แสงไฟสีส้มจากถนนที่ทอดยาวมาจากวัดราชบพิธฯ โลมไล้ใส่ตึกเก่าสไตล์โคโลเนียลสีเหลืองอ่อนในตอนหัวค่ำ เกิดเป็นภาพประทับใจให้กับ ‘เชน’ – ธีรเวทย์ อัศวเอกะวานิช ต่อสถานที่แห่งนี้มานานนับสิบปี จนวันหนึ่งที่มีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ในตึกนี้ เขาก็ไตร่ตรองอยู่นาน และตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นว่าจะใช้สถานที่ที่ตัวเองตกหลุมรักนี้ให้เป็นแหล่งรวมตัวของคนที่ชอบอะไรเหมือนกันในชื่อ M.T. Rollin Club
“ผมนั่งอยู่ในตึกนี้สามเดือนกว่าจะกลั่นออกมาว่าจะทำที่นี่เป็นอะไร ตอนแรกผมไม่อยากทำร้านอาหาร เพราะผมรู้ว่าธุรกิจร้านอาหารนั้นโหดร้ายมาก” เขาเล่าที่มาที่ไปของ M.T. Rollin Club ระหว่างที่ยืนจัดดอกไม้เคล้าไปกับเพลงแจ๊ซอย่างประณีตบรรจง
“ผมตัดสินใจทำที่นี่ให้เป็นคลับ มีส่วนของร้านอาหารสำหรับนั่งดินเนอร์ มีห้องสำหรับนั่งพูดคุยด้วยกัน และมุมสำหรับตัดสูทอยู่ด้านใน ผมใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมานาน และผมเองก็เป็นคนที่ชอบแต่งตัว เลยอยากมีสถานที่ที่ทำให้เรามีโอกาสได้แต่งตัว เวลาไปดินเนอร์ก็จะแต่งตัวอย่างหนึ่ง ไปงานเลี้ยงค็อกเทลก็แต่งตัวอีกแบบ ซึ่งที่ต่างประเทศมีวัฒนธรรมการแต่งกายบางอย่างอยู่ จึงอยากจะมีที่ที่เราจะสามารถแต่งตัวมาดินเนอร์ มาแฮงเอาต์กับเพื่อนได้ โดยที่เดินเข้าไปในสถานที่นั้นแล้วตัวเองไม่รู้สึกเขิน เราจึงเปิดที่นี่เพื่อให้คนที่อยากจะทำแบบเดียวกับเรา หรือคนที่เป็นเหมือนกันกับเราเข้ามาสังสรรค์ มาปาร์ตี้ มานั่งทานอาหาร ฟังเพลง พูดคุยด้วยกัน”
ภายในร้านอาหารและคลับแห่งนี้จึงอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ละเมียดละไม ชวนให้อยากนั่งชื่นชมสุนทรียะที่เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้นานๆ ทิ้งชีวิตที่วุ่นวายเอาไว้ข้างนอกร้านสักพัก แต่ก็มีบ้างที่บางคนไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ร้าน และเข้ามาใช้งานในแบบที่ตัวเองเคยชิน
“ผมเข้าใจนะว่าตอนนี้เทรนด์การถ่ายรูปสวยๆ ลงโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของคนยุคนี้ ซึ่งคุณสามารถมาถ่ายรูปในร้านผมได้ผมไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็อยากให้เกรงใจลูกค้าท่านอื่นที่เขาต้องการมานั่งกินอาหารอย่างสงบ หรือนั่งคุยกับเพื่อนอย่างผ่อนคลาย ไม่ใช่จะหยิบของไปวางไปจัดตรงไหนก็ได้ เพราะของในร้านคือของสะสมของผม เป็นของส่วนตัวที่อยากให้คนคอเดียวกันได้เข้ามาเสพ เพราะผมเชื่อว่าของเหล่านี้ถ้าเก็บไว้ดูคนเดียวก็คงไม่มีคุณค่าอะไร ผมเลยนำมาไว้ที่ร้านเพื่อให้ได้มาชื่นชมของสวยๆ งามๆ ด้วยกันมากกว่าจะเอามาใช้ถ่ายรูปลงโซเชียลฯ ผมคิดว่าปัญหาของการใช้สถานที่ร่วมกันมาจากการที่วัฒนธรรมไทยไม่ได้ปลูกฝังให้คนให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์สถานที่ เลยทำให้ทุกวันนี้คนคิดกันไปเองว่าร้านที่ตนเข้าไปใช้บริการนั้นสามารถที่จะทำอะไรตามใจชอบก็ได้”
เสียงจากเพลง No Woman ของวง Whitney ซึ่งเป็นเพลงโปรดของเราลอยขึ้นมาพอดีระหว่างการสนทนา ยิ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับสถานที่แห่งนี้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อได้จิบโกโก้ร้อนที่ใช้ผงโกโก้อย่างดีจากทางร้านด้วย ก็ทำให้เราเข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเจ้าของร้านถึงหลงรักบรรยากาศของตึกนี้เหลือเกิน
