งามดูพลี ถ้าไม่ดูพลีจะมีอะไรให้ดูไหม?
คนต่างย่านอย่างเราสงสัย และเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ เราจึงต้องไปหา พงษ์สรวง คุณประสพ หรือ โน้ต Dudesweet เจ้าถิ่นผู้เพิ่งลงหลักปักฐานในย่านนี้ ในฐานะที่ทำออฟฟิศใหม่ แม้ว่าจะเพิ่งย้ายมาได้เพียง 6 เดือน แต่ก่อนหน้านี้เขามาเยือนที่นี่เป็นประจำในนามนักเที่ยวยามราตรี จนรู้จักงามดูพลีประหนึ่งเพื่อนเที่ยวที่เจอกันทุกครั้งตามร้านนั่งดื่ม
ความน่าสนใจของ งามดูพลี คือสิ่งที่เราตอบไม่ได้ เพราะนี่คือการไปเยือนครั้งแรก ยอมรับว่าทันทีที่เราได้ยินชื่อก็เกิดคำถามมากมาย ‘งามดูพลี’ คืออะไร? ชื่อซอย? แล้วอยู่ส่วนไหน? ตั้งแต่เกิดมาและใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ก็เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นสำคัญคือเราอยากรู้ว่า โน้ต Dudesweet จะแนะนำความงามที่งามดูพลีกับเราอย่างไรในสไตล์ที่เป็นเขาต่างหาก
บ่ายวันหนึ่งท่ามกลางแสงแดดร้อนเหงื่อแตก เราเดินทางมาหาเขาที่งามดูพลี เขายืนรออยู่หน้าซอย
“กินไรมายัง?” พี่โน้ตถาม
“เรียบร้อยแล้วครับ” เราตอบ
“งั้นพี่ขอกินข้าวก่อน” เขาพาเราเดินเข้าร้านอาหารตามสั่ง และนี่คือจุดเริ่มต้นของความงาม… งามดูพลี
โน้ต Dudesweet เลือกกินข้าวกะเพราหมูชิ้นไข่ดาว คู่กับโค้กซีโร่กระป๋อง พร้อมพูดคุยหยอกล้อกับป้าไข่ แสดงความเป็นลูกค้าประจำ เมื่อกินเสร็จเขาได้พาเราเดินเท้าไปยังออฟฟิศ เพื่อเริ่มพูดคุยถึงทัศนะของเขาที่มีต่องามดูพลี เพราะช่วงบ่ายเป็นเวลาที่เร็วเกินไปสำหรับการใช้ชีวิตในย่านนี้
ร้านป้าไข่อาหารตามสั่ง เป็นร้านที่กินประจำใช่ไหม
“ร้านโปรดเลย ไม่ใช่อะไร แถวนี้มีร้านเดียว อีกอย่างหาร้านถูกๆ กินยาก เมนูที่กินบ่อยก็กะเพราหมูชิ้นไข่ดาวนี่แหละ เคยลองให้ป้าทำพิซซ่านะ แต่เขาทำไม่เป็น (หัวเราะ) ปีที่แล้วเราไปเจอกะเพราที่ดีที่สุดในประเทศไทยอยู่ตรงซอยอารีย์ แบบว่าแดกครั้งแรกน้ำตาคลอ นี่สิรสชาติกะเพราที่แท้จริง แต่ที่นี่เราก็รักฝีมือป้า เพราะกินจนถูกปากไปแล้ว
“จริงๆ ป้าเน้นขายโค้กซีโร่ ให้เรามากกว่ากะเพราอีก ป้าเป็นเหมือนจิ๊กโก๋คุมซอยอะ เดินผ่านทีก็ “ซื้อน้ำไหมลูก” เราก็ “ค้าบบบบ ซื้อโค้ก 2 กระป๋อง” ”
ก่อนหน้านี้ทำงานที่บ้านแถวอารีย์ ทำไมถึงเปลี่ยนมาทำงานนอกบ้าน ออกมาทำออฟฟิศจริงๆ จังๆ แล้วทำไมเลือกงามดูพลีเป็นที่ตั้ง
