japan

ไมเคิลและกันต์: การเดินทางไร้แผนในโตเกียวไปจนถึงฮอกไกโด ที่ปลายทางคือการเติบโตของเรา

“พวกเราเจอกันครั้งแรกในกองถ่ายซีรีส์ ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ตอนนั้นเรายังเรียกเขาว่าพี่ไมเคิลอยู่เลย แต่พอได้มาทำรายการ Hang Over Thailand ด้วยกัน ต้องใช้ชีวิตด้วยกันมากขึ้น แล้วยิ่งได้มาจัดรายการที่คลื่น Cat Radio ช่วงเดียวกันอีก เลยทำให้กำแพงที่กั้นความสัมพันธ์ไว้พังทลายไปเลย จำได้ว่าช่วงนั้นผมเจอหน้าเขาติดกันเกือบครึ่งปี เจอบ่อยกว่าครอบครัวอีก จนตอนนี้ผมเรียกเขาว่า ‘ไมเคิล’ ไม่มีพี่อีกต่อไปแล้ว (หัวเราะ)” – กันต์ ชุณหวัตร

        มิตรภาพระหว่างสองหนุ่ม ‘ไมเคิล’ – ศิรชัช เจียรถาวร และ ‘กันต์’ – กันต์ ชุณหวัตร เป็นที่ทราบกันว่าพวกเขากลายเป็นเพื่อนซี้ตั้งแต่เริ่มเล่นซีรีส์ Hormones วัยว้าวุ่น ด้วยกัน ก่อนที่จะแน่นแฟ้นขึ้นไปอีกเมื่อทั้งคู่เก็บกระเป๋าและออกเดินทางแบบไร้แผนในประเทศญี่ปุ่นร่วมกัน จนตกผลึกออกมาเป็นหนังสือ Tokyo Unscripted บันทึกประสบการณ์ท่องเที่ยวในครั้งนั้น และกันต์เองก็มีหนังสือตามมาอีกสองเล่ม นั่นคือ ฉันออกเดินทางในวันที่ไม่มีแดด และ ฮอกไกโดสีขาว ที่บันทึกเรื่องราวการเดินทางเดี่ยวของเขาในประเทศญี่ปุ่น ช่วยสะท้อนมุมมองและแนวคิดส่วนตัวที่ตกผลึกจากการเดินทาง แล้วนำมาบอกเล่าผ่านหนังสือทั้งสองเล่มนี้

        โดยวันนี้ทั้งคู่จะมาบอกเล่าถึงเรื่องราวผ่านภาพถ่ายระหว่างทริปไร้แผนที่สอนให้เข้าใจถึงตัวตน ซึ่งหล่อหลอมให้กลายเป็นพวกเขาในทุกวันนี้

 

ไมเคิลและกันต์

All White – ฮอกไกโดสีขาว 

        กันต์: ภาพบรรยากาศในเมืองอาซาฮิคาวะที่ถ่ายจากหน้าต่างห้องพัก ซึ่งเราอัศจรรย์มากที่ทุกอย่างขาวโพลนแบบนี้ เพราะคืนก่อนหน้ายังไม่มีหิมะตกในเมืองเลย พอตื่นขึ้นมาแล้วเจอแบบนี้ก็ขอเก็บภาพเอาไว้หน่อย ความพิเศษอีกอย่างคือแสงในภาพนี้ที่มีแดดจ้าท่ามกลางหิมะตก มันเลยดูสวยงามมาก

 

ไมเคิลและกันต์

Salaryman – Tokyo Unscripted

        กันต์: ตอนนั้นเรากับไมเคิลอยากไปพิพิธภัณฑ์ภาพถ่ายแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก ด้วยความที่พวกเราเป็นคนชอบถ่ายภาพก็เลยพลาดไม่ได้ เลยจัดตารางให้วันนี้ตั้งใจเดินทางมาที่นี่โดยเฉพาะเลย แต่พอเดินมาถึงตัวอาคารจริงๆ พวกเรากลับเจอตึกเก่าๆ กำลังซ่อมแซมอยู่ จนได้คำตอบจากคนแถวนั้นว่าพิพิธภัณฑ์ปิดปรับปรุงสองปี

        ไมเคิล: พวกเราก็เหวอเลย เพราะตารางทุกอย่างพังทลายหมด ตอนนั้นก็เดินคอตกกันมาเรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะไปไหนต่อ จนเจอชายในชุดทำงานสองคนนี้กำลังเดินสวนพวกเรามา ซึ่งพวกเขาดูมีความสุขดี ก็เลยคิดได้ว่า เฮ้ย ขนาดเขามีภาระหน้าที่ให้รับผิดชอบ มีงานให้ต้องทำงาน ยังมีความสุขกันขนาดนี้เลย เราเองที่เป็นนักท่องเที่ยวก็ควรมีความสุขเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ก็เลยตัดสินใจเก็บภาพนี้ไว้เตือนใจตัวเอง

ไมเคิลและกันต์

Loneliness – ฉันออกเดินทางในวันที่ไม่มีแดด

         กันต์: ภาพนี้ถ่ายวันแรกที่เราไปถึงเลย ตอนนั้นอยู่ที่ฟุกุโอกะ แต่พอเราเดินเที่ยวเมืองไปเรื่อยๆ ก็เกิดคำถามในใจว่า ทำไมฟุกุโอกะที่เป็นหัวเมืองของคิวชูกลับไม่คึกคักเหมือนโอซาก้าเลย ทุกอย่างดูเงียบเหงาไปหมด ยิ่งไปคนเดียวจะยิ่งรู้สึกเหงาเป็นพิเศษ ตอนนั้นเราก็เดินมาเรื่อยๆ จนลงมาสถานีรถไฟ เห็นผู้หญิงสองคนกำลังเดินสวนกัน ซึ่งทั้งพวกเขารวมถึงเรา ก็มาคนเดียวเหมือนกัน มันเลยมีความรู้สึกเหงาที่ใช้ร่วมกันอยู่แปลกๆ ก็เลยขอบันทึกความทรงจำแบบนี้เอาไว้  

