สำหรับบางคน บ้านอาจเป็นเซฟโซนและคอมฟอร์ตโซนที่เมื่อเจอเรื่องร้ายๆ ก็กลับมาพักใจได้ แต่บ้านในโลกของแอนิเมชันเรื่องนี้อาจใช้ไม่ได้กับทุกครอบครัว มีหลายบ้านที่พ่อแม่ไม่เคยหันหน้ารับฟังลูก เพราะคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์มากกว่า เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน เคยเจ็บปวดและฝังใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ด้วยความปรารถนาดีจึงไม่อยากให้ลูกต้องประสบกับความเจ็บปวดนั้น
‘เมื่อมีลูกฉันก็ต้องมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกเท่านั้น’ พ่อแม่บางคนคงตั้งปณิธานนี้เอาไว้ในใจ แล้วลืมคิดไปว่าลูกอาจไม่ได้ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด แต่ต้องการสิ่งที่เหมาะกับลูกที่สุด ซึ่งจะรู้ได้อย่างไรนั้น คำตอบง่ายๆ เพียงแค่หันหน้าเข้าหา และรับฟังลูกอย่างจริงใจก็พอ
เช่นเดียวกับ ‘เคที’ แห่งบ้าน ‘มิตเชลล์’ ว่าที่สาวมหาวิทยาลัยผู้มีความฝันอยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ แต่ ‘ริก’ พ่อผู้รักธรรมชาติและหัวโบราณหน่อยๆ กลัวว่าลูกสาวตัวเองจะไปไม่รอดในเส้นทางนี้ จึงไม่ค่อยอยากจะยอมรับเส้นทางที่เคทีเลือกสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้ พ่อลูกคู่นี้จึงทะเลาะกันมาตลอด ขนาดที่เวลาถ่ายรูปครอบครัวก็ยังไม่ได้ภาพดีๆ เลยสักครั้ง
แม้ว่าจะมีแม่ผู้อ่อนโยนอย่าง ‘ลินดา’ และน้องชายผู้คลั่งไดโนเสาร์ซึ่งเปรียบเหมือนคู่หูของเคทีอย่าง ‘แอรอน’ คอยเป็นกาวให้ทั้งคู่อยู่ทุกครั้งก็ตาม ด้วยความขัดแย้งที่สะสมมาเนิ่นนานนี้ เมื่อวันที่เคทีเข้ามหาวิทยาลัยได้เธอจึงต้องการออกจากบ้านนี้ไปให้พ้นๆ เสียที เพื่อไปหาพวกพ้องคอเดียวกันกับเธอ เพื่อทำตามความฝัน แต่ความในใจข้างในลึกๆ เธอเพียงต้องการ ‘การยอมรับ’ จากพ่อเท่านั้น
ครอบครัว ‘มิตเชลล์’ ที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ คือภาพยนตร์แอนิเมชันแนวครอบครัวฟีลกู้ดคอมเมดี้ผสมไซ-ไฟ เรื่อง ‘The Mitchells vs. The Machines’ มีชื่อไทยว่า ‘บ้านมิตเชลล์ปะทะจักรกล’ จากค่าย Sony Pictures Animation ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของสองโปรดิวเซอร์อย่าง ฟิล ลอร์ด และ คริส มิลเลอร์ ผู้พาแอนิเมชั่นเรื่อง Spider-Man: Into the Spider-Verse คว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมมาได้สำเร็จในปี 2562 โดยในผลงานล่าสุด บ้านมิตเชลล์ปะทะจักรกล นี้ยังได้ผู้กำกับหน้าใหม่ไฟแรงอย่าง ไมเคิล ริแอนดา มารับหน้าที่กำกับ และเขียนบทด้วยตัวเอง โดยสตรีมผ่าน Netflix อยู่ในขณะนี้