“เพื่อนชวนมาทำ เขามาซื้อตึกที่นี่ไว้ เราเองก็อยากทำงานที่ต้องเดินทางออกจากบ้านบ้าง ก่อนหน้านี้เราทำงานอยู่บ้านมา 2 ปี แล้วรู้สึกไม่ไหว ทำงานอยู่บ้านก็คืออยู่บ้านจริงๆ ใส่กางเกงขาสั้น ถอดเสื้อเดินไปเดินมา แล้วก็นอน อยากได้เซนส์ของการแต่งตัวออกนอกบ้านไปทำงานนั่งโต๊ะมากกว่า
“จริงๆ ออฟฟิศนี้อยากได้เก้าอี้สำนักงาน สีดำๆ เชยๆ แต่เพื่อนเป็นพวกสไตล์เยอะ กลัวเครื่องเรือนไม่เข้ากับบ้าน ก็ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ เมื่อยฉิบหาย นั่งเก้าอี้เหี้ยเนี่ย (หัวเราะ) ที่นี่ความงามมาก่อนฟังก์ชันเสมอ”
จากย่านที่เป็นที่เที่ยว กลายเป็นที่ทำงาน ปริมาณเวลาที่ โน้ต Dudesweet ใช้และหมดไปกับงามดูพลี จึงเยอะขึ้นโดยปริยาย เราอดใจไม่ได้ที่ต้องถามถึงสไตล์การใช้ชีวิตของเขา—ไม่ใช่อะไรด้วยความอยากรู้ของเราล้วนๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับอารีย์ที่งามดูพลีเป็นอย่างไรบ้าง
“อารีย์มันเป็นย่านที่กลางวันจะไม่พลุกพล่าน เวิ้งว้างมาก มันจะคึกคักตอนเย็นเท่านั้นแหละ แต่ที่นี่จะมีความเป็น tourist อยู่ ในขณะเดียวกันมันก็มีความบ้านๆ
“คนในละแวกนี้เขาอยู่กันมานาน เรื่องความวุ่นวายเทียบกันไม่ได้ ที่นี่ชนะขาด มันเป็นซอยที่ทะลุพระราม 4 ทะลุได้ไปทั่ว เป็นซอยที่ข้ามถนนยากมากแม้จะมีแค่สองเลน ซึ่งมันดี เป็น energy ที่ตรงข้ามกับอารีย์เลย อารีย์มันชิลไปหน่อยสำหรับคนที่อยู่ที่นั่น”
เราเห็นด้วยเรื่องความวุ่นวาย โดยเฉพาะถนนที่ข้ามยากเหลือเกิน
“ย้อนกลับไป เหตุผลแรกที่เราเลือกอยู่อารีย์เพราะมันถูก เราย้ายไปตอนประมาณแปดเก้าปีที่แล้ว มันถูกเสียจนมีขี้ยาเยอะ เคยโดนจี้ด้วย แล้วอยู่ๆ มามันกลายเป็นที่ที่เจริญ สำหรับงามดูพลีก็เหตุผลเดียวกันคือ ไม่แพงมาก ตอนนี้รู้สึกว่ามันจะมีความเคลื่อนไหวบ้างแล้วเหมือนกัน ดูจากตอนเย็นๆ ก็มีเด็กนักศึกษามาแฮงเอาต์ เราก็เลยคิดเล่นๆ ว่าเราจะ make งามดูพลี great again (หัวเราะ) เพราะเราคิดว่าเราอยู่ไหนที่นั่นจะเจริญ จริงๆ ย่านไหนอยากจะเจริญต้องเอาพงษ์สรวงไปอยู่นะ (หัวเราะ)
“สภาพแวดล้อมระหว่างอารีย์กับงามดูพลีต่างกันอย่างหนักเลย ที่นี่จะไม่สวยงามเหมือนอารีย์ nature ของอารีย์ คือ neighborhood จริงๆ ธรรมชาติของอารีย์คือเป็นบ้านคนจริงๆ บ้านคนรวยด้วย มีต้นไม้เยอะๆ มีรั้วกว้างๆ อารีย์ร่มรื่นไม่ใช่เพราะต้นไม้สาธารณะแต่ร่มรื่นเพราะต้นไม้ในบ้านชาวบ้านเขาที่มีน้ำใจแผ่กิ่งก้านลงมาคลุมถนนให้ แต่ที่นี่ไม่มีครับ (หัวเราะ) ตกเย็นก็จะได้เห็นวิถีชีวิตของคนกรุงเทพฯ คนแก่ก็พาหมามาเดิน และมีคนกลับบ้าน มีรถเยอะๆ ตอนนี้รู้สึกว่าพระราม 4 จะเป็นย่านที่ค่ามลพิษในอากาศสูงสุด ลองคิดดูว่าตอนเย็นๆ จะเป็นอย่างไร”
