อ้าย... คนหล่อลวง

อ้าย… คนหล่อลวง: ภารกิจเรียกรอยยิ้มแห่งความสุขคืนมาของ GDH

ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลงานของ เมษ ธราธร นั้นคืออีกจุดเด่นหนึ่งของ GDH เพราะเมื่อน้องๆ ที่ออฟฟิศถามว่า อ้าย… คนหล่อลวง เรื่องนี้กำกับโดยใคร พอเราบอกชื่อนี้ออกไป ทุกคนต่างร้องอ๋อ! ขึ้นมาทันที และเดาได้ว่าหนังเรื่องนี้คงมีมู้ดแอนด์โทนเดียวกับ ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้ และ ATM เออรัก เออเร่อ ซึ่งข้อสันนิษฐานนั้นก็ไม่ได้ผิดคาดเท่าไหร่นัก เพราะถ้าว่ากันจริงๆ หนังเรื่องที่สามของผู้กำกับคนนี้ก็มีหลายอย่างที่พัฒนาขึ้นมามากเหมือนกัน โดยเฉพาะการผูกเรื่องราวที่ว่าด้วยเรื่องของโจรหลอกโจร ที่หาดูไม่ได้ง่ายนักในหนังไทยยุคนี้

อ้าย... คนหล่อลวง

บทภาพยนตร์ 

        หนังว่าด้วยเรื่องของ ‘อินา’ (พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์) หญิงสาวชาวขอนแก่นที่มีงานประจำคือเจ้าหน้าในบริษัทเงินกู้ และกำลังเริ่มต้นอาชีพรองด้วยการเป็นยูทูเบอร์ที่รับรีวิวทุกอย่างเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ของตัวเอง และโดน ‘ทาวเวอร์’ (ณเดชน์ คูกิมิยะ) โทร.มาหลอกให้เธอโอนเงินให้ ซึ่งเธอจับไต๋ได้ทัน จึงแบล็กเมลกลับไปว่าถ้าเขาไม่ช่วยเธอหลอกเอาเงินคืนจาก ‘เพชร’ (ธิติ มหาโยธารักษ์) อดีตแฟนหนุ่มวัยละอ่อน ที่ใช้ความเชื่อใจของเธอเชิดเงินจำนวนห้าแสนบาทไป เธอจะเอาคลิปเสียงและประวัติของทาวเวอร์ไปประจาน 

        การฟอร์มทีมเฉพาะกิจเพื่อหลอกเอาเงินของเพลย์บอยหนุ่มจึงเกิดขึ้นโดยมีสมาชิกอีกสองคนคือ ‘ครูนงนุช’ (คัทลียา แมคอินทอช) ครูสมัยประถมของอินา ที่มีสกิลพูดภาษาจีนอย่างคล่องแคล่ว มารับบทนางนกต่อเพื่อล่อให้เพชรมาติดพัน กับ ‘โจร’ (พงศธร จงวิลาส) ชายที่ไม่ได้เกิดใต้ดาวโจรแต่ชื่อโจรตั้งแต่เกิด รวมถึงจำนวนเงินที่เพิ่มจากห้าแสนบาทเป็นสองล้านบาท ทำให้ภารกิจครั้งนี้เต็มไปด้วยความท้าทายและน่าสนุกสำหรับคนดู 

        อ้าย…คนหล่อลวง จึงเป็นหนังที่น่าสนใจขึ้นมาทันที เพราะหนังไทยในรอบหลายปีนี้แทบจะไม่มีหนังที่ว่าด้วยการหักเหลี่ยมเฉือนคม ชิงไหวชิงพริบแบบนี้ออกมาเลย แต่นั่นก็เป็นความท้าทายของ GDH ด้วยเหมือนกัน เพราะตั้งแต่โลกนี้มีหนังแนว Ocean’s Eleven ขึ้นมา กลายเป็นมาตรฐานในการทำหนังแนวโจรกรรมขำขัน หลอกล่อด้วยไหวพริบและเทคนิคของตัวละครไปแล้ว 

        หนังใช้วิธีการล่อหลอกในแบบที่คนทั่วไปพอจะทำได้ ไม่ได้อาศัยเครื่องมือไฮเทคหวือหวาหรือสถานการณ์ที่เกินจริง ทำให้เราพอจะคล้อยตามไปได้ แต่เนื่องจากในช่วงแรก หนังพยายามใส่มุกตลกของตัวละครลงไปอย่างหนัก โดยเฉพาะกับตัวใบเฟิร์นที่พยายามสื่อออกมาให้เห็นถึงความโก๊ะติดดินแบบผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง จึงทำให้เสียเวลาไปค่อนข้างมาก และไม่สามารถเล่าถึงปมของทาวเวอร์ได้มากนัก ทั้งๆ ที่ตัวละครของณเดชน์นั้นมีความน่าสนใจหลายอย่าง ทั้งเรื่องของหน้าตาที่เขาควรจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการหลอกลวงคนอื่น หรือเรื่องที่ว่าทำไมถึงเป็นคนขับรถช้า รวมถึงสิ่งที่ตัวละครทำ หนังก็ไม่ได้อธิบายในจุดนี้ออกมาอย่างชัดเจน 

 

