Impetigore

Impetigore: หนังผีสุดทะเยอทะยาน ที่มีความสยองขวัญแบบโบราณ ไม่ต้องพึ่งฉากผีกระโดดใส่หน้า

ครั้งหนึ่ง หนังผีไทยเคยเป็นที่ยอมรับและเลื่องลือว่าน่ากลัวในระดับนานาประเทศ หนังหลายเรื่องถูกซื้อและนำไปสร้างใหม่ให้ถูกปากคนในประเทศนั้นๆ แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ จนความเฟื่องฟูเหล่านั้นค่อยๆ หายไปจากวงการหนังบ้านเรา อาจเพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาหลอกคนดูให้กลัวได้อีกแล้ว เพราะหลังๆ หนังผีบ้านเรามักจะใช้แค่ฉาก jump scare และเทคนิคพิเศษ (ซึ่งหลายเรื่องก็ไม่เนียน) มาจกตาคนดู จนเขารู้ทันกันหมด ทำให้คนดูไม่รู้สึกตื่นเต้นจนขนหัวลุกอีกต่อไป และหนังผีของเราก็ค่อยๆ จางหายไปจากตลาดโลก

        ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาก่อนเข้าสู่ยุค New Normal ในปี 2020 หนังผีจากประเทศอินโดนีเซีย ค่อยๆ สะสมชื่อเสียงอย่างช้าๆ ในเรื่องของความน่ากลัว โดยหนึ่งในผู้กำกับที่ถูกจับตามองคือ โจโก อันวาร์ ที่เราอาจจะคุ้นชื่ออยู่บ้าง เพราะคิดว่าเป็นเครือญาติเดียวกับ จอนนี่ อันวา แต่เสียใจด้วยพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน (ฮา) หนังที่สร้างชื่อเสียงให้กับ โจโก อันวาร์ จนกลายมาเป็นผู้กำกับคลื่นลูกใหม่คือ Satan’s Slaves (2017) ชื่อไทย เดี๋ยวแม่ลากไปลงนรก ซึ่งต้องยอมรับว่าชื่อไทยของหนังเรื่องนี้มีส่วนฆ่าความดีงามของหนังไปเยอะอยู่ เหมือนทำให้หลายคนมองผ่านไป แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะทำเงินสูงสุดตลอดกาลของอินโดนีเซียก็ตาม

        ความน่าสนใจสำหรับหนังของ โจโก อันวาร์ ไม่ได้อยู่ที่การดีไซน์ฉากผีหลอกให้แปลกแหวกแนวหรือใส่ฉากผีตุ้งแช่มารัวๆ ซึ่งจริงๆ หนังของเขาแทบจะไม่มีฉากอย่างว่าเลยด้วยซ้ำ แต่จุดเด่นอยู่ที่การสร้างบรรยากาศในเรื่องออกมาได้หลอนจนสันหลังวาบ โดยเฉพาะถ้าคุณเคยกลัวกับบรรยากาศของหนังอย่าง เปนชู้กับผี หรือภาพวาดประกอบนิยายสยองขวัญของ ครูเหม เวชกร ช่วงเวลาโพล้เพล้ จะมืดก็ไม่มืด จะสว่างก็ไม่สว่างของ ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ เชื่อเถอะว่าคุณจะชอบหนังของผู้กำกับคนนี้

Impetigore

 

        Impetigore(2019) บ้านเกิดปีศาจ คืองานล่าสุดของ โจโก อันวาร์ ที่นอกจากจะเปิดตัวด้วยรายได้อันดับหนึ่งในอินโดนีเซียแล้ว เมื่อหนังเดินสายตามงานเทศกาลหนังต่างๆ ก็ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่างมาก เว็บไซต์เกี่ยวกับหนังก็ให้คะแนนกับ Impetigore ค่อนข้างสูงมาก แต่ถ้ายกเครดิตแบบนี้มาให้ เชื่อว่าหลายคนคงหมดความสนใจเพราะอาจจะฝังใจว่าหนังดีของนักวิจารณ์คือหนังดูยากของคนทั่วไป อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้น…

        หนังเปิดเรื่องด้วยบรรยากาศช่วงกลางคืน ณ ด่านเก็บเงินค่าทางด่วนแห่งหนึ่งของอินโดนีเซีย เป็นด่านที่ไม่ค่อยมีคนใช้บริการเท่าไหร่ จึงเหลือเจ้าหน้าที่ประจำตู้เก็บเงินเพียงคนเดียว นั่นคือนางเอกของเราชื่อมายา (ทารา บาสโร) ซึ่งเธอใช้วิธีคลายความเหงาและความกลัวด้วยการโทรศัพท์คุยกับเพื่อนสนิทอีกคนที่ทำงานด้วยกันแต่อยู่อีกที่ชื่อดีนี (มาริสา แอนนิตา) และคืนนั้นมายาก็พบกับเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล 

 

Impetigore

 