บอกตามตรงว่าไม่อยากจินตนาการเลยครับ โดยเฉพาะเย็นวันเดียวกันนี้ ที่โน้ต Dudesweet จะพาเราทัวร์ย่านงามดูพลี แต่ก็เผลอคิดไปก่อนแล้วว่า ต้องเจออะไรมันๆ แน่นอน
“เราเคยอยู่ถึงเช้าและได้รู้ว่างามดูพลีตอน 7 โมงเช้าเป็นยังไง มันคือนรกบนดิน ในพื้นที่แคบๆ นี้มีเด็กนักเรียนเต็มไปหมด ซึ่งจะมีพีกอีกทีตอน 6 โมงเย็น ก็อย่างที่รู้ พระราม 4 ก็พอๆ กับสุขุมวิทแหละ แต่ในอนาคตแถวนี้จะพังแน่ ถ้าถามเรื่องความพังนะ เพราะโครงการต่างๆ เขาเริ่มก่อรั้วแล้ว ไม่เกิน 4 ปี ก็จะมีคอนโดฯ เยอะ แล้วเมื่อไหร่ที่เป็นแบบนั้นเราก็อาจจะต้องย้ายหนี (หัวเราะ) หนีไปเรื่อยๆ สุดท้ายคงจบที่ต่างจังหวัด (หัวเราะ)”
แล้วถ้าให้นิยาม พี่จะนิยามงามดูพลีว่าอะไร
“เป็นย่านที่มีร่องรอยของความรุ่งเรืองบางอย่าง มันยังอยู่แบบนั้น มีความเศร้าอยู่เหมือนกัน เพราะมีความเยินเยอะมาก จากที่ถามคนแถวนี้ ก่อนยุค 80 หรือ 90 มันเคยเป็นย่านท่องเที่ยว จะเห็นได้จากที่มีโรงแรมเยอะมาก คล้ายๆ ข้าวสาร คือมีนักท่องเที่ยวเยอะ มีอพาร์ตเมนต์เยอะ เมื่อ 40 ปีก่อนคงจะเป็นย่านที่น่าอยู่อาศัย พอเริ่มเข้าสู่ยุคที่มีหนัง The Beach ทำให้แลนด์สเคปของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป คนก็ย้ายไปอยู่ข้าวสาร นักท่องเที่ยวก็หายหมด โรงแรมที่มีอยู่ก็ต้องอยู่ให้ได้อะ
“โรงแรมส่วนมากก็จะเก่าๆ เพราะไม่มีเงินซ่อม มันเลยมีสิ่งตกค้างจากวันวานเหลืออยู่เยอะมาก นักท่องเที่ยวก็เช่นกัน เป็นนักท่องเที่ยวที่เยินๆ เกรดต่ำๆ ขี้นกหน่อย แล้วก็มีนักท่องเที่ยวที่มาได้เมียที่นี่ และก็อยู่ตลอดไป มีฝรั่งแต่งตัวเหมือนคนไทย ใส่เสื้อบอล กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ มีอดีตกะหรี่เยอะที่ตอนนี้ก็ทำงานอย่างอื่น เช่น ขายของ ขายข้าว ทุกครั้งที้มองงามดูพลีเราจะแฟลชแบ็กถึงยุค 80 ว่ามันต้องเป็นย่านที่สนุกสนานแน่ๆ และทุกอย่างก็เก่าลง คนก็เก่าลง ตึกก็เก่าลง มันเยินอะแก (หัวเราะ) ที่นี่ไม่มีต้นไม้มีแต่อพาร์ตเมนต์เยินๆ”
ถ้าเป็นขนาดนี้ เพลงอะไรดีที่เหมาะกับงามดูพลี
“ต้องนี่เลย เพลง Young Turks ของ Rod Stewart เป็นเพลงยุค 80 เราว่าเมื่อก่อนงามดูพลีมันน่าจะเป็นคน mood นี้ เป็นความเก๋ไก๋ที่จบลงไปแล้ว มันเหมือนคนที่ยังยึดติดกับวันวาน ตัวเองก็โทรมลงเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง ไม่เกี่ยวกับมิวสิกวิดีโอนะ หมายถึงซาวนด์อย่างเดียว คือมันไม่มีทางเป็นเพลงใหม่ๆ เด็ดขาด นึกออกไหม?”