อ้าย... คนหล่อลวง

อ้าย... คนหล่อลวง

ตัวละคร

        มิติของตัวละครพระนางนั้นเราแอบเสียดายนิดๆ เพราะปกติแล้ว GDH ค่อนข้างใส่ใจในการสร้างเบื้องหลังของตัวละครจนทำให้คนดูเชื่อว่ากำลังดูทาวเวอร์และอินา มากกว่าจะรู้สึกว่านั่งดูณเดชน์กับใบเฟิร์นแสดงด้วยกัน แต่ตัวละครสมทบอีกสองคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ดีจนที่ว่าควรมีเส้นเรื่องแยกของตัวเองด้วยซ้ำทั้งตัวพี่โจรเองที่ออกมาแต่ละฉากสามารถแย่งความสนใจจากหน้าหล่อๆ ของณเดชน์ไปได้อย่างหน้าตาเฉย และกลายเป็นว่าความตลกกับความสนุกของหนังเกิดจากบทของพี่โจรและครูนงนุชมากกว่า ออกฉากไหนฮาฉากนั้น โผล่ซีนไหนซีนนั้นน่าดูขึ้นมาทันที 

        ด้านตัวละครเพชรนั้น แบงค์ ธิติ ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก เขาสามารถทำให้คนดูหมั่นไส้ รำคาญ และอยากให้ถูกเอาคืนอย่างไม่ต้องปรานีได้จริงๆ ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นมากหลังจากหนังเรื่องก่อนของเขา (เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ) และต้องขอโทษ ‘เต๋อ’ – ฉันทวิชช์ ธนะเสวี ในครั้งนี้ด้วย ที่เราไม่ชอบบทแซมซั่นอย่างรุนแรง เพราะคาแร็กเตอร์ของตัวละครและการใช้ลักษณะทางกายภาพของแซมซั่นนั้นไม่ฮาเลยสำหรับเรา แต่ถ้ามองอีกมุมตัวละครนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างอิมแพ็กต์กับคนดู เพราะถึงตอนนี้เวลาถึงนึกพี่แซมซั่นทีไรยังรู้สึกขนลุกเกรียวอยู่เลย (ฮา) 

        ส่วนเคมีของคู่พระนางนั้นสำหรับเรายังมองว่ายังไม่กลมกล่อมเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะณเดชน์กับใบเฟิร์นนั้นมีคิวที่ค่อนข้างแน่น ทำให้การจูนนิสัยของตัวละครยังไม่ลงตัวหนัก ความเข้าขากันจึงยังเหมือนมีระยะห่างอยู่ ถึงบทของทาวเวอร์กับอินานั้นจะมีเวลาให้ทำความรู้จักกันได้ไม่กี่วัน แต่อย่าลืมว่าเส้นเรื่องนั้นถูกผูกเอาไว้ให้ทั้งคู่ต้องรักกันตามแบบฉบับของหนังรอมคอม ดังนั้นความเข้าขากันของนักแสดงจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยลบจุดบอดของบทได้มาก แต่ที่ว่ามาก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งสองเล่นได้ไม่ดี เพราะถ้าดูเอาสนุกเพลินๆ ใบเฟิร์นและณเดชน์ก็เฉิดฉายกับบทบาทของตัวเองในหนังเรื่องอย่างมาก 

 

อ้าย... คนหล่อลวง

Conclusion

        เนื่องจากสถานการณ์ในปี 2020 นั้น เชื่อว่าเป็นอุปสรรคในการสร้างหนังเรื่องนี้อย่างสูง ทั้งในแง่บุคลากร การออกกองถ่าย ไปจนถึงเวลาในการพัฒนาบทเพื่อให้หนังออกฉายทันสิ้นปี และด้วยข้อจำกัดที่มี ทำให้ อ้าย… คนหล่อลวง มีความขาดๆ เกินๆ อยู่บ้าง แต่ภาพรวมของหนังก็ทำออกมาได้ดีสมมาตรฐาน GDH แต่สิ่งที่น่าสนใจคือถ้าย้อนกลับไปตอนต้นที่น้องในออฟฟิศถามว่าใครคือผู้กำกับหนังเรื่องนี้ นอกจากพวกเขาจะเก็ตว่าหนังเรื่องนี้จะออกมาในแนวทางไหน อีกคำพูดที่สะกิดใจเราขึ้นมานั่นคือ “ดูตัวอย่างแล้วไม่นึกว่าเป็นหนังของ GDH เลย” ซึ่งเป็นประโยคที่น่าคิดเหมือนกันว่าทิศทางต่อไปหลังยุค New Normal นั้น GDH จะวางภาพลักษณ์ของตัวเองในแนวทางไหน ส่วน อ้าย… คนหล่อลวง แม้หนังจะเสียเวลาไปมากในการปล่อยมุกตลกโบ๊ะบ๊ะช่วงต้นเรื่อง แต่เมื่อเครื่องติดแล้ว ช่วงครึ่งหลังของหนังคือความบันเทิงที่ยอดเยี่ยมที่สุด โดยเฉพาะรอยยิ้มของอินาในตอนท้าย

        ซึ่งเป็นรอยยิ้มของคนที่ได้พบกับความสุขที่แท้จริงของตัวเองสักที