สายลมที่พัดแรงในเดือนมีนาคม หอบเอาไอหนาวราว 4-9 องศาเซลเซียส มาด้วย ทำเอาหญิงสาวใส่แว่นร่างเล็กอย่าง ‘โบว์’- พิชชาภา พลนิกรกิจ ช่างภาพฝึกหัด adB JUNIOR ถึงกับต้องกระชับเสื้อโค้ตโอเวอร์ไซซ์ พร้อมขยับแว่นที่ตกลงมาบนปลายจมูกให้กลับไปสู่ตำแหน่งเดิมเพื่อปรับโฟกัสสายตาให้ชัดเจนขึ้น และเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เกาะอังกฤษที่เธอเคยจินตนาการเอาไว้ก็แจ่มชัดขึ้นตรงหน้า เธอยกกล้องตัวโปรดขึ้นแนบสายตา กดชัตเตอร์บันทึกภาพเกาะอังกฤษไว้ด้วยมุมมองที่เธออยากจะนำกลับมาเล่าให้เราได้ฟัง
Liverpool City
The Royal Albert Dock Liverpool
จุดแรกที่ต้องมาก็คือ Albert Dock หรือท่าเรืออัลเบิร์ต ที่นี่เป็นมรดกโลกด้านสถาปัตยกรรมที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจมากมาย โบว์เล่าให้ฟังว่า เธอชอบที่นี่ตั้งแต่แรกพบ เพียงเพราะเจอม้าหมุนอย่างในนิทาน ตั้งแต่หน้าทางเข้าท่าเรือ และพอเดินต่อมาอีกหน่อย ก็เจอเข้ากับอาคารอิฐสีแดง จากที่ฟังไกด์เล่าให้ฟัง ที่นี่เป็นอาคารที่มีโครงสร้างทำจากเหล็กหล่ออิฐและหิน โดยไม่ใช้โครงสร้างไม้เลย ออกแบบโดย Jesse Hartley และ Philip Hardwick และเปิดทำการเมื่อปี ค.ศ. 1846
สมัยนั้นเขาสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นท่าเรือและโกดังขนถ่ายสินค้า ซึ่งนับว่าเป็นระบบคลังสินค้าริมแม่น้ำ ที่ลดการเกิดอัคคีภัยขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ที่นี่ได้กลายมาเป็นคลังสินค้าขนาดใหญ่ อัดแน่นไปด้วยสินค้าที่มีค่ามากมาย อาทิ บรั่นดี ฝ้าย ชา ผ้าไหม ยาสูบ งาช้างและน้ำตาล ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ท่าเรืออัลเบิร์ตก็ยังได้รับคัดเลือกจากกองทัพเรือ ให้เป็นฐานสำหรับเรือเดินสมุทรแอตแลนติกของอังกฤษ
ในปี ค.ศ. 1941 ที่นี่ถูกโจมตีทางอากาศในปฏิบัติการสายฟ้าแลบ และแน่นอนว่าย่อมเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำให้ท่าเรือแห่งนี้ค่อยๆ เสื่อมโทรมลง จนราวปี ค.ศ. 1972 ก็ได้ปิดตัวลงในที่สุด พร้อมปล่อยให้ทิ้งร้างอยู่อย่างนั้นเกือบสิบปี จนกระทั่งปี ค.ศ. 1981 ได้มีการปรับปรุงเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว
จนท้ายที่สุดในปี ค.ศ. 1984 Albert Dock โฉมใหม่ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญประจำเมือง รวมทั้งเป็นพิกัดที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมมากที่สุดแห่งหนึ่งบนเกาะอังกฤษ
หากใครสนใจประวัติศาสตร์แบบเจาะลึกและจัดเต็ม ที่นี่ก็มีบริการไกด์นำเที่ยว คอยอธิบายและเล่าประวัติศาสตร์ให้ฟังอย่างเต็มอิ่ม ตลอด 90 นาที ในราคาเพียง 10 ปอนด์ต่อคน หรือประมาณคนละ 386 บาทเท่านั้น
Food Truck
นอกจากจะมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจแล้ว สิ่งที่เธอชอบอีกจุดก็คือบริเวณทางเดินเลาะริมแม่น้ำ เพราะสวยจนบรรยายไม่ถูก แถมยังมีฟู้ดทรักหน้าตาน่ารักหลายร้าน มาเปิดให้บริการ เช่น ร้านที่มีป้ายไฟคำว่า ‘DONUTS’ อันใหญ่ ทั้งคันประดับตกแต่งให้เป็นสีชมพู โดดเด่นด้วยโดนัทที่ทำสดใหม่ หอมเตะจมูก ในวันอากาศหนาวทำร้ายริมฝีปากและกระเพาะอาหาร โดนัทออริจินอลอุ่นๆ สักสองชิ้นช่วยชีวิตคุณได้ นอกจากนี้ยังมีขนมสายไหม ป๊อปคอร์น ลูกอม และวาฟเฟิลที่ทำขึ้นชิ้นต่อชิ้น
จากนั้นเมื่อเดินย้อนกลับขึ้นไปเพื่อออกจากท่าเรือ ก็ยังจะเจอกับฟู้ดทรักรูปร่างแปลกตาอีกมากมาย ทั้งร้านที่ดัดแปลงรถบัส 2 ชั้นทำเป็นร้านขายเบอร์เกอร์ต่างๆ ทั้งเนื้อวัว หมู ไก่ แฮมและเบคอน
หรือร้านที่นำรถตู้เล็กสีขาวรุ่น Commer N1 Vintage 1938 มาทำเป็นร้านขายไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟรสวานิลลา ขายในราคาโคนละ 2.50 ปอนด์ ตกโคนละเกือบร้อยบาท เธออธิบายรสชาติให้ฟังว่า “อร่อยกว่าที่คิด กลิ่นวานิลลาหอมๆ มาพร้อมกับเนื้อครีมนมนุ่มๆ ยิ่งกินพร้อมๆ กับวาฟเฟิลโคนอบกรอบ ยิ่งทำให้ความอร่อยเพิ่มขึ้น บวกกับกินไอศกรีมท่ามกลางความหนาวและสถานที่ที่สวยงามแบบนี้ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม”
การเดินทาง:
By Underground: จากสถานี Liverpool Lime Street นั่งรถไฟมาสถานี James Street Station แล้วเดินต่อ 5 นาที
By Bus: สาย C4, C5 and City Link ผ่านหน้า Albert Dock เลย หรือจะลงที่หน้า Liverpool ONE แล้วเดินมาก็ได้
Manchester City
Old Trafford – Manchester United
ถัดจากเมืองลิเวอร์พูล โบว์ก็ตัดสินใจตรงดิ่งมาที่เมืองแมนเชสเตอร์ เพราะตั้งใจจะมาชมความอลังการของสนาม Old Trafford สนามเหย้าของสโมสร Manchester United เธอเล่าให้เราฟังด้วยน้ำเสียงที่ยังคงตื่นเต้นว่า
“วันที่เราไปสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดตรงกับศึกแดงเดือดระหว่าง Manchester United กับ Liverpool ตอนนั้นเราไปถึงที่สนามประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง ผู้คนเริ่มคึกคัก แถมยังมีคนมาขายของสะสมของแฟนบอลอย่างธงและผ้าพันคอเอาไว้เป็นพร็อพเวลาเชียร์บอลด้านใน พอเข้ามาด้านในของสนามฟุตบอล เราเห็นความอลังการของสนามที่จุผู้เข้าชมได้ถึง 76,000 คน ซึ่งแน่นขนัดไปด้วยแฟนบอลของทั้งสองสโมสร”
“ที่นี่นอกจากจะเป็นสนามแข่งขัน ยังมีพิพิธภัณฑ์ประจำสนามไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวด้วย ราคาน่าจะประมาณ 19 ปอนด์ต่อคนหรือประมาณ 730 บาท จะได้บัตรคล้องคอ 1 เส้น ให้เข้าชมโดยมีเจ้าหน้าที่พาชมเป็นรอบๆ แต่หากมีแข่งอย่างวันนี้ก็จะไม่มีทัวร์สนาม ซึ่งน่าเสียดายมาก แต่ก็ยังมีร้านขายของที่ระลึกให้แวะซึมซับบรรยากาศก็ดีแล้ว”
Food Truck
