ถ้าตลอดระยะเวลา 5 ปี คุณไม่เคยห่างกับแฟนเลย แต่จู่ๆ มีเหตุให้ต้องห่าง คุณคิดว่าตัวเองจะทำอะไรดี
นี่เป็นเรื่องราวของหนัง The Woman Who Ran ผลงานล่าสุดของ Hong Sang Soo ที่ไปคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเบอร์ลิน 2020 มาครองได้ ถึงจะเป็นหนังนอกกระแสที่อาจไม่ได้ถูกพูดถึงมากนักในบ้านเรา แต่กลับสะท้อนมุมมองของผู้หญิงได้อย่างแยบยลผ่านการดำเนินเรื่องอันแสนเรียบง่ายซึ่งถูกออกแบบมาอย่างดีตั้งแต่การใช้กล้องตัวเดียวในการถ่ายทำ การเริ่มบทสนทนาบนโต๊ะอาหารเหมือนกัน การมีตัวละครผู้ชายโผล่เข้ามาตอนก่อนปิดเรื่องทุกครั้งแต่ไม่ถูกเผยหน้า
เนื้อเรื่องหลักๆ เล่าผ่านการผจญภัยของ ‘กัมมี’ หญิงสาวที่ตัดสินใจแก้เหงา หลังจากสามีของเธอออกเดินทางไปทำงานต่างเมืองด้วยการไปพบปะเยี่ยมเยียนเพื่อนสาว 3 คน เป็นเวลา 3 วัน ใน 3 สถานที่ ถึงจะเป็นเพียงการใช้ช่วงเวลาสั้นๆ ร่วมกัน แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาที่มีตั้งแต่เรื่องราวสัพเพเหระ ไปจนถึงการค้นพบบางสิ่งที่กัมมีไม่เคยใช้เวลาคิดถึงมันมาก่อน ซึ่งทำให้แม้ว่าจะดูจบมาหลายอาทิตย์แล้ว ก็ยังอดไม่ได้ที่จะขบคิดตามอยู่บ่อยๆ
**บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์**
หมุดหมายแรก: ความสงบในมื้อเย็น
การออกเดินทางของกัมมีเริ่มต้นขึ้นด้วยการขับรถไปหา ‘ยังซุน’ รุ่นพี่ที่ย้ายออกไปอยู่แถบชนบทหลังจากหย่าร้างกับสามี ชีวิตของยังดูซุนจะดำเนินไปอย่างสงบ เรียบง่าย ตามวิถีปลูกผักแปลงเล็กๆ บนพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้าน และดูแลแมวจรจัดร่วมกับ ‘ยังจี’ รูมเมต
บทสนทนาของทั้ง 3 คน เริ่มขึ้นบนโต๊ะอาหารมื้อเย็นที่มีเมนคอร์สเป็นเนื้อย่าง มีไวน์เป็นเครื่องดื่ม และมีของหวานเป็นแอปเปิ้ลสดๆ แต่ขณะที่ทั้ง 3 คนกำลังคุยกันออกรสถึงชีวิตความเป็นอยู่ จนมาถึงเรื่องชวนประหลาดใจอย่างไก่ตัวผู้ในฟาร์มที่จิกคอไก่ตัวเมียจนขนหลุดแทบหมด อยู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเดินมากดกริ่งเรียก คนที่เดินไปเปิดประตูและยืนเถียงด้วยอยู่พักใหญ่เป็นยังจี
ชายผู้มาเยือนแนะนำตัวว่าเขาเป็นเพื่อนบ้านที่ย้ายมาใหม่ และไม่ชอบใจนักที่บ้านนี้ให้อาหารแมวจรจัด โดยให้เหตุผลว่าแฟนสาวของเขากลัวแมวมากจนไม่กล้าเดินออกมาจากบ้าน
การถกเถียงของทั้งสองฝ่ายนั้นไม่ใช่การเถียงกันแบบออกรส ขึ้นเสียงเอะอะโวยวาย แต่เป็นการเถียงกันด้วยคำพูดสุภาพแบบไม่มีใครยอมใคร ซึ่งในฉากนี้มีจุดเล็กๆ ที่สังเกตได้ว่าตำแหน่งการยืนของผู้ชายอยู่สูงกว่าตำแหน่งของยังจี อาจเป็นการพยายามสื่อถึงผู้ชายที่ยกตัวเองให้อยู่สูงเหนือกว่าผู้หญิง แต่เมื่อช่วงตอนท้ายทั้งกัมมีและยังจีออกมาสมทบ หนุ่มข้างบ้านคนนี้ก็ตัดสินใจถอยไป
เหตุการณ์นี้ไม่ต่างอะไรจากในชีวิตประจำวันที่ผู้ชายมักคิดว่าเขาสามารถเอาชนะหรือสั่งให้ผู้หญิงคนหนึ่งทำสิ่งที่เขาต้องการได้เพราะคิดว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่า เหมือนกับไก่ตัวผู้ที่พยายามจะจิกคอข่มไก่ตัวเมียอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อไม่ใช่แค่ผู้หญิงตัวคนเดียว ความเก่งกล้าที่เคยมีก็มลายหายไปหมด
