nespresso

ตามกลิ่นหอมของ Nespresso ไปดูประวัติศาสตร์จาก 3 ประเทศสุดเถื่อนที่ปลูกกาแฟชั้นยอดของโลก

ยูกันดา

        ประเทศเล็กๆ แห่งหนึ่งในทวีปแอฟริกา มีทิวเขารูเวนโซรี (Ruwenzori Range) ตั้งชื่อตามภาษาถิ่นแอฟริกา แปลว่า ‘ผู้บันดาลฝน’ ตั้งอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรขึ้นมาเพียง 48 กิโลเมตร แต่บนยอดเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 4,877-5,100 เมตร ถึง 9 ลูกนั้น กลับมีหิมะตกตลอดทั้งปี และยังปกคลุมไปด้วยธารน้ำแข็ง ทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีฝนตกชุก เป็นแหล่งกักเก็บน้ำที่สำคัญ พืชพรรณตามธรรมชาติก็อุดมสมบูรณ์ ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับทำไร่กาแฟ

        ชาว Gisu ชนเผ่าพื้นเมืองของยูกันดา ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามเทือกเขา Elgon ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในแอฟริกา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศ เป็นพรมแดนระหว่างยูกันดากับเคนยา พวกเขาได้ปลูกกาแฟสายพันธุ์อาราบิกากันมานานกว่า 100 ปี แต่ก็เป็นส่วนน้อย เพราะส่วนมากปลูกสายพันธุ์โรบัสตา เพื่อนำไปทำเป็นกาแฟผงสำเร็จรูป

 

nespresso

 

        แต่เพราะความขัดแย้งทางการเมืองอันดุเดือดที่กินเวลายาวนาน เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1971-1979 ภายใต้การปกครองของผู้นำเผด็จการอย่าง อีดี อามิน (Idi Amin) ที่มีนโยบายในการสังหารผู้คนไม่ต่ำกว่า 80,000 คน ตลอดการปกครองของเขา และนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ส่งผลต่อคุณภาพของผลผลิต ปริมาณการปลูก และคุณภาพชีวิตของผู้ปลูกกาแฟมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่เมล็ดกาแฟของยูกันดาดั้งเดิมนั้นจะออกรสเปรี้ยวน้อย บอดี้เข้ม กลิ่นหอมแบบดอกไม้

 

nespresso

โจเซฟ คิริบวา (Joseph Kirimbwa) ชาวไร่กาแฟในยูกันดา

        “ผมเลือกปลูกกาแฟ เพราะมันเป็นสิ่งที่ยั่งยืนที่จะช่วยลูกๆ ของผมได้ในอนาคต”

        หลังจากที่สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ และสงครามยูกันดา-แทนซาเนียได้สิ้นสุดลง ทุกอย่างค่อยๆ คลี่คลาย ปลดแอกความอึดอัดและความยากจน ราวปี 1979 กาแฟยูกันดาก็ได้กลับมาฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง

        แต่ทว่าปัญหาที่เรื้อรังและกินเวลานานเกินไป ยังคงส่งผลต่อผลผลิตโดยตรง จนกระทั่งภาคเอกชนอย่าง Nespresso ได้ยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวไร่กาแฟท้องถิ่นกว่า 2,000 คน ผ่านโครงการ Reviving Origins โดยร่วมมือกับ Agri Evolve ซึ่งเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจการเกษตรในประเทศยูกันดา โดยจัดการฝึกอบรมและให้ความรู้ทางเทคนิค เพื่อให้พวกเขาเรียนรู้การทำเกษตรแบบยั่งยืน สามารถเพิ่มผลผลิต และพัฒนาคุณภาพของกาแฟต่อไปได้ในระยะยาว