นอกจากพิพิธภัณฑ์และคนยืนขายของแล้ว ที่นี่ยังหอบฟู้ดทรักมาให้บริการ โบว์เล่าต่อว่า “ส่วนใหญ่ฟู้ดทรักจะเปิดช่วงเย็นๆ เพราะแฟนบอลส่วนใหญ่จะเริ่มทยอยมาในเวลาประมาณสักหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม เนื่องจากบอลเริ่มเตะตอนประมาณทุ่มครึ่ง เท่าที่เห็นมีไม่กี่ร้านที่เลือกเปิดตั้งแต่ช่วงเที่ยงๆ อย่างฟู้ดทรักแบบรถพ่วงดีไซน์เท่ ที่ขายกาแฟสด น้ำอัดลม ขนบขบเคี้ยว แอลกอฮอล์ และแซนด์วิช ราคาเครื่องดื่มอยู่ที่ 2.50–3.50 ปอนด์ หรือประมาณ 96–135 บาท
“ร้านนี้ขายอาหารประจำชาติของชาวอังกฤษอย่าง Fish ‘N’ Chips หรือปลาชุบเกล็ดขนมปังทอด กินคู่กับมันฝรั่งทอด”
ว่ากันว่า Fish ‘N’ Chips ไม่ได้มีต้นกำเนิดจากอังกฤษตรงๆ แต่เกิดขึ้นราว 200 กว่าปีก่อน โดยคนเชื้อสายยิวที่อพยพเข้ามาอยู่ในอังกฤษ ได้นำสูตรอาหารนี้เข้ามา ต่อมาในปี ค.ศ.1860 เมนูนี้ก็ถูกนำมาขายในร้านอาหาร โชคดีที่สมัยนั้นการประมงของอังกฤษกำลังรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ปลาก็จับได้จำนวนมาก หาซื้อก็ง่าย ส่งผลให้ธุรกิจขายปลาและร้านที่ขายแต่ Fish ‘N’ Chips เติบโตอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ เพราะเป็นเมนูที่ทำง่าย กินง่าย ไม่ต้องปรุงอะไรมากมาย แถมยังมีสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อคนทำงาน ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรต ทำให้ได้รับความนิยมเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ จนกลายเป็นอาหารประจำชาติอังกฤษไปโดยปริยาย
ย้อนกลับมาที่ฟู้ดทรักคันสวย โบว์บอกว่า
“เมนูน่าสนใจ เพราะมีให้เลือกหลายอย่าง อาทิ กุ้งทอด, ฟิชฟิงเกอร์, ฟิชเค้ก, ไส้กรอก, พาย ที่เอาไว้กินคู่กับเฟรนช์ฟราย หรือจะกินแค่เฟรนช์ฟรายอย่างเดียวก็ได้ สามารถเลือกซอสราดได้ด้วย มีทั้งซอสแกงกะหรี่ น้ำเกรวี่ และคล้ายๆ ซอสถั่วเขียว (Peas) ราคาก็เริ่มตั้งแต่ 3–7 ปอนด์ หรือประมาณ 118–276 บาท ถือว่าเป็นราคาที่แรงน่าดู”
การเดินทาง:
By Train: เริ่มต้นที่สถานีรถไฟ King’s Cross ที่ลอนดอน มาลงสถานีรถไฟ Manchester Piccadilly แล้วต่อรถราง (Tram) คันที่ระบุว่า Altrincham เพื่อไปยังสถานี Old Trafford เดินต่ออีกหน่อยก็ถึงสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด
Etihad Stadium – Manchester City
ไหนๆ มาถึงเมืองแมนเชสเตอร์แล้ว ก็ต้องแวะไปที่สนาม Etihad Stadium ของสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตีด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดาย บรรยากาศที่สนามแห่งนี้เงียบเหงา เพราะแฟนบอลส่วนใหญ่ต่างไปชมแมตช์สำคัญที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดกันหมด แต่เธอก็ยังยืนกรานที่จะแวะไปชมสนามแห่งนี้ให้ได้