ตลอดระยะเวลาที่ Gam-hee อยู่ในบ้านหลังนี้เธอไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวที่มีความขี้อ้อน มีความอ่อนแอ มีความสบายๆ ไม่ได้เกรงอะไร อาจเป็นเพราะยังซุนเป็นรุ่นพี่ที่เธอเคยสนิทด้วยมากๆ การวางตัวของเธอจึงดูผ่อนคลายที่สุดเมื่อเทียบกับเพื่อนคนต่อๆ ไปที่เธอจะไปเจอ
“เชื่อไหม ฉันกับสามีไม่เคยห่างกันเลยตลอด 5 ปี เขาบอกว่าคนที่มีความรักควรอยู่ด้วยกัน เขาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ นี่เป็นการห่างกันครั้งแรกเลย” ประโยคนี้สร้างความประหลาดใจยังซุนเป็นอย่างมาก พร้อมบอกด้วยว่าตรงข้ามกับชีวิตรักของเธอที่ล้มเหลวจากการแทบจะไม่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเลย
หมุดหมายสอง: ความวุ่นวายในมื้อเช้า
เช้าวันถัดมา กัมมีได้เดินทางมาพบกับ ‘ซูยอง’ ที่เพิ่งย้ายไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์ย่านคนรวย ซูยองเป็นตัวแทนของผู้หญิงยุคใหม่ที่มีความมั่นใจในตัวเอง เธอเป็นทั้งศิลปิน ทั้งครูสอนพิลาทิสที่เก็บเงินซื้ออพาร์ตเมนต์ห้องนี้ด้วยตัวเอง แม้แต่เรื่องความรัก ซูยองก็ไม่ได้คิดจะมีจริงจัง ยิ่งผู้ชายเกาหลีด้วยแล้ว ยิ่งไม่อยากนึกถึง
อาหารมื้อเช้าเสิร์ฟมาด้วยพาสต้าง่ายๆ ที่ซูยองออกตัวว่าเธอทำอาหารไม่ได้ค่อยเก่ง บทสนทนาบนโต๊ะอาหารว่าด้วยชีวิตของซูยอง ตั้งแต่เรื่องราคาของอพาร์ตเมนต์หลังนี้ การตกแต่งห้อง ไปจนถึงหนุ่มล่าสุดที่เธอปิ๊งระหว่างไปที่บาร์ ซึ่งปรากฏว่าหนุ่มคนนั้นบังเอิญอยู่ห้องด้านบนขึ้นไปเอง ซีนนี้ยังเผยให้เห็นว่ากัมมีเปิดร้านขายดอกไม้ที่กิจการไม่ค่อยสู้ดีนัก
“เชื่อไหม ฉันกับสามีไม่เคยห่างกันเลยตลอด 5 ปี เขาบอกว่าคนที่มีความรักควรอยู่ด้วยกัน เขาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ นี่เป็นการห่างกันครั้งแรกเลย” ประโยคเดียวกันถูกพูดขึ้นอีกครั้ง ซูยองประหลาดใจเช่นกัน เธอนึกภาพไม่ออกว่าตัวเองจะเป็นอย่างนั้นได้หรือเปล่า พร้อมเอ่ยปากบอกกัมมีว่าควรหาเวลาอยู่กับตัวเองบ่อยๆ
หลังจากนั้นก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินทางมาหาซูยอง ทั้งสองมีปากเสียงกันอยู่หน้าประตู ภายหลังมาเฉลยว่าหนุ่มคนนี้เป็นกวีที่ซูยองเผลอไปนอนด้วยเพราะความเมา แต่เขาดันหลงรักเธอซะงั้น สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนฉากนี้ตำแหน่งการยืนของซูยองอยู่สูงกว่ากวีหนุ่ม แถมเธอยังด่าทอฝ่ายชายด้วยความรำคาญเสียจนเขาตรงเดินคอตกกลับไป
เรื่องราวของซูยองเองสะท้อนให้เห็นถึงชายหนุ่มกับหญิงสาวที่เหมือนสลับขั้วกัน แม้ภาพของชายในสังคมถูกคาดหวังว่าจะต้องเข้มแข็ง แต่ชายที่อ่อนแอ งี่เง่าไม่แพ้กับผู้หญิงก็มีเช่นกัน และผู้หญิงก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นต่อความรักไปเสียหมด
หมุดหมายสาม: ความขมของกาแฟยามบ่ายกับความเศร้าในอดีต