        โจเซฟ คิริบวา หนึ่งในเกษตรกรชาวยูกันดาได้บอกว่า

        “ครอบครัวของผมทำไร่กาแฟกันมานาน แต่ก็ประสบปัญหาหลายอย่าง แต่ตอนนี้ผมจัดการการปลูกกาแฟได้ดีกว่ารุ่นพ่อ แถมยังเปลี่ยนวิธีการเก็บผลเชอรีกาแฟจากที่เคยทำมาตลอด โดยเน้นเลือกเก็บผลเชอรีกาแฟที่แดงสุก เพราะจะทำให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพดี รายได้ก็ดีตาม หมดห่วงเรื่องการดูแลครอบครัว และถึงแม้ว่าหนทางการปลูกกาแฟนั้นยังอีกยาวไกล ผมก็จะพยายามต่อไป เมื่อได้ยินว่าผู้คนทั่วโลกรอดื่มกาแฟที่ผมปลูก นี่คงเป็นแรงผลักดันให้ผมปลูกกาแฟที่ดีต่อไป”

 

nespresso

AMAHA awe UGANDA

           ประโยคนี้มาจากภาษาท้องถิ่น หมายถึง ความหวังของยูกันดา

           รสชาติของความหวังนี้เกิดขึ้นและพัฒนาโดย Nespresso ที่อาศัยการพลิกฟื้นผืนดินท้องถิ่น การปลูกต้นกล้วยท้องถิ่น แล้วปลูกกาแฟอาราบิกาของยูกันดาไว้ที่ใต้ต้นกล้วย คอยเป็นร่มเงาและให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ต้นกาแฟ ก่อนจะได้เมล็ดกาแฟที่มีกลิ่นไม้จันทน์อันหอมหวนละมุนละไม กลายเป็นเอสเพรสโซเข้มระดับ 8 ที่มีความลงตัวระหว่างบอดี้แน่นๆ และกลิ่นดอกไม้หอมๆ ที่ปลายสัมผัส

nespresso

โคลอมเบีย

        เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของอเมริกาใต้ ผู้คนส่วนใหญ่รับรู้เพียงแค่ภาพลักษณ์ด้านลบของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสงครามกลางเมืองในโคลอมเบียที่ยืดเยื้อกินเวลานาน ความขัดแย้งเรื่องยาเสพติด ชื่อเสียงของ ปาโบล เอสโคบาร์ ราชายาเสพติดผู้ใจบุญ และการคอรัปชันที่ขึ้นชื่อ

        แต่ความจริงแล้ว อีกด้านหนึ่งของโคลอมเบีย กลับเป็นประเทศที่รุ่มรวยศิลปวัฒนธรรม มีธรรมชาติที่งดงามอลังการ เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยียน และยังเป็นประเทศเดียวในอเมริกาใต้ที่มีชายฝั่งติดทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ และทะเลคาริบเบียน ที่สำคัญ ที่นี่ยังมีหุบเขาที่ใช้ปลูกกาแฟโดยเฉพาะ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตร้อน ฝนตกชุก แสงแดดพอเหมาะ ด้วยสภาพอากาศเอื้ออำนวย ดินอุดมสมบูรณ์ และด้วยความสมบูรณ์แบบของธรรมชาติแบบนี้ กาแฟโคลอมเบียจึงโดดเด่นทางด้านรสชาติที่ออกรสหวาน ดื่มง่าย ทั้งยังมีกาเฟอีนน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสายพันธุ์โรบัสตา

 

nespresso

 

        กาแฟโคลอมเบียเลิศรส ถึงขนาดมีคำกล่าวว่าที่ว่า

        “โคลอมเบียได้รับพรจากพระเจ้า นั่นก็คือความหลากหลายทางชีวภาพหรือระบบนิเวศที่น่าทึ่ง และถ้ามีสิ่งใดที่เรียกว่า ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เห็นจะเป็นสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศที่เหมาะสำหรับปลูกกาแฟที่ดีที่สุดของโลก”