 

ไมเคิลและกันต์

Digital Grain –  Tokyo Unscripted

        ไมเคิล: ต้องบอกก่อนว่าภาพนี้เป็นภาพดิจิตอลที่เอามาแต่งให้เหมือนฟิล์ม ที่ต้องทำแบบนี้เพราะด้วยความที่เราเป็นมือใหม่แต่อยากได้ภาพฟิล์ม แต่ก็กลัวใช้กล้องฟิล์มแล้วถ่ายพลาด ก็เลยต้องทำแบบนี้ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า (หัวเราะ)

        กันต์: แต่ตัวเราจะชอบใช้กล้องฟิล์มมากกว่า เราเป็นคนแต่งภาพไม่เป็น แต่งแบบไม่รู้จบสิ้น ไม่รู้ว่าแบบไหนคือเสร็จแล้ว ก็เลยใช้กล้องฟิล์มดีกว่า มันจบในการกดชัตเตอร์ครั้งเดียว ไม่ต้องหามุมถ่ายบ่อยๆ เพราะเสียดายฟิล์ม เวลาไปเที่ยวที่ไหนเราก็แค่ถ่ายไว้ภาพหนึ่งที่เหลือก็ใช้ตามองเอา มันมีความสุขกับใจมากกว่า

        ไมเคิล: แล้วพวกเราจะไม่เล่าเรื่องราวในภาพกันหน่อยเหรอ (หัวเราะ) 

 

ไมเคิลและกันต์

Cool with Umbrella Crowd – ฉันออกเดินทางในวันที่ไม่มีแดด

        กันต์: ตรงนี้คือศาลเจ้าดาไซฟุ ที่ฟุกุโอกะ ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการขอพรเกี่ยวกับการเรียน ทำให้ตรงนี้จะมีเด็กนักเรียนอยู่ตลอดเวลา วันนั้นเป็นวันที่ฝนตก (อีกแล้ว) เราก็นั่งรอให้ฝนหยุดก่อนจะเดินทางต่อ ระหว่างรอก็เห็นเด็กๆ ผลัดกันมาไหว้ศาลเจ้าเป็นระยะ ก็เลยเกิดคำถามในใจ คนในประเทศเขายังมาเที่ยวกันคึกคัก มากันเป็นกลุ่มขนาดนี้ ทำไมเราถึงตัดสินใจมาคนเดียวแบบนี้ จนตอนนี้ก็ยังตอบคำถามให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

 

gunn junhavat

ย้อนมองภาพสะท้อนตัวตนของเรา 

        กันต์: รูปภาพมันสอนให้คนได้เรียนรู้นะ โดยเฉพาะภาพถ่ายจากการเดินทางมันเตือนใจเราได้ดีเลยว่า คนเราวิ่งหนีปัญหาไม่ได้หรอก ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปสถานที่ไกลแสนไกลขนาดไหน สุดท้ายปัญหาก็ยังเกาะติดอยู่ในใจเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือเรามีมุมมองที่เปลี่ยนไป เราเห็นผู้คนที่หลากหลาย เห็นปัญหาที่รอบด้าน เราได้เรียนรู้ว่าโลกมันช่างกว้างใหญ่กว่าปัญหาอันน้อยนิดของเราอยู่มาก มันช่วยให้เราเข้าใจว่าปัญหาไม่ได้มีเอาไว้ให้เรารู้สึกจมปลักกับมัน แต่มันมีไว้ให้เราลุกขึ้นมาแก้ไขและพัฒนาตัวเองเป็นคนที่ดีกว่าเดิมในเมื่อวาน

        วันหนึ่งที่เราแก้ปัญหาได้แล้ว เรากลับไปมองตัวเองในภาพ ก็ยังตลกอยู่เลยว่าไอ้คนในภาพมันจะเครียดกับปัญหาแค่นี้อะไรขนาดนั้น ทำไมไม่ลุกขึ้นมาแก้ไขตั้งแต่แรกให้มันจบๆ ไป (หัวเราะ) 

 

michael sirachuch

 

        ไมเคิล: เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นเลย อายุเป็นเพียงตัวเลขจริงๆ เวลาเรามองย้อนกลับมาที่ภาพถ่ายสมัยก่อน ก็ยังรู้สึกว่าทุกวันนี้เราก็ยังมีตัวตนของเด็กในภาพอยู่ข้างในตัวอยู่ มีบางอย่างที่มันยังไม่เปลี่ยนแปลง หรือบางอย่างในตัวก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งมันสอนให้เราเข้าใจชีวิตจริงๆ นะ ทุกวันนี้เลยเป็นคนไม่ยึดติดว่าฉันต้องเป็นคนแบบนี้ แบบนั้น เดี๋ยวสักพักก็เปลี่ยนไป แล้วเราก็จะเป็นตัวตนเก่าที่ถูกเก็บเอาไว้ในภาพถ่ายพวกนั้นแทน

 


ภาพถ่ายโดย: ศิรชัช เจียรถาวร, กันต์ ชุณหวัตร