“ระบอบประชาธิปไตยของเราเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ แต่ตอนนี้ถูกกลับหยิบใช้โดยคนที่น่ารังเกียจ”
ใจความสำคัญใน The Trial of the Chicago 7 (2020) หนังเรื่องล่าสุดของ แอรอน ซอร์กิน หลังจากที่เขาได้ฝึกวิชาเขียนบทมาแล้วใน The Social Network (2010) โดยคราวนี้เขาได้หยิบการประท้วงเพื่อประชาธิปไตยอย่างสันติในปี 1968 มาบอกเล่า โดยใช้หน้าฉากเป็น ‘ศาล’ เพื่อให้บทพูดซึ่งเป็นอาวุธของเขาได้ทำงานในหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
“สำหรับเขาแล้วทุกอย่างเป็นบทพูดไปหมด เขาแทบไม่มีส่วนร่วมกับการออกแบบงานภาพ จนกว่าจะมีตัวละครกำลังพูดบทของเขาหน้ากล้อง บางครั้งเขานั่งหลับตาอยู่หน้ามอนิเตอร์เพื่อตั้งใจฟังจังหวะของบทที่ตัวเองเขียนขึ้นมาด้วยซ้ำ” หนึ่งในความเห็นของทีมงานที่พูดถึงซอร์กิน ระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้
จึงเป็นที่มาของหนังประเภท Courtroom ที่แทบไม่มีฉากจลาจล ไม่มีอาวุธปืนหรือมีดเป็นตัวเอก มีแค่เพียงปากกา กระดาษ และลมปาก ของคนที่มีอุดมการณ์มาห้ำหั่นกันในชั้นศาล จนกลายเป็นหนัง ‘บู๊ทางความคิด’ ที่หลังจากดูจบ ก็สามารถตาสว่างและเข้าใจถึงแก่นแท้ของการก่อม็อบได้มากยิ่งขึ้น
ย้อนกลับไปในปี 1968 ในยุคที่ความรุนแรงยังเกิดขึ้นที่ประเทศเวียดนาม และความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ได้มีกลุ่มคนหลากสีผิวและหลายเชื้อชาติรวมกลุ่มกันเพื่อยับยั้งการส่งเพื่อนร่วมประเทศไปรบยังต่างแดนในฐานะเครื่องมือทางสงคราม
หัวหอกในการรวมกลุ่มครั้งนี้มีทั้งฮิปปี้หัวทันสมัยอย่าง แอ็บบี้ ฮอฟฟ์แมน และ เจอร์รี รูบิน นักศึกษาผู้อ่อนโยนต่อโลก ทอม เฮย์เดน และ เรนนี เดวิส คุณพ่อที่ไม่สนับสนุนความรุนแรง เดวิด เดลลินเจอร์ และ ลี ไวเนอร์ และ จอห์น ฟรอยเนส สองหนุ่มภายในกลุ่ม โดยเป้าหมายของการชุมนุมครั้งนี้คือการเดินทางมาประท้วงที่เมืองชิคาโก ที่จัดประชุมการคัดเลือกประธานาธิบดีในปีนั้น
การออกมาประท้วงครั้งนี้เป็นไปอย่างสันติ แต่แล้วก็เกิดความรุนแรง ทำให้เหตุการณ์บานปลายจนมีคนบาดเจ็บสาหัสถึง 400 คน บทสรุปคือฝ่ายรัฐพยายามตั้งข้อหาต่อแกนนำทั้ง 7 ว่าสมรู้ร่วมคิดกันก่อการจราจล ซึ่งถือภัยต่อความมั่นคงของชาติ ฝั่งผู้ชุมนุมจึงต้องต่อสู้คดีความดังกล่าวในชั้นศาล ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ซอร์กินหยิบมาบอกเล่าในหนังเรื่องนี้ของเขา
Trial Sequence
“ผมเป็นตัวแทนรัฐโดยไม่มีอคติมาเจือปน”
นี่คือคำพูดของ ริชาร์ด ชูลต์ส ทนายที่ว่าความในคดีของแกนนำทั้ง 7 แม้ทุกคนทั่วโลกก็ต่างรู้ดีว่าการเข้ามาเป็นตัวแทนของรัฐมักจะมีผลประโยชน์เกื้อหนุนจนทำให้การมองเห็นความถูกต้องลดลง จึงทำให้ในช่วงแรกของหนังกระบวนการในชั้นศาลจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
การเดินเรื่องเป็นไปอย่างกระชับ ฉับไว หนังเลือกวิธีต่อสู้กันในศาลมากกว่าการลงถนนแสดงพลังของประชาชน ซึ่งเรามองว่าเป็นข้อดีอันเด่นชัดที่สุดของหนังเรื่องนี้ เพราะหนังประเภท Courtroom ยังเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่สำหรับผู้ชมในปัจจุบัน นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ซอร์กินจะเป็นผู้บุกเบิกความสำเร็จจากหนังประเภทนี้หลังจากทำ Molly’s Game (2017) มาในปีที่แล้ว
แล้วเขาก็ทำได้ดีเสียด้วย ในเรื่องของบทพูด หนังเรื่องนี้สอบผ่านแบบคะแนนเต็ม แม้กว่า 90% ของเรื่องเล่าผ่านคำให้การในชั้นศาล แต่จังหวะที่ใช้ในแต่ละประเด็น การรับส่งบทของนักแสดง ช่วยให้การห้ำหั่นของสองชุดความคิดดูลงตัวคล้ายกับว่าถูกคิดมาอย่างละเอียดแล้ว และยิ่งถูกปรับให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น (ว่ากันว่าตอนถ่ายทำ ซอร์กินถึงกับนั่งหลับตาอยู่หน้ามอนิเตอร์ด้วยซ้ำ เพื่อโฟกัสกับจังหวะของภาษาและบทที่ตัวเองเขียนขึ้นมา ไม่ได้สนใจงานภาพแต่อย่างใด)
