เราเชื่อว่าการไปเที่ยวกับลูก ไม่ใช่แค่เราที่ได้เปลี่ยนบรรยากาศการเลี้ยงลูก แต่ลูกจะซึมซับอะไรดีๆ กลับมาเสมอ อย่างทริปเกาะช้าง จังหวัดตราดนี้ก็เช่นกัน จากโลกของลูกที่หมุนรอบตัวแม่ บรรยากาศท้องทะเลกว้าง น้ำทะเลใสแจ๋ว ท้องฟ้ามีเมฆก้อนฟูสีขาว ต้นไม้และภูเขาสีเขียว ไหนจะผู้คนที่มีความแตกต่างกัน ประสบการณ์ต่างๆ ทำให้โลกของลูกแปลกไป การเรียนรู้มากมายจึงค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัว เมื่อเป็นแบบนี้ เราจึงอยากแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวเพื่อเป็นไอเดียให้กับพ่อแม่ลูกอ่อนตัดสินใจออกเดินทางกันอีกครั้ง
ครั้งแรกของลูกกับเรือเฟอร์รีข้ามเกาะ
ที่ตัดสินใจเลือกเกาะช้าง เพราะประเมินแล้วว่าลูกชายวัยหกเดือนกว่าๆ ของเราน่าจะไหว เนื่องจากเดินทางสะดวก ขับรถจากกรุงเทพฯ สู่ท่าเรืออ่าวธรรมชาติ ใช้เวลาราวๆ 4-5 ชั่วโมง สามารถขับรถจากท่าเรือขึ้นเรือข้ามเกาะได้ โดยจอดรถไว้ด้านล่าง แล้วเดินขึ้นไปนั่งกินลมชมวิวรอด้านบนชั้นสองของเรือ
ถ้าเป็นวันหยุด จะมีนักท่องเที่ยวทั้งที่มีรถและไม่มีรถหลั่งไหลมากันมากมาย ทำให้บนเรือคึกคักไปด้วยคนแบกกระเป๋าและหางแถวต่อรถเพื่อรอข้ามเกาะยาวกว่าปกติ แต่ด้วยระบบการจัดการที่ดี มีเรือเฟอร์รีรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวมากถึงสามลำใหญ่ ใช้เวลาไม่นาน รถก็เคลื่อนตัวเข้าจุดจอดด้านในเรือที่จุทั้งคนและรถได้เยอะกว่าที่คิด ที่สำคัญ ทุกอย่างมีความปลอดภัย สบายใจหายห่วงได้เลยหากมีเด็กเล็กมาด้วย
นี่เป็นครั้งแรกของลูกที่ได้นั่งเรือ ตอนแรกเราคิดว่าเขาอาจจะกลัว แต่ตลอดสามสิบนาทีที่ลูกอยู่บนเรือ เราเห็นเขายิ้มกว้างเมื่อเห็นท้องทะเล และท้องฟ้าที่อยู่ใกล้ระดับที่คิดว่าตัวเองคว้าถึง เขาหัวเราะและส่งเสียงดังเมื่อเรือค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากฝั่ง แววตาของเขาเป็นประกายวิบวับเมื่อมองไปรอบๆ
สีหน้าท่าทางของลูกที่แสดงออกมา ทำให้คุณตาหัวเราะจนฟันปลอมแทบหลุด ส่วนคุณยายก็ยิ้มกว้างจนเมื่อยกราม ในขณะที่เราสองคนชื่นใจ ดีใจที่คิดถูก ส่วนคนรอบข้างที่เห็นลูกก็ยิ้มกว้างไม่แพ้พวกเราเช่นกัน
วิวทะเลจากมุมสูง
หลังจากนำรถออกจากท่าเรือ เราเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งหน้าสู่ที่พักซึ่งตั้งอยู่บริเวณหาดคลองพร้าว ระหว่างทางขึ้นเขา เราจะเจอกับวิวทะเลจากมุมสูงฝั่งขวามือ แต่จะชะลอหรือจอดรถไม่ได้เพราะเป็นทางโค้งขึ้นอันตราย ถนนค่อนข้างชัน แนะนำว่าถ้าอยากจอดชมวิวจริงๆ ให้แวะตอนขาออก เพราะสามารถจอดรถชิดซ้ายข้างทางเพื่อเดินลงไปชมวิวนี้ได้อย่างปลอดภัย
เม็ดทรายแรกที่เหยียบย่ำ
