judy

Judy: เราต่างทุกข์ระทมอยู่บนสะพานสายรุ้งด้วยกันทั้งนั้น

ด้วยนิสัยส่วนตัว (ที่ไม่ค่อยดีนัก) ผมจะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบดูหนังที่ถ่ายทอดจากชีวิตจริงของใครสักเท่าไหร่ เว้นเสียแต่ว่าเป็นหนังสารคดีที่เจ้าตัวนั้นออกมานำเสนอตัวเองจริงๆ เพราะหนังที่อิงมาจากคนต้นเรื่องเกือบทั้งหมดนั้นมักจะนำเสนอด้านที่เข้มข้นดราม่าที่สุดในชีวิตเขาออกมา เพื่อใช้เป็นพาร์ตเล่าเรื่องที่ทรงพลังที่สุด และก็วัดกันไปเลยว่าผู้กำกับคนนั้นสามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ ‘ถึง’ แค่ไหน

        แต่สำหรับ Judy (2019) คงต้องยกให้เป็นกรณีพิเศษ เพราะชีวิตในวัยเด็กของผม เมื่อกลับมาบ้านหลังจากเลิกเรียนหรือช่วงเวลาวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ การที่ต้องอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรที่ไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันในละแวกบ้านนั้น สิ่งเดียวที่เป็นเพื่อนของผมคือกองม้วนวิดีโอ VHS ที่อามักซื้อมาเก็บไว้จนเต็มตู้ โดยมี The Wizard of Oz (1939) เป็นหนังที่ผมมักหยิบมาเปิดดูบ่อยๆ ประหนึ่งว่าโดโรธี หุ่นกระป๋อง สิงโต และหุ่นไล่กา คือเพื่อนของผมในช่วงเวลานั้น

 

judy

หุ่นกระป๋องไร้น้ำใจ สิงโตชรา หุ่นไล่กาที่ไม่เหลือคุณค่าในตัวของเรา

        ความตลกเมื่อได้ย้อนกลับไปนึกถึงเวลาที่นั่งดู The Wizard of Oz ในตอนเด็ก สิ่งแรกเลยคือเวอร์ชันที่เปิดดูนั้นเป็นฉบับขาวดำ ที่ยังไม่ถูกเติมสีแบบตัวรีมาสเตอร์ในยุคหลัง แต่เรากลับเพลิดเพลินไปกลับเรื่องราวของสี่สหายนั้น และภาพในหัวก็จินตนาการไปถึงเมืองมรกตไว้ว่าเต็มไปด้วยสีเขียวสดใส และถนนสีเหลืองก็เป็นสีเหลืองจริงๆ เหมือนกับตอนที่ดูขบวนการเซนไตผ่านโทรทัศน์ขาวดำ แต่กลับแยกออกได้หมดว่าใครเป็นยอดมนุษย์สีอะไร

        เมื่อเวลาผ่านไปเราต่างเติบโตขึ้น ความสนุกสดใสในวัยเด็กก็ค่อยๆ หายไป สีสันของชีวิตค่อยๆ หม่นมืดลงไปตามปัญหาชีวิตที่ถาโถมเข้ามา ทั้งความกังวลในเรื่องการทำงาน การล่มสลายในความสัมพันธ์ การพบตัวเองในสภาพที่หมดไฟ และพลังกายที่ลดถอยลงไปตามเลขปีที่ขยับเปลี่ยน กลายเป็นคนวัย 28 ที่เหนือยล้าราวกับคนที่อายุ 68 ปี

        จูดี การ์แลนด์ (Judy Garland) ในช่วงท้ายของชีวิตก็คงไม่ต่างกัน สิ่งที่เราเห็นในหนังคือเรื่องของคนคนหนึ่งที่ประสบการณ์หล่อหลอมให้เธอแข็งแกร่งขึ้นด้วยการไม่สนใจคนรอบข้างจนแทบกลายเป็นไร้คนหัวใจ เหมือนเป็นหุ่นไล่กาที่เดินได้ ชีวิตที่มีแต่ความหวาดกลัวเหมือนกับสิงโตขี้ขลาด จนสุดท้ายเรากำลังจะกลายเป็นหุ่นกระป๋องที่ถูกป้อนคำสั่งจากสังคมว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้โดยไม่สามารถฉุกคิดเลยว่าเรายังทำอะไรที่ใจตัวเองต้องการได้

