ฮ่องกง

ภาพถ่ายและเศษเสี้ยวความทรงจำจากฮ่องกง เมืองแห่งสีสันและความหลากหลาย ที่มีตึกสูงเป็นฉากหลัง

‘ฮ่องกงไม่มีอะไรเลย’

ประโยคบอกเล่าที่ผมมักได้ยินเสมอจากบรรดาคนรู้จักหลายคนผู้เคยไปเยือนกระซิบให้ฟัง เมื่อพวกเขารู้ว่าผมกำลังจะเดินทางไปที่นั่น ที่สำคัญคือ… ผมไปตามลำพัง

‘ไปคนเดียวไม่เหงาเหรอ’

     ประโยคคำถามที่ผมมักได้ยินเสมอจากบรรดาคนรู้จักหลายคนผู้เกิดความฉงนสงสัยในการเดินทางครั้งนี้ จะว่าไป ปริมาณและน้ำหนักของความเหงาที่เผชิญยามอยู่กรุงเทพฯ ก็หนักพอตัวอยู่แล้ว ทำไมผมต้องพาตัวเองไปยังเมืองที่เขาเล่าขานกันว่า ‘เหงา’ ที่สุดเมืองหนึ่งในโลกให้ ‘เหงาเหงา’ เพิ่มอีก

     …นั่นน่ะสิ

 

     นึกย้อนกลับไป ภาพทรงจำระหว่างผมกับฮ่องกงที่เด่นชัดที่สุดมีสองสิ่ง หนึ่งคือภาพสารคดีของ Greg Girard ช่างภาพชาวแคนาดาที่ผมชื่นชอบ ซึ่งเคยถ่ายเมือง Kawloon Walled City ในอดีต ไว้ในหนังสือ City of Darkness: Life in Kowloon Walled City และทำให้ผมหลงรักความ ‘เรียล’ ของมัน

     ถ้าใครเคยเห็นภาพชุดนี้คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน ชุมชนขนาดใหญ่ที่คล้ายถูกบีบอัดจนแน่นเป็นปลากระป๋อง ข้างในมีชีวิตมากมายบรรจุไว้ ผู้คนต่างดำเนินชีวิตอยู่ในห้องเล็กๆ ที่ข้าวของถูกจัดเก็บตามความพยายามในพื้นที่อันแสนจำกัด ซอกอับๆ มืดๆ ที่ทำเป็นพื้นที่สำหรับหั่นเนื้อหมูเพื่อเตรียมนำไปปรุงอาหาร เด็กน้อยวิ่งเล่นบนดาดฟ้าอาคารซอมซ่อที่เบื้องหลังเป็นตึกโทรมๆ สูงไล่เรียงไปเรื่อยๆ

     สองคือภาพยนตร์ในดวงใจของใครหลายคนรวมถึงผมอย่าง Chungking Express ผลงานของปรมาจารย์ หว่อง กา ไว ผู้มีสไตล์การกำกับอันโดดเด่น ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านเรื่องราวและภาพที่ชวนให้รู้สึกอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว ไร้เหตุผล ท่ามกลางเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยสีสันและผู้คนที่หลากหลาย

     นั่นคือภาพของฮ่องกงในจินตนาการสำหรับผม

 

     มีกฎเกร่อๆ ที่เรียกกันว่า The Law of Attraction หรือกฎแห่งแรงดึงดูด ที่บอกว่าสิ่งที่เหมือนกันมักจะถูกดึงดูดเข้าหากัน ผมคิดว่าการเดินทางตามลำพังในครั้งนี้ก็คงเป็นผลกระทบมาจากกฎนั้น ใช่ …ฮ่องกงกำลังร้องเรียกผม

     ตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผมอยู่ฮ่องกง อาจไม่ใช่ระยะเวลาที่นานพอจะทำให้เข้าใจ ‘ความเป็นฮ่องกง’ ได้ลึกซึ้งถึงแก่น แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผมได้สดับถึงเสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณในเมืองแห่งนี้ สิ่งมากมายที่ได้พานพบในแต่ละวันล้วนสร้างภาพทรงจำใหม่ๆ ให้กับผม ตึกสูง ผู้คน อาหาร สถานที่ วัฒนธรรม เหล่านี้คือ ‘อาจารย์ฮ่อง’ ที่สอนให้ผมละทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลัง และปล่อยใจให้ว่าง เพื่อรอรับบทเรียนต่างๆ ที่ฮ่องกงได้สอนให้