เราขับรถเพียง 15 นาที ก็ถึง Flora i Talay เราเลือกโซน Beach Front Villa ติดทะเล ซึ่งเราจองได้ในราคาที่ถูกกว่าปกติ เพราะเดินทางเดือนกรกฎาคม ถือว่าเป็นช่วงโลว์ซีซัน โชคดีที่เราไม่เจอฝนหรือคลื่นลมแรงเลย
หลังจากเช็กอินเรียบร้อย เราก็พาลูกไปทำความรู้จักทรายขาวเนื้อละเอียด ทันทีที่เหยียบทราย ลูกร้องเสียงหลงด้วยความงุนงงปนไม่มั่นใจ เราคิดว่าคงเป็นเพราะความยวบของทรายที่ทำให้เขาตกใจ เพราะที่ผ่านเคยแต่ยืนบนพื้นที่แข็งและมั่นคงมาตลอด
ทะเลยามเย็นสวย แต่น่ากลัวสำหรับเบบี๋
เราปล่อยให้เวลาเดินไปเรื่อยๆ เอื่อยๆ เราป้อนข้าวที่เตรียมมาจากกรุงเทพฯ ให้ลูกริมชายหาด หลังลูกกินอิ่ม ก็พากันเดินเล่นริมหาดอีกครั้ง พร้อมพาลูกไปลองเหยียบทรายเปียกเนื้อแน่นๆ ปรากฏว่าลูกยังคงร้องไห้ ร้องจนน้ำตานองอาบสองแก้มหนักกว่าเดิม ทั้งยังรีบยกเท้าหนี สองมือปัดป่ายคว้าคอให้เราอุ้มขึ้นทันทีที่ฟองคลื่นโถมเข้าหา เราไม่ฝืนลูก เพราะคิดว่าเขาคงยังไม่พร้อม อาจจะกลัวอะไรก็ตามที่วิ่งเข้าหา หรือกลัวเสียงดังในระยะที่ใกล้หูนั่นเอง
ทำความรู้จักพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ที่จุดชมวิวหาดไก่แบ้
เรียกว่าจุดนี้คือไฮไลต์ของเกาะช้าง นักท่องเที่ยวสามารถขับรถขึ้นมาได้ บริเวณนี้จะอยู่บนภูเขา มีตู้ไปรษณีย์สีแดงรูปจรวดเป็นสัญลักษณ์ที่ต้องแวะมาถ่ายรูป และจากมุมนี้จะมองเห็นเกาะทั้งสามในท้องทะเลอย่างเกาะมันนอก เกาะมันใน และเกาะหยวก ซึ่งเป็นจุดดำน้ำประจำของเกาะช้าง เราอุ้มลูกชายไปนั่งที่เก้าอี้ม้าหินริมหน้าผา เพื่อเฝ้ารอชมพระอาทิตย์เปลี่ยนสีท้องฟ้าให้กลายเป็นสีส้มเข้ม ก่อนที่จะลับขอบฟ้า อากาศร้อนชื้นทำให้ตัวเหนียวเหนอะหนะ แต่เขาก็ไม่มีทีท่าจะงอแง
“ลูกกำลังคิดอะไรอยู่นะ” …เราคิดอย่างนั้น เมื่อเห็นว่าเขานั่งนิ่งๆ แล้วมองตรงไปข้างหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
ทะเลยามเช้ากับความคุ้นเคยใหม่
วันแรกผ่านไปพร้อมความสดชื่นที่แม่ลูกอ่อนคนนี้ได้รับ แม้ว่าตอนกลางคืนยังคงต้องตื่นมาปั๊มนมและปลอบลูกที่ตื่นขึ้นกลางดึกเป็นระยะๆ แต่เราก็รู้สึกมีแรง และมีความสุขมากขึ้น
ลูกชายตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เสียงคลื่นกระทบฝั่งอยู่ไกลๆ ทำให้เขาส่งเสียงปลุกเราให้ตื่นขึ้น พร้อมทำท่าทางราวกับว่าให้พาออกจากห้องไปหาต้นเสียง เรารอจนฟ้าสว่างก่อนจะอุ้มลูกเดินเล่นที่ชายหาด สักพักคุณตาและคุณยายก็มาเปลี่ยนมือให้เราได้ไปทำธุระส่วนตัว และเตรียมมื้อเช้าของลูกที่เราทำไว้จากกรุงเทพฯ แพ็กใส่ถุงเก็บน้ำนมแม่แล้วแช่น้ำแข็งมาในกล่องโฟม แต่หากเน้นความสะดวก แนะนำอาหารสำเร็จรูปสำหรับเด็กจะคล่องตัวกว่า
หลังจากนั้นไม่นานยายก็บอกว่า ลูกชายไม่กลัวทรายแล้วนะ ว่าแล้วยายก็จูงมือหลานพาเดินพร้อมโชว์ยิ้มเหมือนแป๊ะยิ้มตามคณะเชิดสิงโตอย่างไรอย่างนั้น… เขาคงเริ่มคุ้นเคยแล้ว