        โจโก อันวาร์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า Impetigore คือหนังที่เขาต้องการทำออกมาเพื่อคาราวะหนังสยองขวัญที่เขาชอบในตอนเด็ก ดังนั้นเขาจึงทำมันออกมาอย่างเอาใจใส่ ตั้งแต่การดีไซน์สิ่งแวดล้อมที่เราแทบจะหาจุดไว้วางใจอะไรไม่ได้เลย เช่น บรรยากาศของร้านค้าในช่วงเย็นที่ร้านรวงต่างๆ ปิดหมดแล้ว เหลือแค่ตัวละครอยู่คนเดียว อารมณ์เดียวกับเวลาที่เราเดินหลงทางอยู่ในตลาดนัดจตุจักรช่วง 6 โมงเย็นที่ล็อกต่างๆ ดึงประตูเหล็กลงมาปิดหมดแล้ว ความมืดทึบกับแสงรำไรและบรรยากาศที่อ้างว้างเหมือนมีใครแอบมองเราอยู่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีอารมณ์ร่วมมากๆ หรือแม้แต่ฉากที่มายากับเพื่อนต้องนั่งรถโดยสารกลับไปที่บ้านเกิดของเธอตอนกลางคืน ถ้าใครที่นั่งรถไปต่างจังหวัดบ่อยๆ เวลาผ่านสวนข้างทางที่ทั้งเปลี่ยวและมืด บางครั้งเราอาจจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นใครบางคนยืนอยู่ระหว่างต้นไม้ริมทางก็ได้ ซึ่งหนังก็จำลองความรู้สึกเหล่านี้ออกมาได้อย่างสมจริง

 

Impetigore

 

        เมื่อหนังเข้าสู่เส้นเรื่องต่อมา นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งตัดขาดจากโลกภายนอก บรรยากาศของหนังก็เต็มไปด้วยความน่ากลัวของสถานที่ที่เหมือนกับต่างจังหวัดของไทยในสมัยก่อน ทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก จนถึงเวลาที่เครื่องติด หนังก็ประเคนการคาราวะหนังสยองขวัญรุ่นครูที่ผู้กำกับบอกไว้มาแบบถึงเครื่อง ทั้งเรื่องของชาวบ้านคลั่ง การไล่ล่า บูชายัญ มนต์ดำ ปริศนาการตายของทารกแรกเกิด หนังตะลุง ความเชื่อ พิธีกรรม เคล้าไปกับตำนานอาถรรพ์ของคนตระกูลใหญ่ในหมู่บ้านแห่งนี้ การหนีตายของตัวเอกและความอิโรติกเล็กๆ ที่สามารถเข้ากับหนังได้อย่างลงตัว 

 

Impetigore

 

        ความสนุกของ Impetigore จึงอยู่ที่การค่อยๆ เฉลยเรื่องราวออกมาทีละนิดในบรรยากาศที่น่าเคลือบแคลงใจ ระดับที่ถ้าเราไปอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้นคงขอตัวกลับตั้งแต่วันแรก เพราะดูแล้วแทบไม่มีใครไว้ใจได้เลย แม้แต่คนที่ดูจะเป็นมิตรที่สุดก็เหมือนเขาจะสามารถเอามีดแทงเราตอนไหนก็ได้ พอทุกอย่างถูกนวดจนได้ที่แล้ว เมื่อถึงไคลแม็กซ์จริงๆ ของหนัง ความน่ากลัวที่เกิดขึ้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้ฉากผีออกมาแหวะพร้อมใส่เสียงดังๆ หรือพล็อตที่หักมุมระดับต้องร้องว้าว แต่การหักมุมของหนังเรื่องนี้ทำให้คนดูคอยเอาใจช่วยนางเอกให้รอดพ้นจากสถานการณ์นี้แทน แม้จะรู้ว่าขนบของหนังแนวนี้บทสรุปนั้นจะมีแค่รอดกับไม่รอด 

        แต่ โจโก อันวาร์ ก็รู้ทันคนดู นอกจากเขาจะเก่งในการสร้างความไม่น่าไว้วางใจในบรรยากาศของหนังแล้ว เขายังสร้างความไม่น่าไว้วางใจให้กับคนดูจนถึงตอนสุดท้ายด้วย แถมยังสามารถสร้างจักรวาลหนังผีของเขาขึ้นมาได้อย่างสวยงาม ถึงขนาดที่หนังจบ จนขึ้นเครดิตทีมงานครบแล้ว คนยังไม่ลุกจากที่นั่งเพราะกลัวว่าผู้กำกับจะใส่ฉากอะไรไว้หลังเครดิตอีกหรือเปล่า (ซึ่งไม่มีอันนี้บอกไว้ก่อน)

 

 

        เนื่องจากเราไม่สามารถบอกรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ได้มากนัก เพราะไม่ใช่ว่ากลัวจะเป็นการสปอยล์หนัง แต่ผู้กำกับเขาฉลาดมากที่วางหมากดักเอาไว้ทุกช่วงของหนัง ซึ่งถ้าเล่าอะไรออกมาก็ต้องเล่าตอนต่อไปอีกเพราะทุกอย่างถูกร้อยเรียงไว้เหมือนปมของเชือกที่ต้องไล่แกะทีละปม จนเมื่อเราแกะจนเกือบไปถึงปมสุดท้าย เขาก็เอากรรไกรตัดเชือกที่เราดึงเอาไว้ให้ขาดจากกันอย่างหน้าตาเฉย พร้อมกับหัวเราะและบอกกับเราว่า มีเชือกเส้นใหม่กำลังผูกปมอยู่ถ้าสนใจก็ตามมาได้นะ

        ถ้าคุณได้ดูหนังเรื่องนี้ คุณน่าจะเดาได้ว่าเราจะเดินตาม โจโก อันวาร์ ไปหรือไม่