เคยเป็นไหม? ที่ต้องมานั่งเศร้าใจคนเดียว เมื่อรู้ว่าคนที่หันหลังไปจากเรา สุดท้ายคือคนที่เราต้องการ แต่ในวันที่มีเขาอยู่ เรากลับไม่รู้สึกอะไร หรือถึงจะรู้สึกอะไรกับเขา แต่ก็ไม่อยากจะยอมรับว่าเราต้องการ กว่าจะมารู้ใจตัวเองก็สายไปเสียแล้ว
ยกตัวอย่างเรื่องราวของเพื่อนเราคนหนึ่ง เมื่อหลายเดือนก่อนมีผู้ชายมาจีบ ผู้ชายคนนี้เข้ามาในลักษณะแบบเพื่อนก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ แสดงความเป็นห่วงเป็นใย ดูแลเอาใจใส่ ให้กำลังใจ และคอยทำหวานๆ ให้เพื่อนเรา จนวันหนึ่งก็สารภาพว่าชอบ ด้านเพื่อนเรา จริงๆ ก็ชอบเขาแหละ แต่ด้วยความที่กลัวความรัก แถมเป็นคนใจแข็งและปากแข็งมากๆ ก็เลยชอบฟอร์มใส่เขา ทำเป็นไม่สนใจ (ทั้งที่จริงแอบติดตามดูผู้ชายคนนี้ในโซเชียลฯ ตลอดเวลา) ยิ่งถ้าช่วงไหนผู้ชายคนนี้หวานใส่มากๆ คุณเธอก็จะแก้เขินด้วยการทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับใจ เช่น พูดจาห้วนๆ บอกว่าไม่ชอบ ไม่สนใจ ไม่ต้องการ และไล่ให้ไปชอบคนอื่น
ซึ่งผู้ชายคนนี้ก็อึดมาก คือตามจีบเพื่อนเรานานหลายเดือน ยิ่งทำดีหรือทำหวานใส่ ก็ยิ่งโดนเพื่อนเราตอกกลับมาหนักๆ ขนาดตัวเรายังสงสารผู้ชายคนนี้เลย แต่เนื่องจากเราไม่สามารถบอกอะไรเพื่อนเราได้ เพราะเพื่อนไม่เชื่อ หรือถ้าเชื่อ ก็จะมีทิฐิเกินกว่าจะยอมรับว่าชอบเขา งานนี้เราเลยได้แต่เป็นคนนอกที่ดูอยู่ห่างๆ
จนวันหนึ่งเพื่อนเรามาบอกว่า เพิ่งได้บอกให้ผู้ชายคนนี้เลิกชอบไปอีกรอบ แต่รอบนี้เพื่อนเราพูดจาแรง แถมยังไปโกหกเขาอีกว่ามีคนที่ชอบแล้ว เลยกลายเป็นว่าหลังจากนั้นผู้ชายคนนี้ก็หายไปจริงๆ คือไม่ได้ติดต่อมา 2 อาทิตย์ ซึ่งผิดกับรอบก่อนๆ ที่ 3-4 วันก็จะกลับมาตื๊อใหม่ แต่รอบนี้หายไปนาน เพื่อนเราเลยร้อนใจ กลัวว่าผู้ชายคนนี้จะเลิกชอบจริงๆ
ตอนนั้นที่เราได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก ขอเรียนผู้อ่านตามตรงว่า เราได้แต่ร้องในใจว่า “สมน้ำหน้ามึงจริงๆ” เพราะสิ่งที่เพื่อนเราทำก็สมควรอยู่หรอกที่ผู้ชายคนนั้นจะเลิกชอบ เพราะไม่มีอะไรเลยที่จะทำให้เขามีกำลังใจจีบต่อ เป็นใครใครจะทนไหว
แต่ด้วยความที่เราเป็นเพื่อนที่ดี ก็เลยไม่อยากซ้ำเติมเพื่อน (จริงๆ ก็มีด่าเหมือนกัน) จึงทำหน้าที่รับฟังเพื่อนระบายความทุกข์ใจอยู่ข้างๆ แต่ว่าผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ผู้ชายคนนี้ยังไม่ติดต่อกลับมา และได้ห่างหายไปจากการเล่นโซเชียลฯ ส่วนเพื่อนเรายังก็อกหักเสียใจเหมือนเดิม คือยังอาลัยอาวรณ์รอให้เขากลับมาชอบใหม่ แต่จนแล้วจนรอดตัวเองก็ยังใจแข็งไม่ยอมทักเขาอยู่ดี ทั้งที่คิดถึงเขาทุกวัน
จากเรื่องราวของเพื่อนที่ยกมา ก็เพื่อให้คุณผู้อ่านได้เห็นว่า บางครั้งปัญหาความรักเกิดจากการที่คนเราทำให้มันซับซ้อนไปเอง ทั้งที่จริงแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดมันง่ายมาก เพราะคนสองคนนี้ต่างชอบกัน แต่เพราะทิฐิหรือปมภายในใจทำให้ทุกอย่างตาลปัตร กลายเป็นว่าจากที่ควรจะอินเลิฟ กลายเป็นเรื่องเศร้าของทั้งสองคนแทน
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาซ้ำเติม แต่น่านำมาวิเคราะห์ดูต่อว่า ‘เหตุการณ์รู้ใจในวันที่สาย’ สามารถให้ประโยชน์อะไรกับเราได้บ้าง
ให้ความเสียใจครั้งนี้เป็นบทเรียนเพื่อวันข้างหน้า
