ต้มส้มปลานิล

‘ต้มส้มปลานิล’ กับข้าวแห่งน้ำตาที่ทำให้รู้ว่า ‘การลาจาก’ ก็สวยงามไม่แพ้กัน

จดหมายถึงยาย

        แด่… ยายที่รัก

        ตอนนี้ยายเป็นยังไงบ้าง อยู่ทางนั้นสุขสบายดีไหม กินอิ่มนอนหลับหรือเปล่า ดูแลตัวเองบ้างหรือเปล่า ปวดท้องดีขึ้นหรือยัง สิ่งที่เคยเป็นกังวล ปล่อยวางได้ไหมนะ ได้กินต้มส้มปลานิลที่แม่ทำส่งไปให้ทุกปีหรือเปล่า แม่ทำอร่อยเหมือนเดิมเลย ยายต้องชอบแน่ๆ ข้างบนนั้นหนาวไหม ยายไม่ชอบอากาศหนาวๆ จะตาย ป่านนี้แล้วได้เจอกับตาหรือยัง กับข้าวที่กินเหลือไม่ต้องเสียดายอีกนะ ทิ้งไปได้เลย เดี๋ยวเผลอกินของบูดโดยไม่รู้ตัวบ่อยๆ จะกลับไปเป็นมะเร็งตับอีกรอบ  

        ส่วนหนูสบายดี ยังคิดถึงยายเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ ตอนนี้มีลูกชายแล้วหนึ่งคนถ้วน หากยายยังอยู่ก็คงได้เห็น เขาน่ารักมาก แต่ถ้าถามถึงแม่ แม่ยิ่งสบายดีค่ะ เพราะมีเรื่องสนุกๆ ให้ทำทุกวัน แถมยังต้องคอยมาเล่าเรื่องที่หมู่บ้านเต่าและเรื่องของยายให้หนูฟังอยู่บ่อยๆ  

        ดังนั้น ยายจึงไม่เคยจากแม่และหนูไปไหนเลยแม้แต่วันเดียว ยายยังอยู่ที่นี่ อยู่ในบทความของหนู เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักเลยก็ว่าได้ หากวันนี้ยายได้มาเป็นคนอ่านด้วยตัวเองก็คงจะดีไม่น้อย เอาเป็นว่าไว้หนูจะอ่านดังๆ ให้ยายฟังทีหลัง หวังว่ายายจะชอบ เหมือนที่หนูชอบฟังและเขียน ส่วนแม่ก็ชอบเล่าเรื่องของยาย และอ่านซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง

        แม่บอกว่า ยิ่งทบทวนเรื่องเล่าของยายมากเท่าไหร่ แม่ก็ยิ่งรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ เพราะตลอดเวลาที่ยายบวชชี อยู่ห่างจากลูกหลาน ยายไม่ได้สุขสบายอย่างที่พวกเราเข้าใจ ยายอดทนและไม่ยอมบอกอาการเจ็บป่วยอยู่นานหลายปี พวกเราเพิ่งมารู้ทีหลังว่า อาหารการกินก็ไม่ได้ถูกสุขอนามัย ที่อยู่อาศัยไม่ได้รับการดูแลอย่างสะอาด สุดท้ายยายล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย เหลือเวลาให้พวกเราดูแลแค่ไม่กี่สัปดาห์

        ยายจ๋า ตอนนั้นท้องของยายป่องขึ้นเหมือนลูกบอลลูน ผิวและตาขาวของยายกลายเป็นสีเหลืองเข้ม แต่นัยน์ตาของยายยังอบอุ่นเสมอเวลาที่จ้องมองกลับมา หนูจำได้ดีว่า ยายบอกแม่ว่า อยากกินต้มส้มปลานิลของโปรด ให้แม่รีบกลับบ้านไปทำให้กินในวันรุ่งขึ้น แต่เมื่อแม่ไปถึงในตอนเช้า ยายกลับนอนนิ่งอยู่บนเตียง มีเพียงหน้าอกที่ขยับขึ้นลงแผ่วเบา

        ยายจ๋า แม่บอกหนูว่า แม่รู้แล้วว่าอีกไม่ช้ายายจะเดินทางไกล ยายแค่เพียงรอการปรากฏตัวของใครบางคน แต่คนคนนั้นเขาก็ไม่มา แม่จึงทำได้เพียงแค่นั่งกุมมือยาย เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง เพราะหมอบอกว่า การได้ยินคือสิ่งสุดท้ายที่จะดับลง

        ยายจ๋า หนูฝากบอกรักไปกับแม่ด้วย ขอกราบลายายที่ปลายเท้าไว้เพียงแค่นี้ ขอฝากรอยยิ้มและเสียงของหนู ไว้เป็นเพื่อนเดินทาง ยายจะได้ไม่เหงา และหวังว่าสักวันหนึ่งเราจะได้พบกันอีก

