ใครคือเจ้าของบ้าน ฉันหรือแมว

ด้วยสี่อุ้งเท้าที่สร้างมนุษย์ให้มีอารยธรรม และจงรู้ไว้ว่าใครคือเจ้าของบ้าน ฉันหรือแมว

เมื่อเห็นชื่อหนังสือที่มีความตลกขบขัน ภาพปกที่มุ้งมิ้งน่ารัก เนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่องของแมวๆ เราก็หลงรักหนังสือเล่มนี้ทันทีตั้งแต่ยังไม่ได้แกะซีล และคิดไปเองว่าต้องเป็นหนังสือที่พูดถึงอุปนิสัยของแมวที่เอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวเป็นใหญ่ เฝ้าก่อกวนพวกทาส และจ้องที่จะประกาศให้โลกได้รู้ทุกครั้งที่มีโอกาสว่า ฉันต่างหากคือผู้กำชะตาชีวิตของพวกมนุษย์อย่างพวกแกเอาไว้ต่างหาก โดยลืมนึกถึงเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งไปว่าผู้แปลหนังสือเล่มนี้คือพี่หนุ่ม (โตมร ศุขปรีชา)

        ใช่ พี่หนุ่มจะแปลหนังสือสักเล่ม เนื้อหานั้นต้องไม่ใช่แค่เรื่องบันเทิงที่เบาบาง อ่านจบในรวดเดียวแน่ๆ ดังนั้นเรามาดูกันว่าหนังสือเล่มนี้ กำลังจะบอกอะไรกับคนอ่านอย่างเราที่เป็นทาสแมวเลเวลต้นๆ 

 

ใครคือเจ้าของบ้าน ฉันหรือแมว

 

        หนังสือเล่มนี้บอกเราให้กระจ่างถึงการค่อยๆ เข้ายึดอำนาจของเจ้าแมวขนฟู โดยให้ข้อมูลว่าประชากรแมวบ้านทั่วโลกตอนนี้มีมากกว่า 600 ล้านตัวไปแล้ว และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แมวบ้านทั่วโลกมีจำนวนมากกว่าสุนัข (ซึ่งพวกมันอาจจะมองว่าสุนัขเหล่านี้คือคู่แข่งสำคัญในการแย่งชิงความรักจากมนุษย์ไปจากประชากรแมวก็ได้) และนั่นยังไม่นับรวมถึงจำนวนแมวเร่ร่อนอีกมากมายในโลกที่ไม่สามารถประเมินสำมะโนครัวแมวได้ เอาแค่ในออสเตรเลียแมวจรจัดนั้นก็มีมากถึง 18 ล้านตัวไปแล้ว จากจำนวนที่กล่าวมาคงพูดได้อย่างเต็มปากว่าแมวบ้านนั้นเป็นราชาแห่งสัตว์ในยุคนี้ก็คงไม่ผิด 

จำนวนเยอะแล้วยังไง อย่างไรเสียพวกแมวมันก็คิดอะไรไม่ได้แบบที่มนุษย์เป็น 

        เมื่อก่อนเราคิดอย่างนั้น สัตว์เดรัจฉานก็ใช้ชีวิตไปตามสัญชาตญาณของมัน ต่อสู้ ดิ้นรน เรียกร้องให้มนุษย์นำอาหารดีๆ มาเสิร์ฟ หาที่นอนอุ่นๆ ให้พวกมัน (สุดท้ายแล้วก็คือเตียงหรือโซฟาที่เราโดนไล่ที่นั่นแหละ) แต่ในความเป็นจริงแมวและญาติๆ ของมันคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์วิวัฒนาการจนมีสมาร์ตโฟนใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ 

        หากพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาจริงๆ แล้วท่านลืมใส่ความรู้ให้กับพวกเราตั้งแต่แรก พระเจ้าจึงแก้เกมด้วยการส่งพวกแมวนี่แหละ มาสอนให้มนุษย์รู้จักพัฒนาตัวเอง 

        ฟังแล้วอาจจะดูบ้าๆ บอๆ แต่ถ้าลองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ สัตว์วงศ์แมวทั้งหลาย เช่น เสือเขี้ยวดาบ ชีตาห์ขนาดยักษ์ หรือสิงโตถ้ำตัวมหึมา ต่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้มนุษย์เลิกปืนป่ายต้นไม้แล้วลงมาใช้ชีวิตอยู่บนพื้นดิน การยืนสองขาเพื่อให้เราสามารถมองเห็นระยะที่ดีขึ้น เพื่อเฝ้าระวังนักล่าที่จะเข้ามากระชากแขนขาของเราไปเป็นมื้อค่ำ การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อช่วยเหลือพึ่งพากัน และกำเนิดเป็นการสื่อสารที่เข้าใจในหมู่มนุษย์ด้วยกันเอง – นี่แค่อิทธิพลเบื้องต้นของพวกมัน 