        อย่างที่คาควอตา (Caquetá) เดิมทีที่นี่เป็นแหล่งปลูกกาแฟแหล่งใหญ่ของโคลอมเบีย และก็ยังเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังปฏิวัติแห่งโคลอมเบีย (FARC) ซึ่งตั้งอยู่ในป่าลึกไร้ผู้คนอาศัย อันเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งและการต่อสู้ที่กินเวลามากว่า 50 ปี ทำให้คาควอตาและเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เนื่องจาก FARC มีข้อกำหนดและข้อบังคับมากมาย สุดท้ายเกษตรกรจึงยอมต้องละทิ้งไร่กาแฟ และหันไปเพาะปลูกอย่างอื่นอย่างจำใจ

        ต่อมา Nespresso ได้ร่วมมือกับชาวไร่ท้องถิ่น และ Colombian National Coffee Growers Federation (FNC) ในการสนับสนุนและฟื้นฟูอุตสาหกรรมกาแฟในประเทศโคลอมเบียขึ้นมาใหม่ผ่านโครงการ Nespresso AAA Sustainable Quality™ Program จึงทำให้ชาวไร่ท้องถิ่นเริ่มกลับมาอีกครั้ง 

 

nespresso

ดอน เฟอร์มานโด (Don Fernando) ชาวไร่กาแฟในโคลอมเบีย

        “เมล็ดกาแฟที่ผมปลูก กำลังกลายมาเป็นกาแฟที่น่าหลงใหลในหมู่คนทั่วโลก”

        แต่สำหรับ ดอน เฟอร์นันโด เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจจะกลับมาปลูกกาแฟอีกครั้ง จนกระทั่งเกิดข้อตกลงสันติภาพในปี 2016 มีการอนุญาตให้การทำไร่กาแฟ ดอนจึงลงนามทำข้อตกลงนั้นทันที และเริ่มต้นการฟื้นฟูไร่กาแฟของเขาอย่างช้าๆ

        “ตอนนี้ข้อตกลงสันติภาพได้รับการลงนาม ผมและครอบครัวรู้สึกปลอดภัย สามารถเดินทางได้อย่างอิสระ สามารถทำงานในที่ดินของตัวเองได้อย่างไม่ต้องกังวล เราเลี้ยงดูครอบครัวได้โดยไม่ต้องกลัว ชีวิตของเราดีขึ้นมาก และเราพร้อมที่จะเติบโตไปพร้อมๆ กับการปลูกกาแฟที่ดีที่สุด

        “ผมเกิดมาเพื่อเป็นผู้ปลูกกาแฟ สิ่งนี้ไม่ได้เป็นแค่อาชีพเลี้ยงครอบครัว แต่มันคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผม เพราะไร่กาแฟทั้งหมด ผมได้รับเป็นมรดกต่อมาจากพ่อแม่ ผู้สอนประสบการณ์ชีวิตผ่านการปลูกกาแฟให้ผมเช่นกัน”

         ไร่กาแฟของดอนมีขนาดพื้นที่เพียง 6 เอเคอร์ แต่กลับเต็มไปด้วยต้นกาแฟกว่า 12,000 ต้น ที่ปลูกอยู่ท่ามกลางป่าฝนที่สูงตระหง่าน กลายเป็นสิ่งที่ทำให้กาแฟของดอนมีจุดเด่น

        “กาแฟที่มาจากคาควอตา ซึ่งเป็นประตูสู่ป่าแอมะซอน คือความลงตัวที่สมบูรณ์แบบ เพราะไม่มีที่ไหนที่ปลูกกาแฟได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ที่ประกอบไปด้วยผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ สิ่งแวดล้อมที่สมดุล ดินดี ธรรมชาติอันงดงาม อากาศที่ไร้ที่ติ ผมเชื่อว่า เมื่อคุณดื่มกาแฟของเรา ก็เหมือนกับคุณอยู่กับเราที่นี่เช่นกัน”

