It takes two to tango

It takes two to tango | บ้านและสตูดิโอออกแบบเสื้อผ้าด้วยแรงบันดาลใจผ่านบทเพลง

“เหมือนไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ เลย” เราเอ่ยปากบอกสองพี่น้องฝาแฝด ‘เอ’ – สุพัตรา และ ‘บี’ – สุภลักษณ์ ศรบรรจง ทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้านของพวกเธอในซอยอ่อนนุช 46 ซึ่งเป็นทั้งสตูดิโอออกแบบเสื้อผ้าแบรนด์ It takes two to tango ที่แวดล้อมด้วยต้นไม้สีเขียว ให้ความรู้สึกของที่พักใจแสนสงบและร่มรื่นที่ทั้งสองอาศัยอยู่มาตั้งแต่อายุห้าขวบ ทุกซอกทุกมุมของบ้านจึงเต็มไปด้วยร่องรอยความทรงจำของครอบครัว รวมถึงสิ่งของที่พวกเธอรักและเก็บสะสมมาเนิ่นนาน

It takes two to tango

 

     “เมื่อก่อนบ้านหลังนี้เหมือนบ้านจัดสรรทั่วไป แต่พออยู่กันไปเรื่อยๆ คุณตาคุณยายรู้สึกไม่สบาย บวกกับปลวกกิน ก็เลยต้องรีโนเวตกันยกใหญ่ โดยมีคนในบ้านนี่แหละเป็น ‘สถาปนึก’ กันเอง (หัวเราะ) เพราะเรามีงบจำกัดด้วย ก็เอาวัสดุที่มีอยู่มาปรับใช้ใหม่ แล้วเราก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามอายุ โดยไม่ได้มองว่าบ้านเราต้องเนี้ยบอะไร” บียื่นชาปากีสถานให้เราชิม พร้อมกับเริ่มเล่าเรื่องราวของบ้านอย่างออกรส

 

It takes two to tango

 

     บ้านของเอและบีประกอบไปด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆ ตามฟังก์ชันการใช้งาน โดยพยายามเปิดให้โปร่งโล่งด้วยการใช้ประตูกั้นแต่ละห้องให้น้อยสุด เมื่อก้าวเข้ามา

     ส่วนแรกเราจะเจอกับห้องรับแขก ที่ตกแต่งผนังด้วยคำน่ารักๆ อย่าง ‘เวลาโม้’ ซึ่งยังเป็นมุมฟังเพลงของทั้งคู่ด้วย ส่วนที่สองซึ่งอยู่กลางบ้านคือสตูดิโอออกแบบเสื้อของแบรนด์ It takes two to tango มีโต๊ะตัดผ้าที่ยาวถึงสองเมตร และเป็นที่วางของอุปกรณ์งานฝีมือมากมาย ส่วนที่อยู่ลึกที่สุดคือห้องนั่งเล่นของสองสาว ที่มีประตูบานเฟี้ยมกั้นเพื่อความเป็นส่วนตัว มีมุมอ่านหนังสือที่เชื่อมไปถึงห้องน้ำและห้องนอนด้านใน

 

It takes two to tango

It takes two to tango

 

     ของใช้ในบ้านส่วนใหญ่เป็นของเก่าสไตล์วินเทจ ซึ่งบางชิ้นก็ได้มาจากการเดินทาง และบางชิ้นก็มาจากตลาดนัดแถวบ้าน

     “ของที่พวกเราชอบมากคือพรมจากเนปาลที่แขวนอยู่บนเก้าอี้ห้องรับแขก มันใหญ่มาก แต่ด้วยความชอบก็ช่วยกันแบกกลับมา (หัวเราะ)”

     เนื่องจากทั้งคู่ใช้บทเพลงเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบเสื้อผ้าอยู่เสมอ เมื่อเราให้พวกเธอเลือกซาวนด์แทร็กประกอบบ้านหลังนี้ บีจึงตอบทันทีว่า “เพลง Love Will Find a Way ของ Pharoah Sanders มันเป็นเพลงสบายๆ เหมือนเราอยู่บ้านแล้วผ่อนคลาย บ้านหลังนี้อยู่กับเรามาตั้งแต่เด็ก มันผ่านช่วงเวลามานานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต”

     ก่อนที่เอจะกล่าวปิดบทสนทนาด้วยรอยยิ้มว่า “บ้านคือที่ที่อยู่แล้วมีความสุข ไม่ต้องใส่หน้ากาก และเป็นตัวเราที่สุด ทำให้ความคิดของเราลื่นไหลได้อย่างเป็นธรรมชาติ”