ย้อนกลับไปเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว บ้านตึกแถวค่อนข้างได้รับความนิยม เพราะรองรับครอบครัวใหญ่ได้ และลักษณะของตึกแถวยังเหมาะกับการเปิดร้านต่างๆ บริเวณหน้าบ้าน แต่ในปัจจุบันตึกแถวหลายที่ได้ทำการทุบทิ้ง เพื่อสร้างคอนโดมิเนียม หรือถูกนำไปรีโนเวตใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น อย่างตึกแถวโฉมใหม่ของ ‘ทราย’ – นภัทร สำเภาทอง และ ‘ซัน’ – ศรัญญู เอื้อวิเศษวัฒนา สองสถาปนิกแห่ง S+S Architects และเจ้าของบ้านที่แวดล้อมไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ ความน่ารักของกระถางบอนไซจิ๋ว ซึ่งแตกต่างไปจากตึกแถวรอบข้างอย่างสิ้นเชิง
“เดิมบ้านหลังนี้เป็นตึกแถวเก่า พื้นที่ด้านในจะแบ่งเป็นห้องๆ ค่อนข้างมืด แต่เมื่อเรามารีโนเวตใหม่ เราเลยทุบผนังเพื่อเปิดให้เป็นพื้นที่ที่กว้างและโล่งมากขึ้น เราตั้งใจทำที่นี่ให้เป็นบ้านและที่ทำงาน แบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ คือ โซนทำงานบริเวณชั้นหนึ่งตรงที่เรากำลังนั่งคุยกันอยู่ และโซนส่วนตัวตั้งแต่ชั้นสองที่ปรับเป็นห้องนั่งเล่น สตูดิโอบอนไซ ซึ่งเป็นพื้นที่ปล่อยใจไปกับงานอดิเรกที่กลายมาเป็นอีกอาชีพ และสุดท้ายชั้นบนสุดอยู่ที่ชั้นสาม ซึ่งเป็นห้องนอนและห้องพระ”
ด้านในตัวบ้านบริเวณพื้นที่ทำงานชั้นหนึ่ง มีเพียงโต๊ะยาวกลางบ้านเป็นมุมทำงาน ด้านซ้ายมือเป็นบันไดไม้เปิดโล่งเพื่อขึ้นชั้นสอง ด้านขวามือเป็นของตกแต่งและที่ทำงานอีกมุม ซึ่งอยู่ติดกับพื้นที่สีเขียวใจกลางบ้าน ถัดไปเป็นห้องครัวและระเบียงขนาดเล็กที่สามารถเปิดประตูออกไปรับลมด้านนอกได้ เพียงแค่ชั้นแรกก็รู้สึกได้ถึงความสบายที่เกิดจากการถ่ายเทของอากาศผสานไปกับความสดชื่นที่ได้จากต้นไม้นานาชนิดรอบตัว
“ตึกแถวส่วนใหญ่จะมีพื้นที่จำกัด ไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับต้นไม้ พื้นที่ต่างๆ ก็ค่อนข้างทึบและมืดจนทำให้ไม่น่าอยู่สักเท่าไหร่ ทีนี้เราสองคนชอบต้นไม้มาก เราจึงออกแบบบ้านนี้ให้เห็นธรรมชาติเป็นหลัก ปรับพื้นที่บางส่วนตรงกลางบ้านให้เป็นพื้นที่สีเขียวด้วยการทำให้เป็นช่องสูงขึ้นไปถึงด้านบนสุด ก็จะทำให้บ้านดูโปร่ง และระบายอากาศได้ดี พอเปิดหน้าต่างลมร้อนก็จะขึ้นไปตามช่องที่เปิดไว้ เท่ากับว่าบ้านก็จะเย็นสบาย อีกอย่างการมีต้นไม้จะช่วยให้เรารู้สึกสบายตา ต้นไม้ส่วนใหญ่ที่นำมาปลูกในบ้านจะต้องเป็นพันธุ์ที่อยู่ในร่มได้ เช่น เฟิร์น หรือไม้ใบที่ปลูกและดูแลง่าย อย่าง ฟิโลเดนดรอน ส่วนต้นสูงๆ ไม่ค่อยมีใบด้านล่างก็คือ ต้นกันเกรา เขาจะมีใบอยู่ข้างบน เพราะเป็นจุดที่เจอแสงแดดมากที่สุด”
เมื่อสำรวจชั้นล่างเรียบร้อย เราจึงเดินขึ้นสู่ชั้นสอง ซึ่งเป็นโซนพักผ่อนแบ่งเป็นห้องนั่งเล่นที่ประดับด้วยต้นไม้ในกระถาง มีระเบียงขนาดย่อมให้ออกมารับลมฝั่งเดียวกับช่องต้นไม้ ดูยังไงก็โปร่งโล่ง สบายตาสบายใจ ถัดไปเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของที่นี่ก็คือ Bonson Studio พื้นที่ดูแลบอนไซจิ๋ว ซึ่งเกิดจากความชอบและงานอดิเรกของพวกเขาทั้งคู่
“โซนนี้เกิดจากความชอบของซันก่อน ตอนแรกก็ทำเป็นแค่งานอดิเรก ปลูกสองสามต้น พอชอบมากขึ้นต้นไม้มากขึ้น เราจำเป็นต้องมองหาพื้นที่เพิ่ม เราจึงตัดสินใจทุบห้องนอนฝั่งนี้ ซึ่งเป็นมุมที่แดดส่องนานที่สุด เพื่อเปลี่ยนมาเป็น Bonson Studio ที่มีมุมโต๊ะยาวตัวกลางอยู่ด้านในตัวบ้าน แวดล้อมไปด้วยชั้นวางบอนไซขนาดเล็กในกระถางจิ๋วที่ผ่านการดัดให้เป็นทรงต่างๆ และโซนเก็บอุปกรณ์ที่สามารถหยิบจับได้อย่างสะดวก ส่วนด้านล่างก็ทำเป็นระเบียงต้นไม้ ที่จะมองเห็นได้จากมุมระเบียงของห้องนอนที่ตั้งอยู่ชั้นสาม รวมๆ แล้วเรามีความสุขกับบ้านหลังนี้ และในทุกๆ วันยังได้เจอกับความสดชื่นจากต้นไม้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของบ้านก็ตาม”
“การใช้ชีวิตของเราสองคนจะอยู่บ้านเป็นหลัก การได้เห็นต้นไม้ที่เราตั้งใจปลูกอยู่ในบ้าน ทำให้รู้สึกสดชื่นรื่นรมย์ได้ในทุกช่วงเวลา บางวันเราสามารถเปลี่ยนที่ทำงานมานั่งอยู่โต๊ะเวิร์คช้อปทำบอนไซด้านบน ก็ช่วยทำให้เราปิ๊งไอเดียต่างๆ ได้ง่าย”
WHERE TO FINE BONSON STUDIO
Address: ซอยลาดพร้าว 41 แยก 6-3, กรุงเทพฯ
Shop: Siam Discovery ชั้น 3 , Emporium ชั้น G
Facebook: Bonson