Brightburn เป็นหนังที่พูดตรงๆ ว่าเป็นการหยิบเรื่องราวของซูเปอร์แมนที่เราคุ้นเคยมาบิดฝั่งให้ตัวละครกลายเป็นภัยคุกคามจากต่างดาวแทนที่จะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่มาเพื่อช่วยเหลือโลก เมื่อคนพลังระดับทำลายล้างเปลี่ยนฝั่งมาเป็นตัวร้าย จากตัวอย่างที่ปล่อยออกมาทำให้แฟนหนังซูเปอร์ฮีโร่ตาลุกวาว เพราะตื่นเต้นที่จะได้เห็นเรื่องราวอะไรใหม่ๆ ที่ไม่สดใส และดาร์กราวกับว่ามาจากจักรวาลดีซีบ้าง (ฮา)
หนังเรื่องนี้เข้าฉายที่สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤกษภาคม 2019 และเข้าฉายในบ้านเราปลายเดือนสิงหาคม ซึ่งการเข้าฉายในอเมริกานั้นได้รับฟีดแบ็กในระดับกลางๆ คนดูและนักวิจารณ์เองก็ไม่ได้มีท่าทีชื่นชมหรือติติงหนังเรื่องนี้มากมาย เป็นไปในทางหนังที่ดูแล้วก็จบไป แต่จากคอมเมนต์ของคนไทยที่ได้ดูหนังเรื่องนี้กลับแบ่งเป็นสองฝ่ายค่อนข้างชัดเจนว่ามีคนที่โอเคกับหนังในระดับหนึ่งกับคนที่เกลียดหนังเรื่องนี้ไปเลยด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีความสมเหตุสมผล แต่สำหรับเรานั้นอยู่ในจำพวกแรก
Brightburn ควรจะเป็น Spin off ของซีรีส์ Smallville
หนังพาเราไปพบกับแบรนดอน เด็กชายที่เดินทางมากับยานอวกาศและตกลงไปแถวๆ ไร่ของผัวเมียชาวอเมริกันที่พยายามจะมีลูกด้วยกันแต่ไม่สำเร็จ เขาทั้งสองเชื่อว่าเด็กคนนี้คือของขวัญจากพระเจ้า จึงทำการอุปการะและเลี้ยงดูน้องด้วยความรักความห่วงใย เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เขาก็เริ่มพบว่าตัวเองมีพลังวิเศษไม่เหมือนคนทั่วไป ฟังพล็อตเรื่องแล้วก็เก็ตทันทีว่านี่คือเรื่องของซูเปอร์แมนที่ถูกทำซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายภาค เหมือนกับที่เราหลับตานึกถึงผู้หญิงผมเปียที่เดินถือชะลอมมาจากต่างจังหวัดแล้วหยุดยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ซึ่งก็รู้ได้ทันทีว่าคือเรื่องบ้านทรายทอง
บรรยากาศโดยรวมของ Brightburn ส่วนใหญ่ให้ความรู้สึกถึงเรื่องราวของ คลาร์ก เคนต์ ในซีรีส์ Smallville มากกว่าหนัง Superman เรื่องอื่นๆ Smallville เป็นซีรีส์ที่พูดถึง คลาร์ก เคนต์ ในสมัยที่ยังเรียนไฮสกูลอยู่ในเมืองสมอลวิลล์ ตอนนั้นโลกยังไม่มีซูเปอร์แมน และคลาร์กก็เพิ่งรู้จักกับความสามารถของตัวเอง พร้อมๆ กับการที่ต้องเลือกว่าตัวเองจะเติบโตไปเป็นคนแบบไหน ในซีรีส์จึงมีหลายตอนที่คลาร์กเดินเข้าสู่ด้านมืดทำตัวเพลย์บอยไปจนถึงเกือบที่จะกลายเป็นคนเลวโดยสมบูรณ์ แต่นั่นก็มาจากผลของการถูกคริปโตไนต์สีต่างๆ ทำปฏิกิริยากับร่างกายและจิตใจของเขาให้เปลี่ยนไป
Brightburn เหมือนเป็นการนำเรื่องราวในส่วนนี้มาเพิ่มรสชาติให้โหดขึ้น น่ากลัวขึ้น และต่อยอดว่าถ้าคนที่มีพลังเหนือมนุษย์กลายเป็นคนที่คิดจะทำลายโลกนี้เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ซึ่งในหนังก็พูดถึงแรงจูงใจของแบรนดอน ผ่านการตอบคำถามของเขาในวิชาวิทยาศาสตร์ที่ครูถามเขาว่าความแตกต่างระหว่างผึ้งกับตัวต่อคืออะไร ซึ่งแบรนดอนได้ตอบว่า ผึ้งคือสัตว์ที่กินน้ำหวานเป็นอาหารส่วนตัวต่อเกิดมาเพื่อเป็นนักล่า ตัวต่อบางชนิดอย่างต่อหัวเสือหลุมก็จะล่าและกินตัวอ่อนของตัวต่อด้วยกันเอง ซึ่งตรงนี้จะเป็นการบอกเป็นนัยๆ ถึงบุคลิกที่เปลี่ยนไปของแบรนดอน