เรานึกออก เพราะตลอดทางที่เดินเข้ามา มันไม่มีอะไรใหม่พอจะทำให้เรานึกถึงเพลงในปัจจุบันได้เลย
“อยากรู้ข้อดีของที่นี่ไหม”
เราพยักหน้า
“คือ เดินๆ อยู่ก็จะเจอคุณญาณี จงวิสุทธิ์ ซึ่งเป็นไอดอลของผมตอนเด็กๆ บ้านเธออยู่ตรงนี้เอง บางครั้งระหว่างรอแท็กซี่ เราก็จะได้ยินคุณญาณีเมาธ์โทรศัพท์อยู่ แล้วเราก็จะแบบ ‘ตายแล้วววว พี่ญาณี หนูชอบพี่’ (หัวเราะ) แต่เวลาเราเจอไอดอลจะไม่กล้าสบตา จะเข้าไปคุยก็เกรงใจ ก็เลยต้องเดินก้มหน้าเวลาผ่านหน้าบ้านเขา”
แบบนี้คุณญาณี จงวิสุทธิ์เป็นตัวแทนของงามดูพลีได้ไหม
“ได้ เราเห็นเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้านมาก เห็นคุยกับป้าร้านข้าว คือเขาอยู่มานาน แล้วเขาก็มีความยุค 80 เผลอๆ ฟัง Young Turks ด้วย ฟังชัวร์ รับรองได้ว่ามีเทปที่บ้าน ว่าจะชวนคุณญาณี จงวิสุทธิ์ มาทำอะไรสนุกๆ กับเว็บไซต์ Third World”
ฟังดูน่าสนุก แล้วเคยคิดจะจัดปาร์ตี้ที่งามดูพลีไหม
“เคย (เสียงสูงปนหัวเราะ) คุยกันอยู่ แต่ยังไม่ได้จัดเพราะมีอย่างอื่นเข้ามาก่อน จริงๆ การจัดปาร์ตี้แถวนี้เราทำก่อนจะมาอยู่ที่นี่ เมื่อหลายปีแล้ว”
ขอถามโปรแกรมทัวร์เย็นนี้หน่อยครับ จะพาไปไหนบ้าง
“ร้านที่เราจะพาไปไม่ใช่ร้าน fancy อย่างหนึ่งคือแถวนี้ไม่มี ไม่เหมือนอารีย์ที่มีร้านดัดจริตเยอะ แถวนี้จะเป็นร้านแต่งเอง แล้วสวยได้แค่นี้ คือมันยังไม่สวย เราชอบแบบนี้ มีความจริงใจบางอย่างอยู่ จริงๆ ในซอยมีร้านเยอะมาก เราเป็นคนที่อยู่ที่ไหนจะไม่ค่อยไปที่นั้น เมื่อก่อนอยู่ RCA แม่ง ยังไม่เคยไป route66 เลย”
พูดจบเขามองดูนาฬิกาก่อนบอกกับเราว่า “โอเคได้เวลาทัวร์แล้ว”
เวลาบ่ายแก่ จำนวนผู้คนและรถหนาตากว่าช่วงที่เรามาถึง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าต้องเดินหลบรถบนถนน หลีกเข้าข้างทางตลอดเวลา จนตัวเราแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับกำแพงไปแล้ว ถือเป็นความท้าทายชีวิตสไตล์ประเทศโลกที่สาม
“เริ่มต้นที่ร้านนี้ก่อนละกัน” พี่โน้ตกล่าวเปิดทริป