        ในหนังสือยังบอกอีกด้วยว่าเริ่มแรกบรรพบุรุษของพวกเราออกล่าสัตว์ด้วยการวิ่งไล่เหยื่อจนมันหมดแรง อย่างดีหน่อยก็ใช้ก้อนหินขว้างใส่ (โถ…) และความน่าจะเป็นไปได้อีกอย่างคือพวกเขาทำตัวเป็นโจรขโมยซากสัตว์จากเหล่าแมวใหญ่ที่กินเหยื่อจนอิ่มพวกนั้น แล้วทิ้งซากเอาไว้เพื่อกลับมากินมื้อต่อไป ซึ่งถ้าดูจากกายวิภาคของสัตว์นักล่าในยุคนั้นอย่างเสือเขี้ยวดาบ สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเขี้ยวใหญ่ๆ ของพวกมันนั้นมีไว้สำหรับฆ่าแต่ไม่เหมาะสำหรับเคี้ยว ดังนั้น ซากสัตว์ที่พวกมันกินจึงมีเนื้อเหลือติดกระดูกอยู่ ซึ่งมากพอที่จะเป็นอาหารสำหรับมนุษย์ในยุคแรกเริ่ม  

        เนื้อสัตว์ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร กรดอะมิโน และพลังงานที่ได้จากการกินเนื้อสัตว์ ทั้งหมดคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นมนุษย์ในที่สุด เพราะการหาเนื้อให้ได้จำนวนมากขึ้น ต้องศึกษาสภาพแวดล้อม มีการสื่อสารที่ดี วางแผนล่วงหน้าในการล่าสัตว์ ผลิตเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อใช้โดยเริ่มจากการสกัดหินให้แหลมคม เพื่อใช้เป็นมีดในการหั่นเนื้อไปจนถึงหัวของหอกในการล่าสัตว์ 

        จนกระทั่งมาถึงการเรียนรู้สำคัญว่าวิธีบำบัดความหิวเนื้อที่ไม่มีวันสิ้นสุดของมนุษย์ได้ตลอดไปคือการทำปศุสัตว์ และก็จับสัตว์ที่เลี้ยงไว้มากินเสียเอง ซึ่งเรียกกันว่าการปฏิวัติยุคหินใหม่ มนุษย์รวมตัวกันเป็นชุมชนแบบถาวร กำเนิดวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสร้างโลกให้เป็นอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ 

        ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้รับแรงขับเคลื่อนมาจากเหล่าญาติพี่น้องของเจ้าเหมียวที่นอนอยู่บนคีย์บอร์ดเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณนั่นแหละ 

 

ใครคือเจ้าของบ้าน ฉันหรือแมว

ใครคือเจ้าของบ้าน ฉันหรือแมว

        ความน่าตกตะลึงในอิทธิพลของแมวกับมนุษย์นั้นยังมีอีกเพียบ และที่เล่ามาข้างต้นนี้เป็นแค่บทเปิดของหนังสือเล่มนี้เท่านั้น (อ่านมาถึงตรงนี้ให้เวลาคุณตกใจหนึ่งนาที) ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะพาคุณไปเข้าใจธรรมชาติของสัตว์พวกนี้ ทั้งการที่พวกมันกล้าหาญมากพอที่จะเป็นผู้ริเริ่มความสัมพันธ์กับคน มันคือผู้ ‘เลือก’ ที่จะเป็นสัตว์บ้านด้วยตัวเอง และด้วยความผสมของความเป็นสัตว์ที่ ‘หน้าตาดี’ เข้ากับพฤติกรรมที่ถ้าฉันจะเอาฉันต้องได้ มันจึงสามารถเดินพองขนไปมาในบ้านเราได้อย่างไม่สะทกสะท้านสายตามนุษย์ และถ้ามันพูดได้เจ้าแมวพวกนี้ก็คงพูดเหมือนกันหมดว่า “ฉันต่างหากละเจ้าของบ้านที่แท้จริง” 

        ส่วนการเข้าครอบครองพื้นที่ในอินเทอร์เน็ตตอนนี้ของพวกมัน เป็นเพียงชัยชนะล่าสุดในภารกิจพิชิตโลกเท่านั้น ยังไม่ใช่ภารกิจสุดท้าย เป็นการเอาคืนที่มนุษย์บุกรุกผืนป่า และทำลายประชากรวงศ์ญาติของพวกมันให้สูญพันธุ์ไป และเราก็คาดเดาไม่ได้ว่าสิ่งที่พวกมันจะทำในภารกิจต่อไปคืออะไร แต่ก็มั่นใจได้ว่ามนุษย์คงไม่สามารถต้านทานพวกมันได้

        เอาง่ายๆ ไม่ต้องย้อนไปถึงอดีตที่บรรพบุรุษของเราเคยยกย่องให้แมวเป็นตัวแทนแห่งเทพเจ้าก็ได้ ดูแค่ตอนนี้ที่หากเราจะเลี้ยงแมวสักตัว คนส่วนใหญ่คงคิดว่าเราต้องออกไปเสาะแสวงหาพวกมันมาเลี้ยง แต่โดยสถิติแล้ว แมวเลี้ยงมักจะเป็นแมวที่อยู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ บางทีก็เดินลอดประตูรั้วเข้ามา หรือโผล่มาอยู่หลังบ้านตอนที่เรากลับมาในตอนค่ำ จากนั้นพอรู้ตัวอีกที มันก็เชิญตัวเองเข้ามาอยู่กับเราบนเตียงนอนคิงไซซ์เรียบร้อยแล้ว 

       ยังมีความจริงอีกหลายข้อที่จะสั่นสะเทือนหัวใจของเหล่าทาสอย่างพวกเราอยู่ในหนังสือเล่มนี้