“เรารู้ว่าสโมสรเรือใบสีฟ้าในวันนี้ไม่มีแข่ง ทำให้ร้านค้าด้านในก็ปิด แต่เราก็ยังนั่งรถราง (Tram) ไปยังสนามแห่งนี้เพื่อให้เห็นความยิ่งใหญ่ด้วยตาของตัวเอง ยืนอยู่แค่เพียงด้านนอกก็ชื่นใจ แต่จากการหาข้อมูลมา ทำให้รู้ว่าบริเวณรอบๆ สนามจะมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ของสโมสร พร้อมภาพประกอบให้ดูเพลินๆ เช่น บริเวณอัฒจันทร์ที่ระบุชื่อว่า Colin Bell – Colin Bell Stand ได้ตั้งตามชื่อของ Colin Bell กองกลาง ซึ่งเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ หรือเรื่องราวตอนได้แชมป์ลีกแชมเปี้ยนชิพครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1937 แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปเห็นสิ่งนั้นด้วยตาของตัวเอง ทำได้แต่ถ่ายภาพมุมกว้างๆ กลับมาให้ชื่นใจ”
การเดินทาง:
By Train: เริ่มต้นที่สถานีรถไฟ Manchester Piccadilly ลงป้ายที่ไปทางเดียวกับ Old trafford จากนั้นไปขึ้นรถราง แล้วลงสถานี Etihad Campus เดินตามป้ายบอกทางอีกหน่อยก็ถึงแล้ว
London
Tower of London
และแล้วก็มาถึงไฮไลต์สำคัญที่ทำให้หัวใจของสาวน้อยคนนี้เต้นแรง กับหอคอยแห่งลอนดอนซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเทมส์ เชิงสะพาน Tower Bridge ที่ดูภายนอกมีความยิ่งใหญ่ ฉาบไปด้วยออร่าแห่งความเก่าแก่ที่มีเรื่องราวมากว่าพันปี
ส่วนประวัติศาสตร์ฉบับย่นย่อก็คือ ที่นี่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าวิลเลียมเมื่อปี ค.ศ.1078 เพื่อเป็นที่ประทับของกษัตริย์หลายๆ พระองค์สมัยก่อเริ่มสร้างชาติอังกฤษ จนถึงสมัยพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายที่ประทับที่นี่ ในช่วงศตวรรษที่ 16
ในยุคสมัยการเปลี่ยนแปลงของกษัตริย์ ที่นี่ก็เปลี่ยนรูปแบบการใช้งานตามไปด้วย ที่สำคัญที่นี่เคยเป็น ‘คุก’ ใช้ขังและประหารนักโทษนับพันราย บางยุคเป็นคลังอาวุธและใช้เป็นป้อมปราการ หรือเป็นโรงกษาปณ์ผลิตเหรียญเงินไปจนถึงการเป็นสวนสัตว์ที่มีช้างตัวแรกของยุโรป เป็นต้น
เรื่องจริงน่าสนใจ แต่เรื่องเล่าก็น่าสนใจไม่แพ้ โบว์บอกเราอย่างนั้น “ว่ากันว่า ที่นี่ผีดุ” โบว์กระซิบ “เขาเล่ากันมาว่า (ไม่แน่ใจว่าเขานี่คือใคร) ผีหรือวิญญาณที่เล่าขานกันว่าชอบมาปรากฏตัวให้เห็นบ่อยๆ คือวิญญาณของพระนางแอนน์ โบลีน ซึ่งเป็นมเหสีองค์ที่ 2 ในพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ตอนนั้นพระองค์ทรงถูกลงโทษด้วยการตัดศีรษะเมื่อปี ค.ศ. 1536 ทำให้หลายคนเล่าว่าเคยเห็นเธอในเวอร์ชันผีหัวขาดด้วย…”
แต่ความน่ากลัว ไม่เท่าความแพงของตั๋วค่าเข้า ที่ตกคนละ 22 ปอนด์ หรือประมาณ 844 บาท เมื่อซื้อตั๋วเข้ามาชมแล้ว ขนลุกยังไงก็ต้องเดินชมต่อเรื่อยๆ และที่เธอบอกว่าชอบอีกอย่าง คือเครื่องแบบของทหารที่เดินตรวจและเดินผลัดเวรอยู่ในหอคอย
“หากจำได้ เรามักจะเห็นเครื่องแบบของทหารอังกฤษเป็นสีแดง แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว เครื่องแบบก็จะเป็นสีม่วงแบบนี้ ดูเข้ากับความหม่นและความหนาวของอากาศได้ดีจริงๆ”
อัตราค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 22 ปอนด์ เด็ก 5-15 ปี 11 ปอนด์ หากซื้อ London Pass เข้าชมฟรี ฤดูร้อนเปิดเวลา 09.00-17.30 น. ฤดูหนาวเปิดเวลา 09.00–16.30 น.