เริ่มปฏิบัติการโรดทริปสานสัมพันธ์ครอบครัว
จุดเริ่มต้นของการเดินทางโรดทริปเกิดขึ้นหลังจากที่ริก เป็นต้นเหตุทำให้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เครื่องมือในการสร้างผลงานของเคที พังเสียหายหลังจากการยื้อแย่งด้วยเหตุจากที่ต่างคนต่างเถียงกันเรื่องอยากให้แต่ละฝ่ายยอมรับ ความแตกหักในครั้งนี้จึงทำให้เคทีเผยความในใจออกมาว่า เพราะพ่อไม่เคยฟังและยอมรับในตัวเธอ เธอจึงอยากไปจากบ้านนี้เสียให้พ้น
“ทุกครั้งที่มีปัญหา คุณจะทุ่มสุดตัวเพื่อแก้ไขมัน แต่ตอนนี้บ้านกำลังพัง ถ้าลูกไปแล้วไม่กลับมาอีก คงเป็นปัญหาที่เราแก้ไขไม่ได้อีกแล้ว”
หลังจากลินดาได้เตือนสติริก เขาจึงอยากแก้ตัวกับลูกสาวด้วยการผุดไอเดียการเดินทางไปส่งเคทีด้วยโรดทริปครอบครัว หวังจะผสานรอยร้าวระหว่างกันได้ จนกระทั่งบ้านมิตเชลล์ต้องเจอกับเหตุการณ์จักรกลยึดโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และด้วยความบ้าที่ไม่เหมือนใครของบ้านนี้ พวกมิตเชลล์จึงเป็นครอบครัวเดียวที่เหลือรอดจากการจับตัว และกลายเป็นฮีโร่ที่ต้องช่วยกอบกู้โลกกลับคืนมาไปโดยปริยาย
เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมามาถึงตรงนี้ จึงเริ่มเป็นจุดเปลี่ยนที่ค่อยๆ ทำให้ทั้งคู่เริ่มเกิดการรับฟัง และยอมรับซึ่งกันและกัน เนื่องจากต้องเอาตัวรอดจากการหุ่นยนต์ให้ได้ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายการช่วยมนุษยชาติ จึงทำให้ปมในใจของทั้งคู่ก็ค่อยๆ คลายไปทีละน้อย แต่ในขณะเดียวหนังกันก็ได้สร้างปมใหม่เพื่อไปสู่จุดไคลแม็กซ์ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนเกมในเหตุการณ์ตอนท้ายเรื่อง ซึ่งทำให้ทั้งเคทีและริกเกิดการยอมรับกันและกันอย่างแท้จริง
ปฏิบัติการส่งมนุษย์ไปอวกาศ
เส้นเรื่องรองที่ถือเป็นจุดกำเนินเหตุการณ์จักรกลยึดโลก เป็นผลมาจากความสัมพันธ์ที่ถูกหักหลังของ ‘พัล’ โปรแกรม AI ที่ถูกผู้พัฒนาโละทิ้งเพราะเธอตกรุ่นไปแล้ว ด้วยความแค้นนี้เธอจึงเลือกกำจัดมนุษย์ออกไปให้สิ้นโลกเพราะไม่เชื่อในคำว่า ความรักและครอบครัวอีกต่อไป
แม้ว่าเส้นเรื่องรองนี้อาจจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการสานสัมพันธ์ของครอบครัวมิตเชลล์ แต่ก็เล่าถึงเรื่องพฤติกรรมสังคมก้มหน้า เสพติดโซเชียลมีเดียของมนุษย์ในปัจจุบันได้เจ็บแสบใช้ได้เลย ขอยกตัวอย่างสักฉากหนึ่งที่ทำเอาเราหลุดขำออกมาเล็กน้อย แต่ก็จุกใจดีเหมือนกัน