“ข้างโรงแรม ibiz มีร้านหว่อง ซึ่งแต่ก่อนเรามาบ่อยมาก ประมาณสี่ห้าปีที่แล้วได้ มาทุกสัปดาห์ ตอนนี้เป็นบาร์เกย์ไปแล้ว เป็นเหมือน after hours ของสีลมซอย 2 ตอนที่มาบ่อยๆ อยู่ตั้งแต่ตี 2 ยาวถึง 10 โมงเช้าก็เคย ตอนนี้ไม่ไหว หนักเกิน ถ้าได้ผู้ชายจากหว่องก็จะมาเปิดห้องที่ ibiz สิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราคือ ที่อารีย์จะมีเกย์ซาวน่า ที่สาทรก็มีเกย์ซาวน่า ซึ่งดังทั้งคู่ รู้สึกว่าชีวิตกูย้ายไปไหนก็เจอแต่อะไรแบบนี้ ชะตาน่าจะลิขิตแล้วว่าจะต้องเจอะเจอความโลกีย์รอบตัว
“ข้อดีอีกอย่างของงามดูพลีคือ เวลาเปิด 1Grindr ผู้ชายจะพรึบมาก เป็นย่านที่มีความโลกีย์ในตัวสูง ซึ่งกูชอบ (ลากเสียงยาว)” ก่อนสบถว่า “มีแต่ความโลกีย์สำหรับกู มีแต่เรื่องเพศ (หัวเราะ)
“ต่อมาคือร้านขายของชำที่อยู่ตรงข้ามกัน จะว่าไปมันทำให้เราเห็นสัจธรรมชีวิต คือดึกๆ เรามาหว่อง จะเห็นคนแก่มากๆ นั่งเงียบๆ อยู่ในร้าน 3 คน ตอนดึกก็มาซื้อของได้ ซื้อเบียร์ได้ ผ่านทีไรเราชอบมองเข้าไป ผ่านมาหลายปี เขาก็ค่อยๆ หายไปทีละคน”
ระหว่างสองข้างทางของงามดูพลี เรียงรายได้ด้วยโรงแรม อาคารพาณิชย์ ร้านค้า และบ้านที่อยู่อาศัย แม้ว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้จะตั้งอยู่รายเรียงกันอย่างไร้ระเบียบ แต่เรากลับรู้สึกว่าทุกสิ่งถูกอะไรบางอย่างกลืนกิน จนกลายเป็นสิ่งเดียวกัน สิ่งนั้นคือกาลเวลา
“ตลอดทางเราจะเห็นร่องรอยว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยรุ่งเรือง เราว่าในเมืองไทย ย่านที่มีฝรั่งเยอะๆ จะมีคาแร็กเตอร์หรือบุคลิกที่เหมือนกันหมดเลย คือมีความเป็นข้าวสาร มีความไม่ลงตัว มีป้ายต่างๆ เยอะแยะ ต่อให้ไม่ใช่กรุงเทพฯ ก็เป็นเหมือนกัน หน้าตาเหมือนข้าวสาร เพราะคนไทยไม่ค่อยรักษาคาแร็กเตอร์ของถิ่นตัวเองไว้ จะคิดว่าความเจริญมีแบบเดียว แล้วสุดท้ายหน้าตาก็เหมือนกันหมด อย่างที่นี่ก็รู้สึกว่าเป็นข้าวสาร”
“นี่ร้านนี้” โน้ต Dudesweet ชี้ให้เห็นป้ายร้าน I hate pigeons “เคยมาไม่กี่ครั้ง แต่ว่าชอบ เป็นร้านที่ดี มีดีไซน์”
มีเครื่องดื่มแนะนำไหม เราถามต่อทันที
“เบียร์ฮะ ไปที่ไหนก็ดื่มแต่เบียร์ คือเมนูที่ดีของร้านเขาก็มี ต้องลองดูเอา เราทำปาร์ตี้มานาน คนจะชอบคิดว่าเราชอบกินอะไรแพงๆ โน! กูเอาเบียร์ มีเบียร์อะไรกูแดกหมด อีกอย่างที่ชอบเบียร์ เพราะว่าไม่ชอบรอเครื่องดื่มนานๆ อย่างค็อกเทลมันรอนาน เลยเอาเบียร์ละกัน เปิดดื่ม แล้วไปเต้นต่อ ที่นี่มีเบียร์หลากหลายให้ลอง เราสนใจเรื่องบรรยากาศของที่นี่มากกว่า ไม่ดัดจริต เราชอบ จะว่าไปตอนนี้เป็นยุคแห่งความไม่ลงตัว มีความดัดจริตครอบอยู่ หลายๆ ที่ ชอบทำอะไรเกินๆ เยอะๆ แต่หลอกกูไม่ได้ไง