อะไรที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ เช่นกันสำหรับบางคน เมื่อเขาจากไปแล้ว เขาก็จากไปเลย ต่อให้เรียกร้องขอคืนดีเท่าไหร่ เขาก็ไม่ย้อนกลับมา แต่เมื่อเขาไม่ยอมกลับมา ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องมาโทษตัวเองหรือลงโทษตัวเองด้วยการจมปลักกับความผิดพลาดในอดีต เพราะมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่ทำให้แย่ลง
ในทางกลับกัน จะดีเสียกว่า ถ้าเราเลือกขอบคุณเหตุการณ์นี้ที่ช่วยให้เรามีความสัมพันธ์ในวันข้างหน้าได้ดีขึ้น เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้ บางทีวันข้างหน้าเราอาจทำพลาดกับคนที่เราจะเสียใจมากกว่านี้ก็ได้
ใช้โอกาสที่กำลังจะหลุดลอยนี้เป็นโจทย์ท้าทายชีวิต
สำหรับบางคน พอรู้ใจตัวเองแล้วก็อยากลองสู้สักตั้งหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อรู้ว่ากำลังจะเสียเขาไป ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตแบบฉับพลัน จากที่เคยใจแข็งมาตลอด ก็ใจอ่อนกล้าไปขอคืนดีหรือไปง้อเขา ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้นับเป็นโจทย์ท้าทายชีวิตว่า คนเราจะกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองกลัวหรือไม่อยากทำได้หรือเปล่า
เพราะพระเจ้ามักให้เราเจอโจทย์ชีวิตแบบเดิมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะผ่านมันไปได้ เช่น คุณอาจสงสัยว่าทำไมชีวิตรักคุณถึงลงเอยแบบเดิมทุกที บางทีเหตุผลไม่ใช่อะไรอื่นไกล แต่เป็นเพราะคุณยังตัดสินใจทำแบบเดิมๆ ชีวิตรักคุณก็เลยวนลูปเหมือนเดิม ฉะนั้น สำหรับคนที่อยากผ่านด่านชีวิตตัวเองไปให้ ก็อยากชวนให้มองเรื่องนี้เป็นโอกาสที่ทำให้คุณได้เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง
เพราะใครจะไปรู้ว่า การไปง้อครั้งนี้อาจทำให้คุณรู้ว่า จริงๆ คุณเอาชนะทิฐิของคุณได้ เพราะคุณรักเขามากกว่าจะยอมให้ทิฐิตัวเองมาขวางกั้น
เรียนรู้ที่จะมีความหวัง
จริงๆ ต้องบอกว่า ไม่มีอะไรที่สายเกินไป เพราะคำว่า ‘สายเกินไป’ แปลว่ามันไม่ใช่ของเราต่างหาก อย่างหลายคนมักโทษโชคชะตาว่า ทำไมถึงไม่ให้เรารู้ใจตัวเองได้ทันเวลากว่านี้ แต่การกล่าวโทษแบบนี้ไม่เกิดประโยชน์อะไร และไม่อยู่บนความเป็นจริงที่ว่า ทุกอย่างบนโลกล้วนมีจังหวะของมันเสมอ การที่คนเราทุกข์ใจก็เพราะเราอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามจังหวะของเรา แต่ความเป็นจริงอย่างที่ทุกคนรู้กัน คือไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้ ทุกอย่างล้วนมีเวลาของมัน
ดังนั้น แทนที่จะมานั่งเสียใจหรือน้อยใจโชคชะตา เราควรมองให้เห็นความจริงว่า นั่นไม่ใช่จังหวะที่ใช่ของเรา เมื่อไม่ใช่ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปเสียใจหรืออาลัยอาวรณ์ แต่ควรให้กำลังใจตัวเองด้วยการมีความหวังว่า วันหนึ่งเราจะได้พบกับคนที่ใช่ในเวลาที่ใช่เอง
อย่างที่มีตัวอย่างคู่รักให้เห็นหลายคู่ ที่แต่ก่อนเคยเจอหรือเคยชอบพอกันมาก่อน แต่เพราะจังหวะชีวิตหรือความเข้าใจของสองคนยังไม่ตรงกัน ก็เลยทำให้พลัดพรากห่างหายกันไป แต่เมื่อถึงเวลาที่ต่างคนต่างหมดทิฐิหรือได้ตกผลึกชีวิตแล้วว่าสุดท้ายต้องการอะไร ถึงตอนนั้นเมื่อพวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้ง ก็ไม่มีอะไรที่สายเกินไป มีแต่เวลาที่ลงตัวพอดี