นั่นคือซีนที่จักรกลจับมนุษย์จากทั่วโลกมาแล้ว และกำลังเล่าแผนการออกเดินทางของเหล่ามนุษย์ให้ฟัง ว่าจับมาเพื่อจะส่งไปยังอวกาศซึ่งมีจุดหมายปลายทางคือหลุมดำ ถึงตรงนี้มนุษย์ทุกคนคงกรีดร้องอย่างหวาดกลัว แต่พอบอกว่ามีไว-ไฟให้ใช้ตลอดการเดินทาง ภาพก็ตัดมาที่สีหน้าโล่งใจของตัวละครหญิงคนหนึ่ง แสบดีไหมล่ะ (แต่กับหลายคน ไว-ไฟก็อาจไม่ใช่ทุกสิ่งก็ได้)
ด้วยลูกบ้าของบ้านมิตเชลล์จึงได้หุ่นยนต์มาเป็นสมาชิกครอบครัว
แต่ใช่ว่าพวกหุ่นยนต์จะร้ายไปเสียทุกตัว เพราะก่อนจะถูกเปลี่ยนคำสั่งให้จับมนุษย์ เดิมทีหุ่นยนต์พวกนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นหนึ่งสมาชิกในบ้าน ที่ทำหน้าที่อำนำความสะดวกให้แก่มนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมีหุ่นยนต์สองตัวที่โดนครอบครัวมิตเชลล์ทำให้คำสั่งจับมนุษย์พังไป จึงย้ายฝั่งมาช่วยบ้านมิตเชลล์กู้โลกแทน
ความสัมพันธ์ระหว่างหุ่นยนต์สองตัวนี้กับบ้านมิตเชลล์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หนังทำไว้ดีมาก โดยหนังแสดงให้เห็นว่าหากขนาดหุ่นยนต์ที่ตั้งโปรแกรมไว้แล้วยังเปลี่ยนโปรแกรมได้ ไม่ว่าจะด้วยอุบัติเหตุ หรืออยากจะเปลี่ยนเองก็ตาม ดังนั้น คนเราแม้จะดื้อด้านแค่ไหน แต่หากเดินทางไปถึงจุดหนึ่งของชีวิตก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เช่นกัน ดังเช่นริก คุณพ่อผู้รักธรรมชาติหัวโบราณที่ใช้เทคโนโลยีไม่เป็น ต้องเมื่อถึงเวลาขับขันเพื่อช่วยลูกสาวแล้วล่ะก็ เขายอมที่จะทำสิ่งยากๆ นั้นได้เช่นกัน
เรื่องราวของครอบครัวเพี้ยน งานภาพก็แปลกแหวกแนว
นอกจากเสน่ห์ของตัวละครแต่ละตัวแล้ว การนำเสนอภาพของภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้ก็แปลกแหวกแนวด้วยเช่นกัน
ด้วยการผสมผสานงานภาพ 2D อย่างภาพวาดลายเส้น ภาพดูเดิ้ล เข้ากับงานแอนิเมชัน 3D ไหนจะการนำทั้งภาพ และวิดีโอมีมจากโลกอินเทอร์เน็ตจริงมารวมอยู่ในหลายๆ ฉากอยู่ด้วยกัน การใช้เทคนิคสไตล์คอมิคมาในฉากที่มีเอฟเฟ็กต์ และยังโดดเด่นด้วยการใช้สีสันที่หลากหลายทำให้ภาพของเรื่องนี้น่าดึงดูดคนดูอย่างมาก เป็นความขัดแย้งที่ไม่ผสมกลมกลืนแต่มีความลงตัวอย่างบอกไม่ถูก และเสน่ห์งานภาพอีกอย่างหนึ่งของการเล่าเรื่องของแอนิเมชั่นเรื่องนี้ คือการที่ทำให้ภาพคล้ายกับวิดีโอ Vlog เหมือนกับกำลังรับชมยูทูเบอร์คนหนึ่งถ่ายชีวิตตัวเองให้ดูอย่างไรอย่างนั้น เพราะหลายๆ ซีนก็เหมือนกับว่าเคทีทำหน้าที่เป็นตัวแทนของคนดู ทั้งนี้เพราะทีมงานคงอยากจะให้เชื่อมโยงกับความชอบของเคทีด้วยนั่นเอง
ทุกคนอาจเคยคิดว่า ‘ครอบครัวตัวเองแปลก’ เหมือนบ้านมิตเชลล์