       แต่สิ่งเดียวที่ยังยึดเหนี่ยวให้เธอยังมีความเป็นมนุษย์อยู่คือครอบครัวและความรัก จูดีในวัย 48 ปี ต้องพยายามทุกอย่าง ใช้ชีวิตอย่างกระเสือกกระสน ไร้บ้าน ไร้เงิน ไร้คนคอยอยู่เคียงข้าง พยายามต่อสู้เพื่อให้ได้ลูกอีกสองคนมาอยู่ในความดูแลของเธอ ชื่อเสียงที่ได้รับมาตั้งแต่เด็กหมดลงไปนานแล้ว เธอกลายเป็นหญิงชราที่ผู้คนเพียงแค่จำได้ว่าเป็นดาราเด็กที่โด่งดังจากหนังเรื่อง The Wizard of Oz เท่านั้น

 

judy

ณ ​ที่แห่งหนึ่งบนสะพานสายรุ้ง

        แม้ชีวิตของจูดีจะทุกข์ทน แต่ด้วยมนตร์วิเศษจากรองเท้าสีแดงของโดโรธี ยังคงเปิดทางเดินสีเหลืองให้จูดีใช้ชีวิตต่อได้ ด้วยการเดินทางไปแสดงโชว์ที่ลอนดอน ดินแดนที่ผู้คนต่างยังหลงรักและพร้อมโอบกอดเธอ แต่บางทีเราก็อยู่ในสภาวะผิดที่ผิดทางในชีวิต สิ่งที่เธอได้รับมาตั้งแต่เด็ก การถูกสั่งให้ทำตามกฎระเบียบของค่ายหนัง ห้ามกินขนมเค้กหรืออาหารที่เด็กวัยรุ่นควรจะได้มีความสุขกับมันบ้าง แต่ทั้งชีวิตของเธอต้องอยู่กับการซ้อมร้องซ้อมเต้นอย่างหนักหน่วง และใช้ยากล่อมประสาทต่างๆ เป็นที่พึ่งพาเพื่อให้ตัวเองนอนหลับได้ หรือแม้แต่ความรักก็เป็นเพียงแค่รักโปรโมตเพื่อผลประโยชน์ของค่ายหนังเท่านั้น

        ชีวิตของจูดีแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าแม้จะมีเงินทองมากมาย ได้รับชื่อเสียงจากคนรอบข้าง ประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดง แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นแค่ภาพมายา เพราะในเวลาต่อมาเงินของเธอก็หมดไปกับสามีคนก่อน ถูกกดดันให้ขึ้นแสดงในเวลาที่ไม่พร้อม เพียงเพราะคำว่า Show must go on เท่านั้น โดยเธอเปรียบกับชีวิตของตัวเองในเวลานั้นว่า ‘เหมือนเป็นอาหารจานหนึ่งที่ถูกจับใส่จานแล้วเอาออกไปเสิร์ฟ’ แม้ว่าคนที่รายล้อมเธอจะพยายามให้ความช่วยเหลือหรือให้กำลังใจสักเท่าไหร่ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไปไม่ถึงเพราะบาดแผลในชีวิตที่จูดีได้รับมานั้นมากมายจนไม่สามารถช่วยประคับประคองเธออีกแล้ว

        สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือความรัก ความรักจากใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้าง ใครสักคนที่เข้าใจและเชื่อมั่นในตัวเธอ ใครสักคนที่จะไม่สร้างความผิดหวังให้เธออีก เราได้เห็นประกายความหวังนี้ขึ้นมาในช่วงกลางๆ ของเรื่อง เป็นความรักที่มาจากแฟนเพลงที่เป็น LGBT ของเธอ ซึ่งความอบอุ่นนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทำให้เธอสามารถนอนหลับได้อย่างเต็มตาโดยที่ไม่ต้องใช้ยาช่วยให้นอนหลับ

        ความสุขต่อมาได้รับจากชายหนุ่มซึ่งอ่อนกว่าเป็นสิบปี เขาเป็นคนที่เข้ามาทำให้จูดีกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เรียกว่าโชว์ในช่วงนั้นของเธอมีความสดใส และเหมือนทุกอย่างจะไปได้สวย แต่ด้วยปมชีวิตของเธอรวมถึงความหวังที่จะได้กลับไปอยู่กับลูกๆ อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง ถูกทำให้สะดุดลง เธอถึงกับปรี๊ดแตกและทำให้ทุกอย่างพังลง