วิวอลังการกับสะพานแดง ที่ป่าชายเลนบ้านสลักเพชร
กิจกรรมวันที่สอง เราไปน้ำตกคลองพลู พากันเล่นน้ำเย็นเจี๊ยบในช่วงสายๆ ก่อนจะกลับมาอาบน้ำและให้ลูกได้พัก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังป่าชายเลนบ้านสลักเพชร ซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเกาะ บนเส้นทางเลียบทะเลที่เต็มไปด้วยหินกรวดเป็นทางยาวหลายกิโลเมตร ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าเขตหมู่บ้าน ทางถนนเส้นใหญ่เปลี่ยนเป็นทางลูกรังเส้นเล็ก
พอมาถึงจุดที่จีพีเอสบอกว่าถึงที่หมายแล้ว เราเห็นเพียงอาคารปูนเล็กๆ สองหลัง สภาพคล้ายยังก่อสร้างไม่เสร็จ ในใจตอนนั้นคิดว่า คงมาผิดที่ และกำลังจะกลับ แต่ก็เห็นรถอีกคันตามมาสมทบ เราจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูด้านใน ก็พบว่าเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน มีสะพานไม้สีแดงทอดยาวไปตามแนวป่าโกงกาง
เราอุ้มลูกเดินเข้าไปเรื่อยๆ ชี้ชวนให้ดูป่าโกงกางที่ไร้ปลาตีนอย่างที่อื่น และแล้วเราก็เข้ามาจนถึงใจกลางของทางเดิน และพบวิวที่ทำให้เราตาโต เบื้องหน้าของเราคือภูเขาสีเขียว รอบข้างคือยอดต้นโกงกาง พอมองกลับไปข้างหลังก็เป็นภูเขาโอบเราไว้อีก ช่างคุ้มค่าที่เดินเข้ามาจริงๆ
ป่าโกงกาง ไอร้อน และความทนแดดของลูก
ป่าโกงกางเชิญชวนให้เดินต่อไปเรื่อยๆ เพราะอยากรู้ว่าปลายสุดของสะพานเราจะเจอกับอะไร และท่ามกลางแดดที่ร้อนจัด ลูกชายของเราไม่งอแงเลยแม้แต่นิด เหงื่อไหลอาบสองแก้ม เราให้ลูกจิบน้ำเป็นระยะๆ เพื่อความสดชื่น เมื่อเดินไปจนสุดทางก็พบกับเวิ้งปากอ่าว พวกเรานั่งพักรับไอเย็นกันสักครู่ ก่อนจะเดินกลับทางเก่า เพื่อไปชมวิวเดิมที่เราชอบกันอีกครั้ง
ร้านกาแฟริมทะเล
คืนวันที่สองก็ผ่านพ้น เรารู้สึกได้เลยว่าสดชื่นขึ้นมาก พลังของการทำงานและการเลี้ยงลูกทะยานขึ้นจนล้นปรี่ ยามเช้าของวันที่สามมาทักทาย เราแวะไปที่ Wari Coffee ร้านกาแฟน่ารักริมหาดคลองพร้าว สั่งเมนูโปรดอย่างอเมริกาโนเย็นไม่หวานดื่มก่อนให้ลูกเข้าเต้าสองชั่วโมง กาเฟอีนที่เราได้รับจะส่งผ่านน้ำนมเพียงน้อยนิด แทบจะไม่ส่งผลต่อลูกเลย แต่ส่งผลต่อจิตใจของแม่อย่างเราเป็นอย่างมาก พวกเราพากันรับพลังธรรมชาติให้เต็มที่ก่อนจะกลับกรุงเทพฯ ในช่วงก่อนเที่ยง เพราะอยากจะแวะวัดแห่งหนึ่งในอำเภอแกลง จังหวัดระยอง แต่ทุกอย่างก็ผิดคาด เพราะรถติดตั้งแต่ก่อนถึงท่าเรือเกาะช้างยาวหลายกิโล ติดอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมง พอได้ขึ้นเรือที่ขามาใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง แต่เรือลำที่เรานั่งใช้เวลากลับเข้าฝั่งนานถึง 45 นาที เท่ากับว่ากว่าจะถึงกรุงเทพฯ พลังที่ล้นปรี่ก็แทบจะหมดอีกครั้ง… เอวัง