        นอกจากลงนามข้อตกลงสันติภาพแล้ว ดอนยังเข้าโครงการ Nespresso AAA ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้การผลิตกาแฟที่ดีที่สุดออกสู่ท้องตลาด กาแฟทำให้เขาเกิดความหลงใหลในการปลูกกาแฟมากกว่าที่เคยรู้สึก และอยากจะส่งต่อความรู้นี้ให้กับลูกหลานของเขาต่อไป

 

nespresso

ESPERANZA de COLOMBIA   

        ประโยคนี้เกิดขึ้นจากผลลัพธ์ของสานสัมพันธ์ ที่เกิดจากความขัดแย้งภายใน

        กลายเป็นกาแฟที่ให้รสชาติเปรี้ยวกำลังดี รู้สึกสดชื่นจากความหอมผลเชอรีกาแฟ พร้อมกลิ่นซีเรียลที่ปลายสัมผัส โดยให้ความเข้มระดับ 5 ที่ดื่มได้สบายๆ ในยามเช้า เพื่อเรียกภาพบรรยากาศไร่กาแฟที่อยู่ท่ามกลางผืนป่าใหญ่ที่สวยงามอย่างที่ ดอน เฟอร์นันโด ได้ชี้ชวนเอาไว้ข้างต้น

nespresso

ซิมบับเว

        ประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีวันเจอกับทะเล ตั้งอยู่ในแอฟริกาตอนใต้ ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่จมอยู่กับความขัดแย้งภายในที่เรื้อรังเช่นเดียวกับโคลอมเบีย แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังเป็นแหล่งปลูกกาแฟอาราบิกาชั้นนำของโลกเช่นกัน โดยเฉพาะที่ Eastern Highlands พื้นที่ที่หมาะสำหรับปลูกกาแฟอาราบิกา เพราะมีปริมาณน้ำฝนที่มากเพียงพอ ดินที่นี่จึงอุดมสมบูรณ์ แถมยังมีอุณหภูมิเย็นจัด และตั้งอยู่บนความสูงเกือบ 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตรงกันข้าม ผู้ปลูกกาแฟของที่นี่ต้องเจอกับความท้าทายทางธรรมชาติที่มาพร้อมกับฤดูแล้ง พายุไซโคลน รวมทั้งการระบาดของศัตรูพืช ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการทักษะด้านเทคนิคในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

        ปัญหาความขัดแย้งบวกกับภัยธรรมชาติ ทำให้ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ปริมาณของผลผลิตกาแฟลดน้อยลงเป็นอย่างมาก จากเดิมมีผลผลิตกาแฟในช่วงปี 1977 มากถึง 15,000 ตัน แต่กลับเหลือเพียง 500 ตัน ในปี 2017

 

nespresso

 

        และเมื่อเป็นเช่นนี้ ทาง Nespresso จึงได้เข้าไปให้การช่วยเหลือเกษตรผู้ปลูกกาแฟ โดยเฉพาะที่ Honde Valley ในเขต Mutasa ของประเทศซิมบับเว ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟมากกว่า 300 ราย เพื่อฝึกฝนเกษตรกรให้มีทักษะในการทำการเกษตรแบบยั่งยืน และสรรค์สร้างกาแฟบางสายพันธ์ให้มีคุณภาพสูงสุด เช่น ช่อดอกของเมล็ดกาแฟอาราบิกาที่มีกลิ่นหอมของผลไม้นานาชนิดคละเคล้ากับรสเปรี้ยวละมุนลิ้นที่ให้ความซาบซ่านยามได้สัมผัส เพื่อให้กาแฟซิมบับเวได้กลับคืนสู่สังเวียนกาแฟโลกอีกครั้ง

 

nespresso

เจสก้า (Jesca Kangai ) ชาวไร่กาแฟในซิมบับเว

        “Nespresso สอนให้พวกเรารู้จักวิธีการผลิตกาแฟที่ดีที่สุด นั่นทำให้พวกเราได้กาแฟที่มีคุณภาพสูงสุด”