     ฮ่องกงจึงถูกบันทึกไว้ผ่านภาพที่ผมได้มีโอกาสถ่ายมา

     ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ย้อนกลับมาดูภาพเหล่านี้ ฮ่องกงเป็นจะสถานที่สุดพิเศษสำหรับผมเสมอและตลอดไป

 

ฮ่องกง

 

01 | ร้านสะดวกซื้อหรือร้านสะดวกเศร้า

     ค่ำคืนแรกที่ผมมาถึงฮ่องกง หลังเช็กอินและเก็บสัมภาระไว้ในโฮสเทลเรียบร้อย ผมออกตระเวนสำรวจร้านค้าบริเวณใกล้ๆ กับที่พักย่านหว่านไจ๋ (Wan Chai) พร้อมกับหาอะไรกิน แต่สิ่งที่สะดุดสายตามากที่สุดกลับเป็น Circle K ร้านสะดวกซื้อประจำเกาะฮ่องกงที่คุณจะพบได้แทบทุกซอกมุม (เหมือน 7-Eleven บ้านเรา) แสงไฟนีออนสีขาวที่ตัดกับตัวหนังสือสีแดงบนป้ายเหนือประตูหน้าร้าน ให้ความรู้สึกราวกับเราได้มาเช็กอินที่ฮ่องกงเรียบร้อยแล้ว

     ไม่รอช้า ผมเดินเข้าไปสำรวจทันที ภายในนั้นมีทั้งอาหาร ขนม เครื่องดื่ม ของใช้ต่างๆ และนิตยสาร เมื่อผมลองหยิบพลิกขึ้นมาดูราคาแล้วก็ได้แต่เพียงทำหน้าเจื่อนและวางสินค้ากลับคืนบนชั้น เพราะราคามันเอาเรื่องจริงๆ เพิ่มอีกนิดหน่อยแล้วไปหาร้านอาหารเป็นกิจจะลักษณะนั่งกินคงจะดีกว่า ว่าแล้วก็เดินออกร้านมาแบบเศร้าๆ

     หมายเหตุ: คำว่า ร้านสะดวกเศร้า ขออนุญาตหยิบยืมมาจากตอนหนึ่งในหนังสือ ‘ฮ่องกงกึ่งสำเร็จรูป’ ของ พี่เต๋อ นวพล

 

ฮ่องกง

 

02 | อาหารจานงง

     ว่ากันว่า มาฮ่องกงไม่ต้องกลัวอดตาย เพราะร้านอาหารนั้นมีเรียงรายให้เลือกแวะลองชิมทุกหัวมุมถนน ส่วนราคาและรสชาติก็ต่างกันไป แต่ปัญหาเดียวคือ หลายๆ ร้านมีแต่เมนูภาษาจีนต้อนรับลูกค้าต่างชาติอย่างเราๆ หากใครอ่านภาษาจีนออกก็คงสบายตัวไป หรือหากใครชอบการเสี่ยงทายหน่อย ก็อาจจะสนุกกับการได้ลองจิ้มเมนูมั่วๆ มาลุ้นดู

     นอกจากรสชาติ อีกสิ่งที่ทำให้เราสนุกกับการเดินเข้าร้านอาหารริมทางเหล่านี้ก็คือบรรยากาศ สีสัน และผู้คน แบบ ‘ฮ่องกง’ หลายๆ ครั้งที่ผมนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะคนเดียว สักพักก็มีคนเดินมาหย่อนก้นลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามและสั่งอาหารมานั่งทานด้วยแบบที่ผมยังงงๆ เพราะโต๊ะอื่นก็ยังว่างอยู่ บางคนก็นั่งกินไปเรื่อยๆ ราวกับเป็นเรื่องปกติ แต่บางคนที่เป็นมิตรหน่อยก็จะยิ้มให้เรา พร้อมเปิดบทสนทนาเป็นภาษาจีนกวางตุ้งใส่ จนกระทั่งผมต้องยิ้มแบบมึนๆ ให้ และส่ายหัวไปว่าฟังไม่ออก เขาเหล่านั้นจึงหัวเราะ และหันกลับไปสนใจอาหารในชามของตัวเองต่อจนหมด

 

ฮ่องกง

 

03 | แท็กซี่ที่รัก

     แท็กซี่เป็นพาหนะที่พบได้ทั่วฮ่องกง เราสามารถเรียกแท็กซี่เหล่านั้นได้ตามถนน (ยกเว้นในพื้นที่จำกัด) หรือเรียกใช้บริการผ่านโทรศัพท์ก็ได้ ส่วนลำตัวสีแดง ตัดกับโครงสร้างหลังคาสีขาว ตัวหนังสือจีนแปะข้างรถ พร้อมกับคนขับภาพลักษณ์แบบมาเฟียเป็นสิ่งที่ทำให้เราตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้พบ (แต่ไม่ได้นั่ง)