Injustice in the Justice
“นี่ไม่ใช่ศาลสั่งอีกต่อไป เกียรติยศของคุณ นี่คือห้องทรมานในยุคกลาง” นี่คือคำให้การจริงของ บ็อบบี ซิล ในชั้นศาลที่พูดต่อหน้า จูเลียส ฮอฟฟ์แมน ผู้พิพากษาในคดีนี้
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของ The Trial of the Chicago 7 นอกจากการพูดถึงอุดมการณ์ที่แตกต่างแล้ว คือการตีแผ่กระบวนการทำงานในชั้นศาลอย่างละเอียดตั้งแต่การดึงจำเลยที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในคดี การไม่จัดตั้งทนายให้กับจำเลย คัดค้านคำให้การของจำเลย การไม่ให้ลูกขุนเข้ารับฟังคำแก้ฟ้อง หรือแม้กระทั่งการตัดสินที่มีความโอนเอียงและมีการเหยียดเชื้อชาติอยู่เป็นระยะ
ทั้งหมดนี้คือการใช้อำนาจที่ไม่ยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมของชั้นศาล ซึ่งเป็นอีกมุมมองที่น่าสนใจที่ให้ข้อคิดแก่ผู้ประท้วงทั้งหลายว่า สุดท้ายแล้วการต่อสู้บนถนนหรือบนโลกออนไลน์ ทั้งหมดต่างมีจุดหมายเดียวกันคือการยกอุดมการณ์ไปต่อสู้กันในกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้น การทำงานของศาลที่ไม่เป็นธรรมจึงกลายเป็นเรื่องที่ต้องคิดและให้ความสนใจกันมากยิ่งขึ้น เพราะหากจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง นอกจากอุดมการณ์แล้ว ในทางปฏิบัติต้องก็มองหาแนวทางที่นำไปสู่ผลลัพธ์ได้จริง
Sacrifice is Required
“สิ่งที่ผมอยากให้เกิดขึ้น ล้วนเกิดขึ้นแล้วในทุก 4 ปี”
ประเด็นสำคัญที่ แอ็บบี้ ฮอฟฟ์แมน พูดและกลายเป็นสาระสำคัญที่ยกระดับให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจกว่าแค่การเป็นหนังที่ว่าด้วยการจลาจลเพียงเท่านั้น
เพราะตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงในหนัง และ 2 ปีในชีวิตจริงตามลำดับเหตุการณ์ กลุ่ม Chicago 7 ยอมทิ้งครอบครัว ทิ้งเงิน ทิ้งอนาคต ก็เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในอนาคตทั้งนั้น
พ่อบางคนต้องยอมทิ้งครอบครัวเพราะอยากเห็นสังคมที่ไม่มีความรุนแรงเป็นที่ตั้ง ฮิปปี้สองคนยอมทิ้งเงินที่หามาจากน้ำพักน้ำแรงเพื่อต่อสู้ให้กับความเท่าเทียมของคนที่แตกต่าง นักศึกษาหัวดียอมทิ้งอนาคตของตัวเองเพราะเขาเชื่อว่าอุดมการณ์ที่ดีกว่าคืออนาคตอันใหม่ของพวกเขา ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกมัดรวมเป็นหอกด้ามเดียวกัน แล้วเตรียมไปใช้ต่อสู้ในระบบการเลือกตั้งที่ 4 ปีมีครั้งหนึ่ง
แต่กว่าจะถึงวันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
การต่อสู้กับความอยุติธรรมในระบบ เป็นเรื่องยากมากที่มนุษย์คนหนึ่งจะต่อกรได้เพียงลำพัง ทางออกแรกคือการรวมกลุ่มขึ้นมาจนกลายเป็นกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อแสดงพลังให้เห็นว่ายังมีอีกหลายคนที่มีอุดมการณ์คล้ายกัน จากนั้นคือวิธีการแสดงออกซึ่งก็มีหลากหลาย ตั้งแต่การแสดงออกในเชิงพลังเงียบ (Soft Power) ที่ไม่รุนแรงแต่เป็นการชวนให้ฉุกคิดผ่านรูปแบบเพลง หนังสือ ภาพยนตร์ หรือแม้แต่เดี่ยวไมโครโฟน ที่แอ็บบี้ ฮอฟฟ์แมน และ เจอร์รี รูบิน เคยแสดงเอาไว้จริง
แม้กระทั้งการแสดงออกด้วยความเกรี้ยวกราด โกรธแค้น และใช้กำลัง ทั้งหมดนี้คือวิธีอย่างหนึ่ง ที่กลุ่มคนผู้มีอุดมการณ์สามารถเลือกใช้ แต่ก็ต้องคิดต่อด้วยเช่นกันว่าผลที่ตามมานั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง “ถ้าจะให้เลือดมันนอง ก็ให้นองทั่วเมือง” คือวิธีที่ ทอม เฮย์เดน ใช้ในการตีแผ่ความจริงที่เกิดขึ้นในระบบอยุติธรรม แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียของผู้ชุมนุม
ดังนั้น The Trial of the Chicago 7 จึงไม่ใช่แค่หนังที่พูดถึงการชุมนุม แต่คือหนังที่พูดถึงหนึ่งในวิธีการแสดงออกทางการเมืองที่ใครก็สามารถทำได้ หากมองเห็นถึงความบิดเบี้ยวของระบอบที่ไม่เป็นธรรม