        เจสก้าคือหญิงสาวชาวไร่ผู้ที่ได้รับรางวัลจากหมู่บ้าน Pangeti ในปี 2015 เธอได้เลือกให้เป็นผู้ปลูกกาแฟที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองในเขต Mutasa และอันดับที่ห้าในจังหวัด Manicaland

        “คุณภาพกาแฟของฉันดีขึ้น ผลผลิตก็มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่โครงการ Reviving Origins มาถึงซิมบับเว” เธอเล่าว่า โครงการนี้ได้สอนเทคนิคการตัดแต่งกิ่งของต้นกาแฟ การเลือกเมล็ด การทำความสะอาดเมล็ด วิธีการแช่เมล็ดกาแฟดิบอย่างถูกต้อง การคัดเกรด วิธีการระบุ และจัดเรียงผลเชอรีสุก เพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด”

        เธอเผยเคล็ดลับที่เพิ่งรู้ให้ฟังว่า “เรื่องง่ายๆ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับการคัดแยกเมล็ดกาแฟก็คือ วิธีทดสอบคุณภาพของเมล็ดกาแฟ ด้วยการแช่เมล็ดกาแฟลงไปในน้ำ เมล็ดที่ดีจะจม เมล็ดที่ไม่แข็งแรงจะลอยน้ำ”

        ปัจจุบันชีวิตความเป็นอยู่ของเจสก้าดีขึ้นมาก สามารถส่งลูกห้าคนไปโรงเรียนได้อย่างสบายๆ แถมยังซื้อวัวและแพะเพิ่ม เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางการหารายได้ให้กับครอบครัว พร้อมมีแผนขยายที่อยู่อาศัยและปรับปรุงระบบชลประทานในฟาร์มของเธออีกด้วย

TAMUKA mu Zimbabwe

        ผลลัพธ์ที่นำกลับมาจากผลผลิตที่หายไปสืบเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ เกิดเป็นกาแฟ TAMUKA mu ZIMBABWE ความเข้มข้นระดับ 5 ที่ให้รสชาติซับซ้อน มีความหอมของฟรุตตี้ที่ได้จากผลเชอรีกาแฟ อบอวลไปด้วยกลิ่นสัมผัสคล้ายกับเบอรี ดื่มแต่ละคำสัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนลงตัว

nespressoReviving Origins

        รีไววิง ออริจินส์ คือโครงการพลิกฟื้น 3 ประเทศ อย่างซิมบับเว โคลอมเบีย และยูกันดา ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 2019 โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมที่เพาะปลูกกาแฟ และพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆ อย่างที่ทาง ปรีติ ฮาลัย ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ Nespresso ประเทศไทยได้กล่าวว่า

        “สำหรับโครงการ Reviving Origins เราได้เข้าไปช่วยเหลือชาวไร่กาแฟในพื้นที่ที่ประสบปัญหาและเผชิญกับความยากลำบากในการปลูกกาแฟ อีกทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเกษตรกรรมแบบยั่งยืน เพราะเราเชื่อว่ากาแฟแต่ละแก้วของ Nespresso ไม่เพียงแต่จะช่วยเติมเต็มวันของคุณเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของชาวไร่กาแฟได้อีกทาง”

        รีไววิง ออริจินส์ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพื่อความยั่งยืน หรือ Nespresso AAA Sustainable Quality™ Program ที่ Nespresso ได้ทำงานร่วมกับชาวไร่กาแฟ เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาสามารถเพาะปลูกกาแฟที่มีคุณภาพได้ตลอดทั้งปี ส่งผลให้เกิดการพัฒนาสภาพสังคม สิ่งแวดล้อม และสภาพเศรษฐกิจสำหรับชาวไร่กาแฟและชุมชนการเกษตร

 


ที่มา: www.nationalgeographic.com, www.nespresso.com