“ชีวิตที่นี่จะเริ่มกันตอน 5 โมงเย็น”
ช่วงที่เขาพาทัวร์ ทุกร้านจึงยังไม่เปิดดี ยกเว้นร้านป้าไข่อาหารตามสั่งระหว่างเดินไปร้านต่อไป จะเห็นร้านขายของชำอยู่เรื่อยๆ
“ที่นี่เป็นย่านที่มีร้านขายของชำให้เห็นอยู่เยอะ ถามว่าเข้าไหม? ก็ไม่ แต่ชอบ เห็นแล้วสวยดี เพราะในกรุงเทพฯ มีไม่เยอะ”
“ร้านต่อๆ ไปจะอยู่ใกล้ๆ กัน” เขาพูดขณะนำเดินเราข้ามถนน
“Luna เป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่อร่อย มื้อละประมาณ 600 บาท เปิด 2 รอบ ซึ่งก็ไม่แปลกใจหรอก ใครจะมากินได้ทั้งวัน ตรงกันข้ามและมีคราฟต์เบียร์ เห็นไหมเมื่อไหร่ที่มีคราฟต์เบียร์เข้ามา หมายความว่าความเจริญมาถึงแล้ว กูบอกแล้ว (เสียงสูง) กูอยู่ที่ไหนความเจริญจะตามมา
“ต่อมาคือ The Corner อาหารอร่อย ราคาแพงขึ้นมาหน่อย ส่วนการบริการนั้นดีมาก เราให้ 5 ดาวเลย เป็นร้านประเภทกินๆ อยู่ มีคนเดินเข้ามาถามว่าอาหารโอเคไหมคะ อย่างงั้นอะ เมนูที่แนะนำคือทุกเมนู จิ้มอะไร,kอร่อยหมด
“ใกล้ๆ กัน คือ Prum Plum ให้อารมณ์เหมือนบาร์หน้ามหาวิทยาลัย ตอนเราเรียนศิลปากร จะมีร้านหน้าพระลานซึ่งปิดไปแล้ว พอมาที่นี่ได้ mood นั้นเลย mood แบบเด็กๆ มาคุยกันในเรื่องที่เราไม่เข้าใจแล้ว (หัวเราะ) ถัดมาไม่ไกลนัก เป็น ร้านพิซซ่า เลือกหน้าได้ ไม่รู้ว่าร้านชื่ออะไร จะว่าไปแล้วร้านนี้ก็ฮิตเหมือนกันนะ เห็นคนถือพิซซ่ากลับบ้านตลอดเวลา”
จากนั้นเขาได้ชวนเรานั่งพักที่ร้าน ZEST1 ก่อนสั่งน้ำแตงโมปั่นมาดื่มคลายร้อน พร้อมเล่าต่อว่า
“ที่นี่ดึกๆ คึกคักมาก เราเพิ่งย้ายมา 6 เดือนเอง ถือเป็นย่านป๊อปท่ามกลางความวุ่นวาย เป็นเกาะตรงกลางของความวุ่นวายต่างๆ แถวนี้ตอนดึกจะเป็นที่แฮงเอาต์ คนที่นี่เขากินเหล้ากันทุกวัน เพราะนักท่องเที่ยวมันเป็นชีวิตที่ไม่มีอะไรทำ จะว่าไปเราคิดถึงบาร์ที่คนมาเจอกันแล้วคุยเรื่องที่เป็นสาระ
“เมื่อก่อนมีร้านชื่อ Hemlock ย้อนไปปี 2000 ช่วงที่ถนนพระอาทิตย์กำลังบูม มีบาร์มาเปิดใหม่ เขาจะคุยกันเรื่องหนังสือ ความเป็นไปของโลกนี้ คือตอนนี้มันขาดที่ที่ให้ intellectual มาคุยกัน มาแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างจริงจัง ใครสักคนน่าจะทำบาร์แบบนี้เนอะ”