     ผมว่าอีกสิ่งที่เป็นเรื่องสนุกเวลาได้ไปเยือนแต่ละเมืองในโลกคือการสังเกตรถแท็กซี่ รถแท็กซี่แต่ละเมืองทั่วโลกจะมีสีสันและเอกลักษณ์ที่ต่างกัน แต่สามารถสะท้อนอัตลักษณ์ของประเทศนั้นๆ ได้ดี ดังเช่น Ford Crown Victoria สีเหลืองสุดคลาสสิกในมหานครนิวยอร์ก หรือ NISSAN NV200 แท็กซี่ลอนดอนที่รู้จักกันในนาม London Black Cab ผมลองจินตนาการดูว่าหากลองสลับเอาสองคันนี้มาวิ่งในฮ่องกงก็คงจะไม่เข้าท่า ต้องเป็นเจ้าแดง-ขาว เท่านั้น ถึงจะได้อารมณ์กว่าเป็นไหนๆ

 

ฮ่องกง

 

04 | เราพบกันที่ริมอ่าววิคตอเรีย

     วันที่ผมไปเยือนอ่าววิคตอเรียนั้นอากาศแจ่มใส ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า มีเมฆเป็นริ้วเล็กๆ ราวกับจะมองเห็นการเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เส้นทางเดินริมอ่าวฝั่งจิมซาจุ่ยมีนักท่องเที่ยวประปราย และมีชาวฮ่องกงดำเนินชีวิตตามปกติให้เราเห็น บ้างก็มานั่งเล่น บ้างก็วิ่งจ๊อกกิ้ง บ้างก็ตกปลา ซึ่งผมสนใจอย่างหลังเป็นพิเศษ ผมอยากรู้ว่าปลาที่เขาตกอยู่นั้นเป็นชนิดไหนกันแน่ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามไป

     ระหว่างที่เดินเล่นและสังเกตผู้คน ผมเห็นคุณลุงผิวกร้านแดดหนึ่งในกลุ่มผู้ตกปลานั่งนิ่งมองข้ามไปยังตึกสูงใหญ่มากมายที่อยู่ฝั่งเกาะฮ่องกง โดยที่ในมือยังจับเบ็ดตกปลาอยู่ ไม่รู้ว่าเขากำลังจินตนาการถึงสิ่งใด ระหว่างปลาหรือชีวิตทางฟากฝั่งด้านโน้น

     ผมหยุดนั่งมองคุณลุงอยู่ครู่เล็กๆ พลันคิดไปว่า บนพื้นดินที่เราอาศัยอยู่นั้นมีชีวิตอันหลากหลายที่กำลังดำเนินไป

 

ฮ่องกง

 

05 | ชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่ในตึก

     แน่นอนว่าเอกลักษณ์ของฮ่องกงที่คนนึกถึงคือตึกสูงเสียดฟ้า ในขณะที่เมืองใหญ่ทั่วโลกต่างขยับขยายสร้างตึกสูงใหญ่กระจายออกไปในแนวราบ ฮ่องกงกลับออกแบบตึกให้พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า เพราะพื้นที่อันจำกัด (ผมเคยดูสารคดีฝรั่งชิ้นหนึ่ง เขาบอกว่าฮ่องกงนั้นใช้พื้นที่ในการสร้างตึกสูงเหล่านี้ไปเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ ของทั้งเกาะเท่านั้น มิน่า ตึกพวกนี้ถึงได้อยู่เบียดเสียดห้อมล้อมกันในเมือง) ว่ากันว่าพื้นที่ของฮ่องกงนั้นมีราคาสูงมาก เราจึงเห็นคนฮ่องกงส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องพักเล็กๆ ที่หน้าตาเหมือนๆ กันในตึกสูงเหล่านี้

 

ฮ่องกง

 

06 | คุณลุงร่มน้ำเงิน และสายรุ้งบนพื้นดิน

     แฟลตสายรุ้ง หรือ Choi Hung Estate ที่สถานีชอยฮุง (Choi Hung) เป็นแลนด์มาร์กที่ใครมาฮ่องกงก็ต้องมาแวะมาถ่ายรูปกับอาคารโทนสีน่ารักแห่งนี้ วันที่ผมไปเยือนที่นั่นท้องฟ้ามีเมฆบดบัง บางคราวก็มีฝนเม็ดละเอียดเหมือนน้ำแข็งไสโปรยปรายลงมา วันนั้นมีนักท่องเที่ยวมากมายกระจายกันอยู่บนลานกว้างของดาดฟ้าอาคาร ที่มีสนามเทนนิส สนามบาสเกตบอล และลานพักผ่อนตั้งอยู่ โดยที่มีฉากหลังเป็นแฟลตสายรุ้ง