ในช่วงเริ่มเรื่องเคทีนิยามตัวเอง และครอบครัวด้วยคำว่า ‘แปลก’ จากนิสัยและพฤติกรรมความชอบของแต่ละคน ริกผู้เป็นพ่อรักการใช้ชีวิตแบบธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจ ลินดาผู้เป็นแม่ที่อ่อนโยนแต่ก็มองโลกในแง่ดีเป็นที่หนึ่งแม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เคทีกำลังทำอยู่ก็ตาม แอรอนน้องชายคู่หูของเคทีที่บ้าเรื่องไดโนเสาร์เข้าเส้น ใช่ เคทีก็บ้าการทำคลิปวิดีโอเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่มอนชีหมาสุดต๊องของบ้านที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากเป็นที่พักใจของแอรอน (ยกเว้นเป็นเครื่องมือกำจัดหุ่นยนต์ในตอนท้าย)
หากพิจารณาให้ดีแล้ว ไม่มีอะไรแปลกเลยสำหรับบ้านมิตเชลล์ เพียงแค่ต่างคนต่างมีสิ่งที่ตัวเองชอบที่ไม่เหมือนกัน และทุกคนก็สุดโต่งเกินไปในทางของตัวเอง แต่เมื่อมีข้อเปรียบเทียบระหว่างเพื่อนบ้านที่สมบูรณ์แบบจึงทำให้ครอบครัวนี้คิดว่าบ้านตัวเองแปลก แต่สำหรับเราแล้วทุกครอบครัวมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ไม่มีใครจำเป็นที่จะต้องเหมือนกัน เพราะเราไม่ใช่หุ่นยนต์ หรือแม้แต่หุ่นยนต์ในเรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถแตกต่างกันได้
ดังนั้น หากใครกำลังคิดว่าบ้านตัวเองแปลกอยู่ ซึ่งเราเองก็เคยคิดว่าบ้านตัวเองแปลก คงมีคำถามว่าทำไมบ้านเราถึงไม่เหมือนบ้านอื่น ทำไมพ่อแม่เราไม่เหมือนพ่อแม่ของเพื่อน แต่เมื่อความคิดตกตะกอนในระหว่างที่โตขึ้นทุกวัน ทำให้เรามองเห็นโลกด้านต่างๆ มากขึ้น จึงทำให้รู้ว่าบ้านเราอาจไม่ได้แปล เพียงแค่แตกต่างกันเท่านั้นเอง
เพราะในโลกใบนี้ทุกคนต่างเติบโต และเจอกับความเจ็บปวด หรือแม้แต่ช่วงเวลาแห่งความทุกข์มาไม่เหมือนกัน เราเจอสังคมที่แตกต่างกัน ทุกอย่างในชีวิตเราแตกต่างกัน ดังนั้น จะหวังให้ครอบครัวเราเหมือนครอบครัวอื่นก็คงไม่ได้เช่นกัน เผลอๆ บางที ครอบครัวที่เราไปเปรียบเทียบด้วยก็อาจกำลังมองว่าตัวเองแปลกอยู่เช่นกันก็ได้
ถ้าอย่างนั้น หากเปลี่ยนมุมมองว่า ‘บ้านเราพิเศษกว่าใคร’ ก็น่าจะเป็นทัศนคติที่ดีกว่า แต่การจะมองอย่างนี้ได้ แน่นอนว่าอาจจะต้องผ่านการฝ่าฟันอุปสรรคอย่างบ้านมิตเชลล์ (แต่คงไม่ถึงกับต้องกอบกู้โลกหรอกนะ) จนต่างคนต่างได้เรียนรู้ และยอมรับซึ่งกันและกันได้ จากนั้นค่อยมาเจอกันครึ่งทางคงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด สุดท้าย เคที ก็ได้เจอพวกพ้องของตัวเองแล้ว พวกพ้องที่อยู่ด้วยกันมาตลอดนั่นก็คือ ‘ครอบครัวมิตเชลล์’ ของเธอเอง
เราก็หวังว่าบ้านของเราจะกลายเป็นพวกพ้องเดียวกันดังเช่นบ้านมิตเชลล์ได้ในสักวัน พวกคุณก็เช่นกัน