เพื่อนคนสุดท้ายนี้ไม่ได้เป็นการจงใจไปหา แต่เป็นการไปเจอโดยบังเอิญขณะกัมมีไปดูหนัง การเจอกันของทั้งสองคนมีความกระอักกระอ่วนบางอย่างที่เดาได้ไม่ยากว่ามีความหลังต่อกันไม่ดีนัก ก่อนจะค่อยๆ เผยให้รู้ว่าเธอชื่อ ‘อูจิน’ เป็นเพื่อนเก่าที่ตัดขาดกันไปเหตุเพราะเธอแต่งงานกับแฟนเก่าของกัมมี ซึ่งขณะนี้เป็นนักเขียนคนดังและได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์อยู่บ่อยๆ
อูจินเป็นผู้จัดการโรงหนังที่มีสามีชื่อดัง มีลูกน้องเคารพนับถือ ดูเป็นเวิร์กกิงวูแมนคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ แต่กลับไม่มีชีวิตคู่ที่แสนสุขอย่างที่หวัง ทั้งสองคนเริ่มปรับความเข้าใจกันขณะนั่งดื่มการกาแฟอยู่โซนคาเฟ่ของโรงหนัง ก่อนที่จะสามารถกลับมาพูดคุยกันได้เหมือนปกติราวกลับไม่เคยโกรธกันมาก่อน อูจินบ่นว่าสามีของเธอเป็นคนไม่จริงใจ เวลาไปออกรายการโทรทัศน์ไหนเขาจะพูดถึงเรื่องเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนกับครั้งแรกทุกครั้ง
“ถ้าเขาพูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ เขาจะจริงใจได้อย่างไร” กัมมีกล่าว และไม่นานเธอก็เอ่ยประโยคเดิมขึ้นมาที่เคยเอ่ยไปแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้
“เชื่อไหม ฉันกับสามีไม่เคยห่างกันเลยตลอด 5 ปี เขาบอกว่าคนที่มีความรักควรอยู่ด้วยกัน เขาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ นี่เป็นการห่างกันครั้งแรกเลย” อูจินประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกอิจฉาต่อความสัมพันธ์ลักษณะนี้ ต่างจากเพื่อนสองคนก่อนหน้า
ขณะกำลังจะกลับ Gam-hee พบกับแฟนเก่าของเธอ ในฉากก่อนๆ ผู้ชายจะเป็นคนเดินเข้ามาหาผู้หญิง แต่ครั้งนี้เป็นกัมมีเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายเอง โดยยืนอยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีใครสูงกว่าใคร เธอต่อว่าผู้ชายต่อสิ่งที่เขาเป็นคนพูดจาซ้ำๆ ซากๆ ซึ่งผู้ชายเองก็ไม่แยแสอะไร แถมยังพูดแทงใจเธอจนกัมมีโมโหเดินเข้าไปในโรงหนังอีกรอบหนึ่ง
หนังเรื่องนี้เน้นการให้ความสำคัญเรื่องของผู้หญิงเป็นหลัก แม้แต่ฉากที่มีผู้ชายโผล่เข้ามาก็เป็นเพียงแค่การถ่ายให้เห็นแต่ด้านหลังเท่านั้น เหมือนต้องการโฟกัสให้เห็นถึงโลกของผู้หญิงเพียงอย่างเดียว และให้รู้ว่าเวลาผู้หญิงอยู่ด้วยกันมีสารพัดเรื่องให้พูดถึงเยอะแยะไปหมดแม้จะมีเรื่องผู้ชายให้เอ่ยถึงอยู่ตลอดก็ตาม
ส่วนชื่อหนัง The Woman Who Ran อาจชวนให้คนคิดว่าผู้หญิงคนนี้กำลังวิ่งหนีอะไร แต่ชื่อไทย ‘อยากให้โลกนี้ไม่มีเธอ’ อาจเป็นคำตอบในตัวเองแล้ว เมื่อหนังเปิดกว้างให้ตีความอะไรก็ได้ เราจึงคิดเอาเองว่า กัมมีน่าจะเลิกกับสามีแล้ว เธอไม่ต่างอะไรจากคนอกหักที่พยายามหาอะไรทำเพื่อหลีกหนีการอยู่คนเดียว เธอพูดประโยคเดิมๆ ซ้ำๆ เหมือนพยายามหลอกตัวเองหรือตอกย้ำความสัมพันธ์ที่เคยมี เราติดใจตลอดว่าทำไมในซีนแรกกัมมีถึงได้ดูอ่อนแอนักเมื่ออยู่ตัวคนเดียว
แม้ท้ายที่สุดหนังจะไม่ได้เฉลยอะไร แต่หากความสัมพันธ์ตลอด 5 ปีจบลงจริงอย่างที่เราคาดเดา กัมมีคงหาอยู่ว่าเธอจะวิ่งไปทางไหนต่อไปดีผ่านมุมมองที่เธอได้จากเพื่อนทั้ง 3 คน