     ผู้คนต่างพลิกตะแคงหามุมถ่ายเพื่อให้ได้ภาพที่ถูกใจที่สุด ระหว่างผมกำลังรอนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ถ่ายรูปอยู่ ผมหันไปสำรวจรอบๆ ก็พบว่ามีแฟลตสูงโทนสีน่ารักอื่นๆ ล้อมรอบอยู่ (ถึงแม้จะป๊อปไม่เท่าแฟลตสายรุ้งก็ตาม) ทันใดนั้นสายตาผมก็ไปสะดุดกับคุณลุงคนหนึ่งที่สวมเสื้อโปโลสีชมพู กางเกงสามส่วนสีขาว เข็มขัดสีดำ ถุงเท้ายาวเกือบถึงเข่า รองเท้าหนังสีน้ำตาล ในมือถือร่มสีน้ำเงินกรมท่า ที่กำลังวิ่งเหยาะๆ ไปรอบๆ ดาดฟ้าอาคารอยู่ โดยที่ไม่ได้มีใครสนใจ ราวกับคุณลุงและนักท่องเที่ยวอย่างพวกผมนั้นอยู่กันคนละโลก

     ในขณะที่สถานที่แห่งนี้คือความงดงามอันแปลกตาของผู้มาเยือน แต่ในมุมของคุณลุง ที่นี่อาจเป็นสถานที่แสนปกติธรรมดา หรือถึงขั้นน่าเบื่อ ที่คุณลุงอาศัยอยู่มาตลอดชีวิตก็เป็นได้

 

ฮ่องกง

 

07 | สถานีเล็กๆ ริมเขาในวันฝนปรอย

     พลันที่รถไฟใต้ดินของฮ่องกง (MTR) พาผมมาถึงสถานีเช็กคิพเมย (Shek Kip Mei) ผมพาตัวเองเดินตามทางออกมาเรื่อยๆ จากภายในสถานี จนกระทั่งโผล่หน้าออกมาที่ประตูทางออกสถานี ก็พบว่าที่นี่เป็นสถานีเล็กๆ ที่อยู่ติดกับถนนที่มีเส้นทางขึ้นเขาอันเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่าน และมองเห็นทิวเขาอยู่ไกลๆ เป็นฉากหลัง ผมกางร่มที่ซื้อจากร้านค้าริมทางขึ้นมากางฝ่าฝนปรอยๆ ไปตามทางเดินเรื่อยๆ ผู้คนต่างกางร่มก้มหน้าเดินสวนกันไปมา หลายวันที่ผ่านมา ผมใช้เวลาอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ พอได้มาเยือนสถานีเล็กๆ ใกล้เขาแห่งนี้แล้วก็รู้สึกสงบและผ่อนคลายไปอีกแบบ

 

ฮ่องกง

 

08 | ใบหน้าที่สวนกันไปมาท่ามกลางความวุ่นวายที่สี่แยก

     หลังจากพักอยู่ที่ย่านหว่านไจ๋ (Wan Chai) มาสามคืน ผมพาตัวเองย้ายมาที่พักแห่งใหม่ในย่านคอสเวย์ เบย์ (Causeway Bay) ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน และเป็นย่านที่มีจังหวะค่อนข้างคึกคัก เพราะมีห้าง ร้านค้า และร้านอาหารริมทางมากมาย โดยเฉพาะในช่วงเย็นที่ผู้คนต่างออกมาใช้เวลาที่ย่านนี้ ความโดดเด่นของถนนที่ฮ่องกงคือจะมีการตัดถนนเป็นเส้นไปมา ทำให้มีซอกซอยและหัวมุมถนนมากมาย รวมไปถึงทางข้ามถนนตั้งแต่เล็กๆ ไปจนถึงสี่แยกใหญ่ๆ

     ความสนุกคือพอสัญญาณคนข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีเขียว ฝูงชนจากทุกฟากฝั่งก็จะเดินไขว้สลับกัน ผมมักชอบใช้ช่วงเวลาสั้นๆ นี้ในการสังเกตใบหน้าท่าทางของผู้คนที่เดินสวนไหล่ไป และลองจินตนาการถึงเรื่องราวชีวิตของเขา