Ravens of the Tower of London
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกเรื่องที่เธอมองเห็นพลังงานบางอย่างก็คือ อีกาดำตัวใหญ่ที่มีปลอกข้อเท้าสีชมพูนีออน ยืนปะปนอยู่บนทางเท้าภายในหอคอย
“ที่นี่มีอีกา เหมือนมาคุมหอคอยด้วย เราคิดว่า น่าจะมีมากกว่า 1 ตัว ทำให้เราออกตามหาเรื่องเล่าขาน จนกระทั่งพบว่าอีกามีทั้งหมด 6 ตัว ส่วนตำนานก็มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ที่เราเห็นคือกาเรเวน (Raven) เป็นอีกาที่น่ากลัวและฉลาด ขนสีดำของมันคล้ายกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสนิท แววตาดูลึกลับและเจ้าเล่ห์ ทำให้เกิดความเชื่อว่ามันคือสัญลักษณ์ของยมทูต นำมาซึ่งความตาย มีอำนาจชั่วร้ายเร้นกายอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“ว่ากันว่าเรเวนคือผู้พิทักษ์อังกฤษ ย้อนกลับไปราว 900 ปีก่อน หอคอยแห่งนี้ต้องคำสาปเพราะเป็นสถานที่คุมขังและประหารบุคคลสำคัญของอังกฤษมาเนิ่นนาน และที่ลานปราสาทแห่งนี้นี่เอง ได้เลี้ยงเรเวนไว้ทั้งหมด 6 ตัว ตำนานยังบอกอีกว่า หากวันใดอีกาทั้ง 6 ตัว หายไปจากหอคอย เมื่อนั้นหอคอยขาวก็จะถล่มลงมา ราชวงศ์จะถึงคราวสิ้นสุดและหายนะจะมาสู่ประเทศอังกฤษ จะเกิดภัยพิบัติ แผ่นดินไหว พายุหิมะถล่ม ไต้ฝุ่นเข้า คลื่นสึนามิ และโรคร้ายที่รักษาไม่หาย ทำให้อีกาได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และถ้าเกิดว่ามีตัวใดตัวหนึ่งตายก็จะมีพิธีฝังศพอย่างจริงจังและต้องหาตัวอื่นมาทดแทน ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติกันมากว่า 900 ปี และยังไม่มีใครกล้าปฏิเสธ”
Tower Bridge
จุดสุดท้ายที่สายตาของโบว์จับจ้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันก็คือ Tower Bridge สะพานที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางแม่น้ำเทมส์มานานกว่า 120 ปี โดยไฮไลต์ของสะพานแห่งนี้คือกลไกการยกสะพานขึ้นลง เพื่อให้เรือขนาดใหญ่สามารถผ่านไปได้ ที่สำคัญยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมนิทรรศการด้านในสะพาน พร้อมกับขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังส่วนที่สูงที่สุดของสะพาน ตรงจุดนั้นสามารถมองเห็นวิวกรุงลอนดอนได้สบายๆ และยังสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์การก่อสร้างสะพานไปพร้อมๆ กันได้
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือบริเวณตรงกลางสะพานที่มีพื้นเป็นกระจกใส ทำให้มองลงไปยังถนนเบื้องล่างได้ ส่วนชั้นล่างสุด เปิดให้เข้าชมห้องเครื่องยนต์เพื่อดูเครื่องจักรและทำความเข้าใจกลไกของการยกสะพาน สนนราคาคนละ 9 ปอนด์หรือประมาณ 346 บาท
“เราคิดว่า อังกฤษคือประเทศที่รุ่มรวยประวัติศาสตร์ พวกเขายืนหยัดที่จะรักษาเรื่องราวและเรื่องเล่าผ่านการบูรณะสถานที่สำคัญไว้ให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน”
การเดินทาง:
By Underground: ลงสถานี Tower Hill
By Bus: รอรถเมล์สาย 15 ลงป้าย Tower of London ก็ถึงเลย