เราพยักหน้าเห็นด้วยอย่างมาก
“คือตอนถนนพระอาทิตย์บูมผมอยู่ปิ่นเกล้า เรียนศิลปากร ความฮิปก็ตามไป ย้ายมาอารีย์ ก็ตามมาอีก ไปเปิดบาร์กับเพื่อนที่ซอยนานา ความฮิปก็ตามไป เลยต้องหนี (หัวเราะ) ไม่ไหวละ พอหนีมางามดูพลี a day BULLETIN ก็ตามมาสัมภาษณ์อีก (หัวเราะ)”
สรุปแล้วความงามของงามดูพลีอยู่ที่ไหน
“ไม่มี (เสียงสูง) ตอนย้ายมา เราก็ต้องรู้ว่าจะเจออะไรบ้าง (หัวเราะ) ถ้าจะมาเรียกร้องความสวยงามก็ลำบากหน่อย ด้วยโครงสร้างมันสวยไม่ได้ ถนนมันไม่โตเท่าความเจริญของที่นี่ แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่า คนที่นี่เขาจอดรถตรงไหน ยังไง ที่นี่ไม่มีที่จอดรถ อีกหน่อยกูว่าได้ทุบรถ ชาวงามดูพลีต้องพกขวาน”
ถ้าพูดถึงชีวิตในงามดูพลีล่ะ มีความคิดเห็นยังไงบ้าง
“ชอบความเป็นชีวิตของคนแถวนี้ที่ชวนให้เราคิดย้อนกลับไปในอดีตได้ อย่างคุณลุงขาเป๋ตรงทางแยก เขาก็อยู่ตรงนี้ 24 ชั่วโมง ผู้หญิงจรจัดก็เหมือนกัน นั่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อตลอดเวลา มีช่วงหนึ่งกรุงเทพฯ หนาว เห็นว่าหนาว เราก็เอาผ้าห่มไปให้ ยื่นให้ไม่รับ กลับมาอีกทีเห็นวางอยู่ที่เดิม เสียน้ำใจจริงๆ เคยอ่าน 2คำพิพากษา พอเห็นคนแบบนี้กูก็มองไปอีกมุมหนึ่งเลย เขาต้องเจออะไรมาบ้างวะ”
แล้วถ้าความเป็นชีวิตของชาวต่างชาติล่ะ
“ความต่างชาติของคนในย่านหรอ ฝรั่งข้าวสารจะอายุ 18-25 แต่ที่นี่ 25-100 อะ คนต่างชาติเยอะ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าใช่นักท่องเที่ยวหรือเปล่า เพราะจะมีฝรั่งแก่ๆ ที่เหมือนหลงรักเมืองไทย มาแล้วไม่กลับประเทศเขาอีกเลย”
ทั้งหมดนี้คือความงามที่ งามดูพลี ในมุมมองของโน้ต Dudesweet ซึ่งเราคิดว่าที่นี่ก็ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเขานะ เพราะเขาบอกเองว่า “ชีวิตของพงษ์สรวงเริ่มต้นตอน 5 โมงเย็นเช่นเดียวกันกับงามดูพลี”
เย็นวันนั้นก่อนจากกันเราได้ส่งกำลังใจให้เขา ‘make งามดูพลี great again’ ดังที่ใจหมาย เพราะอะไรนะหรอ เพราะเมื่องามดูพลี great again แล้ว เขาจะต้องย้ายหนีไปที่ใหม่ๆ อีก แล้วเราก็จะได้ตามไปหาเขา เพื่อให้พาทัวร์ย่านใหม่แห่งนั้น
1Grindr – แอพพลิเคชันนัดเดตสำหรับชายรักชาย
2คำพิพากษา – นวนิยาย รางวัลซีไรต์ ประจำปี พ.ศ. 2525 ของ ชาติ กอบจิตติ