 

ฮ่องกง

 

09 | หลงทางตามความตั้งใจ

     เสน่ห์ของถนนในฮ่องกงคือการคาดเดาอะไรไม่ได้ เพราะตรอกซอยซอยช่างเยอะแยะไปหมด และทุกเลี้ยวจะนำพาเราไปสู่จุดหมายใหม่ๆ ที่ไม่ได้คาดไว้เสมอ

     วันที่ผมเดินเล่นอยู่ย่านเชิงหว่าน (Sheung Wan) ผมมีแพลนที่จะไปเยือนสถานที่บางแห่งไว้แล้ว แต่ระหว่างที่เดินไปเรื่อยๆ โดยที่ยังไม่ถึงจุดหมาย ซอกซอยเล็กๆ ที่ได้พบกลับดึงดูดให้ผมแวะเข้าไปเยี่ยมเยือน คาเฟ่ ร้านค้าเล็กๆ ร้านอาหาร อาคาร ที่ไม่ได้อยู่ในแพลนต่างเวียนเข้ามาทักทาย ผมเดินทะลุซอยนั้นออกซอยนี้อย่างไร้จุดหมาย (เพราะเดินมาไกลจากจุดหมายเดิมจนไม่รู้แล้วว่าจะกลับไปยังไง)

     จนกระทั่งมาถึงสวนสาธารณะขนาดเล็กในเมืองที่เรียกว่า Blake Garden เป็นสวนเล็กๆ อันเงียบสงบ ส่วนข้างๆ ที่ติดกันเป็นสนามฟุตบอลและสนามวิ่งเล็กๆ 5 สนามที่มีฉากหลังเป็นตึกสูง มันเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามและผมไม่เคยพบมาก่อน ภายในสนามนั้นมีบางคนมาวิ่งออกกำลังกาย และมีเด็กนักเรียนจับกลุ่มเล่นกัน (คาดว่าใกล้ๆ นั้นน่าจะมีโรงเรียนอยู่) ผมมองภาพเด็กๆ ฮ่องกงเหล่านั้น พร้อมรอยยิ้ม และพลันนึกย้อนถึงภาพตัวเองในวัยเด็ก ก่อนที่จะมีความคิดหนึ่งเข้ามากระซิบข้างหูว่า ‘เราเดินมาไกลเหลือเกินจากวันวัยนั้น’

 

ฮ่องกง

 

10 | เด็กหนุ่ม ลูกบอล และความฝัน

     เช้าวันสุดท้ายของการเดินทาง ผมแวะมาเดินเล่นที่วิคตอเรียปาร์ก (Victoria Park) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก บนพื้นถนนยังทิ้งร่องร่อยของสายฝนที่เพิ่งขาดเม็ดไปชั่วโมงก่อนหน้าอย่างชุ่มโชก ฟ้าครึ้มเป็นสีเทา มีลมเย็นๆ พัดโบกโบย

     สวนสาธารณะแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางและเขียวชอุ่ม สมกับที่เป็นปอดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของฮ่องกง ผมเดินผ่านสนามอันกว้างใหญ่ในสวน มีเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเลี้ยงลูกบอลเล่นอยู่ตรงนั้น เงาของเขาสะท้อนพื้นผิวที่ชุ่มด้วยน้ำฝน ผมเดินเข้าไปทักทาย และมีบทสนทนาสั้นๆ กับเขา นาธานเป็นเด็กเวียดนามที่ไปโตอเมริกา และมีความจำเป็นที่ต้องมาฮ่องกงเนื่องด้วยธุรกิจของพ่อ เขาเล่าว่าทุกครั้งที่มา เขาจะมาเล่นฟุตบอลที่สวนสาธารณะแห่งนี้คนเดียวเสมอ ‘ผมอยากเป็นนักฟุตบอล แต่คุณไม่มีทางรู้อนาคตหรอก’ คือสิ่งที่เขากล่าวกับผมในตอนหนึ่งก่อนที่เราจะแยกกัน เขากลับไปตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงลูกบอลต่อ ส่วนผมเดินห่างจากเขามาเรื่อยๆ แต่สายตายังคงจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มกับลูกบอลที่มีฉากหลังเป็นตึกสูงใหญ่ล้อมรอบอยู่ไกลๆ

     บทสนทนายังคงเวียนวนอยู่ในหัว อีกไม่กี่ชั่วโมง ฉากทั้งหมดจะแปรเปลี่ยนกลับไปสู่วงจรที่ผมคุ้นเคย และชีวิตผมก็จะต้องดำเนินต่อไป