นั้น ได้กลายจุดเปลี่ยนในชีวิต แต่เธอกลับปฏิเสธ

“เรายืนยันเสียงในใจของเราเหมือนเดิม ด้วยความที่เราเป็นคนน่าน อยู่มาทั้งชีวิต ทำสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เกิด จึงไม่ได้รู้สึกว่าต้องปรับเปลี่ยนอะไร ไม่เคยรู้สึกว่าการหนีจากเมืองใหญ่แล้วเข้ามาอยู่น่านเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ เรารู้แค่ว่ามีสิ่งสำคัญกว่ารออยู่ คือการคิดหาวิธีการสร้างความยั่งยืนในอาชีพต่อตัวเองและชุมชม โดยเฉพาะในพื้นที่ของตัวเอง

อีกอย่างน่านทำให้เราเห็นความงามของทุกๆ ฤดูกาล เราชื่นชมการเติบโตของต้นไม้ เฝ้ามองคนที่แวะมาน่าน พร้อมทั้งมีความตั้งใจว่าจะเกษียณตัวเองตอนอายุ 50 ปี แล้วคอยสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่จะสานต่อสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ”

รวยบุญMY VIEW ON NAN

“เมืองน่านอาจสร้างภาพฝันหวานให้ใครหลายต่อหลายคน แต่ความจริงแล้วความฝันก็ไม่ได้หวานอย่างที่คิด” นี่คืออีกด้านของน่านที่เธอมองพร้อมแสดงความคิดเห็นว่า “คนรุ่นใหม่หรือผู้ประกอบการรายใหม่ หอบความหวังใหม่มาที่น่าน เมื่อทำไปได้สักระยะจะเริ่มอยู่ไม่ไหว อาจเพราะเคยมีรายได้ที่สูงกว่า การมาใช้ชีวิตที่น่าน รายได้ที่เข้ามาอาจน้อยกว่าเดิม ท้ายสุดจะถอยกลับไปหาเมืองใหญ่ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะน่านมาพร้อมกับสโลแกนสโลว์ไลฟ์ แต่จะช้ายังไงก็ต้องมีรายจ่าย หากไม่สามารถยอมรับวิถีแบบนี้ได้ การจะกลับมาหรือเข้ามาใหม่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในอนาคตหากน่านมีการเปลี่ยนแปลง มีอะไรให้ทำมากกว่านี้ วันนั้นต่างหากที่จะมีคนรุ่นใหม่กลับบ้านมากขึ้นและอยู่ได้มาก”

ภาพ : รัชต์ภาคย์ แสงมีสินสกุล