        และแล้วยายก็หยุดหายใจ ทุกอย่างสงบเงียบ หนูรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งมาเกาะที่หัวใจ ตอนนั้นเจ็บปวดเหลือเกินจ้ะยาย แถมหนูก็ไม่ได้ไปส่งยายด้วย ยิ่งเสียใจมากกว่าที่คิดว่าจะทำใจได้ แต่ยายไม่ต้องห่วงนะ เพราะตอนนี้หนูไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ไม่แน่หากบิลด์มากๆ ก็มีน้ำตาไหลเหมือนกัน

        ยายรู้ไหม การจากไปของยาย ทำให้หนูเห็นคุณค่าของการมีชีวิต ไม่ใช่แค่ชีวิตของหนู แต่เป็นชีวิตของคนในครอบครัวที่ยังอยู่ทุกคน ทำให้หนูเห็นว่า ลมหายใจช่างงดงามและมีค่า หนูจึงให้เวลานั้นไปกับการดูแลและบอกรักอากงจนนาทีสุดท้าย และหลังจากนั้นการมีชีวิตก็ทำให้หนูได้มีครอบครัวใหญ่ที่น่ารัก และหนูก็จะดูแลสิ่งนี้ให้เหมือนว่าอาจจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของหนูเช่นกัน – ขอบคุณนะจ๊ะยาย   

        ด้วยรักและอาลัย

        หลานของยาย

‘ต้มส้มปลานิล’ กับข้าวสุดท้ายที่ปลายจุดหมาย

        “เดี๋ยวแม่จะไปซื้อปลานิลที่ตลาด มาทำต้มส้มปลานิลไว้ใส่บาตรให้ยายตอนเช้า หนูจะเอาอะไรเพิ่มไหมลูก” เสียงของแม่ทำให้ฉันตื่นจากภวังค์ที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ฉันพยักหน้าให้กับตัวเอง แล้วรีบลุกตามแม่ที่กำลังกระเตงหลานไว้ที่เอว

        แม่เปลี่ยนมือให้ฉันอุ้มลูก แล้วหันไปเลือกปลานิลตัวใหญ่ที่ร้านขายปลาสดเจ้าประจำ ปลานิลของแม่แปลกกว่าใคร เพราะต้องเพิ่งตายใหม่ๆ ไม่ใช่แม่ไปสั่งทุบหัวให้ตายเดี๋ยวนั้น และหลังจากที่ปลาตาย พ่อค้าจะขอดเกล็ดปลา สับเหงือก ผ่าท้องเอาเครื่องในทิ้ง ล้างน้ำเกลือให้หนึ่งรอบ ทีนี้ต้มส้มปลานิลของยายก็เหลือแค่ปรุงในเช้าวันรุ่งขึ้น

 

ต้มส้มปลานิล

ต้มส้มปลานิล

 

        ยามเช้า แม่ตั้งหม้อใบใหญ่ ต้มน้ำให้เดือด ทุบหอมแดง ตะไคร้ ข่า ฉีกใบมะกรูดใส่ลงไป ตามด้วยปลานิล ปล่อยทิ้งไว้จนเนื้อปลาสุกทั่วโดยไม่ต้องคน จากนั้นเติมมะเขือเทศหั่นครึ่งลูก พริกแดงโขลก ผักชีฝรั่ง และต้นหอม ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำปลา และน้ำมะนาว ชิมให้ออกรสเปรี้ยวนำ เผ็ดตาม โรยหน้าด้วยผักชีอีกนิดหน่อย ต้มส้มปลานิลของยายจ๋าก็พร้อมเสิร์ฟ

 

ต้มส้มปลานิล

ต้มส้มปลานิล

 

        “ตักใส่ถุงใส่บาตรหลวงตาสักชุดนะลูก ที่เหลือใส่ชามไว้ รอน้องๆ ลงมาก็จะได้กินด้วยกัน เดี๋ยวแม่จะทำไข่เจียวแห้ง  และสับหมูกรอบที่วันนี้แม่ทอดจนขึ้นฟู น่ากินเชียว ไว้ให้อีกจาน” น้ำเสียงของแม่แจ่มใสเหมือนในทุกๆ วัน ใบหน้าของแม่ก็ปราศจากอาการเศร้าหมอง

        ฉันแว่วๆ ได้ยินเสียงใครสักคนเรียกชื่อ แม่นั่นเอง 

        “ยายอยู่ที่นี่” แม่ใช้นิ้วชี้จิ้มเบาๆ ที่หน้าอก 

        “ยายไม่ได้อยู่ที่นี่” แม่ชี้มาที่ดวงตา – และฉันก็สิ้นสงสัยอีกต่อไป