“เชื่อไหม ตอนนี้ผมกลับมามองจุดยืนของตัวเองใหม่แล้วนะ ว่าจริงๆ ผมอาจจะไม่เหมาะกับการทำร้านอาหารที่เปิดมาเพื่อให้มีจำนวนลูกค้าเยอะๆ แบบช่วงสองเดือนแรกที่เปิดร้านก็ได้” เขาย้อนกลับไปเล่าถึงความรู้สึกของวันแรกที่มีคนสนใจเข้ามาใช้บริการที่นี่กันอย่างมากมาย
“ตอนนั้นผมรู้สึกไม่สบายใจเลย ที่มีคนเข้ามาที่ร้านจนลูกค้าหลายรายไม่มีที่นั่ง แล้วลูกค้าที่อยากเข้ามาเสพบรรยากาศจริงๆ หรืออยากมาใช้เวลาที่นี่พอเขาเดินเข้ามาเห็นคนเต็มร้านเขาก็เลือกที่จะขอกลับมาอีกทีวันหลัง วันที่มีคนเงียบๆ มากกว่า ผมจึงกลับมานั่งคิดว่าหรือจริงๆ เราต้องการคนที่อยากมานั่งคุยกันหรือเป็นคนประเภทที่ใช้ชีวิตแบบนิ่งๆ และอยากหาที่นั่งทานอาหารแบบละเมียดละไมจริงๆ”
“บางคนมองว่าผมควรจะง่ายขึ้นบ้าง แต่ผมกลับมองว่าเราควรจะชัดเจนในจุดนี้” เขากล่าวย้ำอย่างหนักแน่น
และเราก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะบางทีการทำธุรกิจเพื่อเอาใจลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่ไม่ใช่คนแบบที่ต้องการจริงๆ ก็จะทำให้ไม่มีความสุขในการทำงาน ซึ่งเขาก็ขอบคุณเราที่เข้าใจพร้อมกับบอกว่า “ถ้าผมทำแบบนั้นร้านนี้ก็จะทำเงิน แต่ผมกลับมามองว่านั่นไม่ใช่ความสุข แต่ผมก็ไม่รู้จะต้องทำอย่างไรที่จะหาตรงกลางระหว่างตัวเองกับลูกค้าให้เจอ ผมไม่อยากมีผู้จัดการร้าน ผมอยากต้อนรับแขกด้วยตัวเอง เหมือนสมัยที่อยู่นิวยอร์ก ผมจะมีร้านที่ไปประจำทุกวัน เจ้าของร้านก็จะออกมาต้อนรับแขกด้วยตัวเอง เขาทำความรู้จักกับทุกคน ผมจึงอยากให้ร้านนี้เป็นแบบนั้น เป็นร้านที่เรียกคนที่เหมือนเราเข้ามา แล้วมีความสุขในบรรยากาศแบบนี้ด้วยกัน”
หลังจากที่นั่งเงียบๆ เสพความสงบของร้านกันอยู่พักใหญ่ เราก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าคุณรักในสถานที่แห่งนี้ และอยากให้มันเป็นร้านในแบบที่คุณใฝ่ฝัน คุณก็ควรจะหนักแน่นกับกับความเชื่อของตัวเอง และเราก็เห็นด้วยว่าร้านนี้ก็ต้องเป็นแบบนี้ เป็นร้านที่คนเข้าใจในเรื่องเดียวกันที่จะเข้ามาอยู่ในนี้และมีความสุขไปด้วยกันได้”
หลังจากกล่าวให้กำลังใจกับความมุ่งมั่นของเขาไปแล้ว สายตาของเราก็มองไปที่หน้าต่างด้านข้างของร้านที่ส่องทะลุให้เห็นทางเดินเลียบคลองด้านของของวัดราชบพิธฯ ภาพของชายหญิงที่เดินจับมือคุยกันอย่างช้าๆ และก้าวเข้ามานั่งดินเนอร์ใต้แสงเทียนภายใน M.T. Rollin Club ก็เป็นภาพเดียวกันกับที่ตัวเจ้าของร้านบอกกับเราว่า มีคนที่ทำอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ
“เพราะบรรยากาศของย่านนี้มันโรแมนติกมากๆ ซึ่งมีคู่รักหลายคู่เขาเลือกที่จะจอดรถให้ห่างออกไปแล้วค่อยๆ เดินชมบรรยากาศแบบนี้จริงๆ ก่อนเข้ามารับประทานอาหารในบ้าน” เขากล่าวพร้อมกับอมยิ้มอย่างมีความสุข
WHERE TO FINE M.T. ROLLIN CLUB
Address: บริเวณข้างวัดราชบพิธฯ ตรงข้ามสวนสวนสราญรมย์ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
Opens: 11.00-24.00 น. ปิดทุกวันจันทร์
Facebook: M.T.Rollin Club