 

judy

judy

ทวงคืนปัญญา ความกล้าหาญ และหัวใจ กลับมา

         Judy เป็นเหมือนภาพสะท้อนของใครหลายคนในตอนนี้ ที่ทำได้เพียงแค่โพสต์ข้อความระบายความทุกข์ลงไปในสเตตัสเฟซบุ๊กและก็ได้รับคอมเมนต์จากคนรอบข้างกลับมาเพียง ‘สู้ๆ นะ’ หรือยอดไลก์เพียงแค่ไม่กี่หลัก (ในกรณีที่คุณเป็นเพียงแค่คนธรรมดา) การตอบรับจำนวนน้อยนิดนี้ยิ่งทำให้เราหดหู่มากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะหนึ่งเสียงตอบรับที่เข้ามาไม่ใช่คนในใจที่เราหวังจะให้เขาสนใจด้วยแล้ว ยิ่งกลายเป็นความรู้สึกทุกข์ทนที่สั่งสมอยู่ในใจมาตลอด จนลืมให้ความสำคัญกับคนที่ห่วงใยเราที่แม้จะมีน้อยแต่เขาก็ยังให้ความเอาใจใส่พิมพ์ข้อความตอบกลับมา

        เหมือนกับจูดีที่เธอเลือกจะมองข้ามความห่วงใยจากคนใกล้ตัว เพราะสิ่งเลวร้ายที่เธอเจอมาทั้งชีวิตพอกพูนทับตัวไว้จนแน่นหนา เธอจึงเลือกที่จะมองหาแต่คนที่ช่วยมอบความสุขทางใจให้กับเธอได้โดยไม่สนใจว่าเขานั้นจะมาดีหรือมาร้าย ปิดหูปิดตาที่จะฟังเสียงของความห่วงใยจากคนรอบข้าง เพียงเพราะเธอมองพวกเขาว่าไม่สำคัญพอ และความขมขื่นที่สุดจะทานทนก็ส่งให้ชีวิตของเธอในช่วงท้ายไปพบกับความพังทลายของทุกอย่างที่เธอพยายามยึดเหนี่ยวเอาไว้ ทั้งครอบครัว ความรัก และการงาน

       เรื่องราวที่ถูกตัดสลับทั้งความสดใส ทุกข์ทน ทั้งในอดีตและปัจจุบันค่อยๆ สร้างความรู้สึกร่วมกับคนดูทีละเล็กละน้อย เมื่อรวมเข้ากับการแสดงในระดับเข้าถึงอีกครั้งของ เรเน่ เซลเวเกอร์ (Renée Zellweger) จนทำให้เราลืมภาพของแม่สาวบริดเจ็ต โจนส์ หรือ ร็อกซี ฮาร์ต ใน Chicago ไปจนสิ้นเชิง และเชื่อว่าเธอคือ จูดี การ์แลนด์ และเมื่อถึงฉากที่เธอร้องเพลง Over The Rainbow ในการแสดงโชว์ครั้งสุดท้ายที่ลอนดอน ฉากนี้จึงทรงพลังอย่างมากจนเรียกน้ำตาของคนดูออกมาได้เลย

 

 

      ชื่อเสียงเงินทอง กลายเป็นยาพิษที่กัดกร่อนชีวิตของเธอมาตลอด มันส่งผลไปถึงความรักที่ลวงหลอกและมรสุมชีวิตต่างๆ ที่รุมเร้าเธอมาทั้งชีวิต บางทีการประสบความสำเร็จในวันที่เรายังไม่มีภูมิคุ้มกันดีพอก็รุนแรงพอที่จะทำให้ใครสักคนหมดเรี่ยวแรงที่จะใช้ชีวิตต่อไปได้ โดยเฉพาะในวันที่สิ่งยึดเหนี่ยวหัวใจที่มีทั้งหมดล่มสลายไป

        หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบเราก็หวังว่า ณ ​ที่แห่งหนึ่งบนสะพานสายรุ้ง เธอคงได้พบความสุขที่แท้จริงเสียที ส่วนเราที่ยังคงต้องทุกข์ทนกับการใช้ชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ การปล่อยวางและมองชีวิตให้ผ่อนคลายลง บางทีก็อาจจะช่วยทำให้เรารู้สึกดีขึ้น

        หรือไม่ก็ลองหยิบรองเท้าสีแดงมาสวมใส่ แล้วลองออกเดินไปตามหาความสุขเล็กๆ ของตัวเองบ้าง บางทีเราอาจจะพบเจอเป้าหมายใหม่ๆ ในชีวิตที่จะทำให้หัวใจเรารู้สึกสดชื่น มีเวลาคิดทบทวนเพื่อเข้าใจถึงสิ่งที่เป็นไป เราอาจจะกลับมาเป็นคนที่กล้าหาญที่พร้อมเผชิญชีวิตต่อไปอย่างไม่ย่อท้อก็ได้

 


JUDY (2019)