การเลี้ยงดูที่ดีบางทีก็ไม่ช่วยอะไร
บางคนอาจจะสงสัยว่าแบรนดอนได้รับการเลี้ยงดูที่ดี มีคนรอบข้างคอยดูแลเอาใจใส่ แล้วทำไมเขาถึงกลายเป็นเด็กเปรตไปได้ ถ้าเราเข้าใจในสิ่งที่แบรนดอนตอบเรื่องความแตกต่างระหว่างผึ้งกับตัวต่อแล้ว เราก็จะเข้าใจทันทีว่าธรรมชาติของเด็กคนนี้คือการเกิดมาเพื่อเป็นผู้ล่า การที่ยานอวกาศส่งสัญญาณมาที่ตัวเด็กนั้นไม่ใช่การสะกดจิตหรือครอบงำเหมือนอย่างที่ คลาร์ก เคนต์ ถูกคริปโตไนต์ควบคุม แต่เป็นการเปิดโหมดนักฆ่าในตัวขอแบรนดอนให้ทำงาน
ดังนั้น ประเด็นที่บอกว่าพ่อแม่ก็เลี้ยงมาดี ให้ความรักความอบอุ่นดูแลเอาใจใส่อาจใช้ไม่ได้กับเด็กคนนี้ เพราะเราต้องอย่าลืมว่าเขาเองก็ไม่ใช่มนุษย์โลก ระบบความคิดหรืออุปนิสัยก็จะใช้วิธีอย่างที่มนุษย์โลกเลี้ยงดูมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นไปได้ยาก แล้วอย่าลืมว่าหนังเรื่องนี้จงใจทำออกมาเพื่อเป็นด้านมืดของซูเปอร์แมน ดังนั้น ความโหดร้ายที่แบรนดอนทำลงไปก็ยิ่งช่วยสร้างความหวังให้กับคนดูว่าเขาจะกลับตัวกลับใจในตอนท้ายได้หรือไม่ และอย่างไร
โคตรดาร์ก สาบานนะว่าแกไม่ได้มาจากจักรวาลดีซี
เมื่อแบรนดอนเข้าสู่ด้านมืดอย่างเต็มตัว หนังก็เดินทางเข้าสู่การเป็นภาพยนตร์ไล่ล่าสังหารที่เต็มไปด้วยฉากโหดๆ จนหลายคนนั่งสะดุ้งทันที แต่ก็มีข้อสังเกตว่าแม้หนังจะทำออกมาในเรตอาร์ แต่ตัวผู้กำกับเองก็ยังไปไม่สุด เราว่าแบรนดอนยังโหดและเลวได้กว่านี้ เพราะจากที่หนังปูไว้ แบรนดอนเองก็มีความคลุ้มคลั่งในจิตอยู่อย่างน่าสนใจ ซึ่งไหนๆ ก็จะมาทางนี้แล้ว แบรนดอนก็น่าจะไปให้สุด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเพศซึ่งหลายคนลงความเห็นกันว่าถ้าจะให้สุดจริงๆ แบรนดอนน่าจะจัดการเพื่อนผู้หญิงในชั้นเรียนได้สยดสยองกว่านี้
ส่วนการเล่าเรื่องที่หลายคนบอกว่ายังธรรมดา อาจเป็นเพราะว่า David Yarovesky ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ เพิ่งจะได้ทำหนังใหญ่เป็นเรื่องแรก เพราะผลงานที่ผ่านมาของเขาส่วนมากจะเป็นภาพยนตร์สั้นและซีรีส์ จึงไม่แปลกใจเลยว่าในช่วงต้นเรื่องของหนังนั้นมีความน่าสนใจและยังดูสนุกอยู่ แต่พอเข้าสู่กลางเรื่องหนังเริ่มรู้สึกเก้ๆ กังๆ กว่าจะมาถึงจุดพีกอีกทีก็ตอนท้าย อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ยังทำให้หนังเรื่องนี้ไปได้ไม่สุดทางเท่าที่คนดูหวังเอาไว้
แม้ตอนสุดท้ายหนังพยายามสร้างแสงของความหวังให้กับคนดูและทำให้เราร่วมลุ้นไปด้วยว่าเรื่องราวของเด็กพลังอสูรคนนี้จะจบลงได้อย่างไร โดยหนังก็หยอดความแสบเอาไว้ให้เราอมยิ้มเล็กๆ จนแอบหวังว่าหนังจะมีภาคต่อ ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนทีม Justice League ก็จะต้องชอบใจกับสิ่งที่หนังปูเอาไว้ตอนท้ายเรื่อง แต่ถ้าแบรนดอนแสบได้ระดับเอสเธอร์จาก Orphan หรือเดเมียนใน The Omen หนังจะสนุกและมีชั้นเชิงขึ้นกว่านี้จนอาจกลายเป็นการเปิดทางให้จักรวาลใหม่ของหนังผู้มีพลังพิเศษไปเลยก็ได้ เพราะใน Smallville ทุกตอนที่ คลาร์ก เคนต์ เข้าสู่ด้านมืดนั้นโคตรสนุกเลย
BRIGHTBURN