ให้อภัย

Love Actually | การที่เราไม่ให้อภัยใครคนหนึ่ง ทำให้เรารักใครคนอื่นอย่างเต็มหัวใจไม่ได้

เราเคยอ่านหนังสือของ ริก วอร์เรน เขียนไว้ประโยคหนึ่งที่เราจำได้ขึ้นใจว่า “การที่เราไม่ให้อภัยใคร ทำให้เรารักใครคนอื่นอย่างเต็มหัวใจไม่ได้” ซึ่งประโยคนี้ทำให้เรานึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่อง Departures ที่พระเอกเป็นนักดนตรีอยู่ในเมืองใหญ่ แต่เมื่อล้มเหลวจากอาชีพ เขาเลยย้ายกลับไปทำงานที่บ้านเกิดโดยเป็นสัปเหร่อคอยตกแต่งศพ ส่วนปมใหญ่ในชีวิตของพระเอกคือการที่เขาเข้าใจมาตลอดว่าพ่อไม่รัก และนั่นทำให้ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและการจมปลักอยู่กับปมภายในใจ

จนกระทั่งวันหนึ่งโชคชะตาก็ทำให้เขาต้องมารับหน้าที่ตกแต่งศพให้พ่อที่ไม่ได้เจอกันมาหลายสิบปี และวันนั้นเองที่ทุกอย่างได้เฉลยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาพ่อรักและรอคอยจะเจอเขา ซึ่งในวันนั้น ปมที่อยู่ในใจมาตลอดหลายสิบปีของพระเอกก็ถูกคลายออก เขาเหมือนได้ชีวิตใหม่ หลังจากนั้นเขาถึงได้มีครอบครัวและเริ่มต้นบทบาทพ่อของลูกชายที่สามารถมอบความรักให้ลูกได้อย่างเต็มที่ พูดอีกอย่างคือ ถ้าสมมติพระเอกไม่ได้รับการคลายปมเรื่องพ่อไม่รัก ก็เป็นไปได้ที่พระเอกจะรักลูกชายไม่ได้เต็มหัวใจ

หรืออีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องน่าหดหู่ที่เกิดขึ้นจริงของแม่ที่ไม่ชอบลูกสาวตัวเอง แม้เจ้าตัวจะไม่เคยยอมรับว่าคิดแบบนั้น แต่ดูจากอาการและสิ่งที่แสดงออกซึ่งบ่งบอกได้ชัดเจนว่า เธอคนนี้ไม่ได้รักลูกสาวอย่างเต็มหัวใจ เหตุผลคงเพราะตลอดที่ผ่านมา เธอมีปมฝังใจเรื่องสามีเคยแอบไปมีกิ๊ก แม้ปัจจุบันสามีของเธอจะเลิกนิสัยนี้และกลับตัวกลับใจใหม่มานานแล้ว แต่ภรรยาก็ยังไม่ยอมปล่อยปมในใจนี้สักที สิ่งที่ตามมาคือเธอจะมีนิสัยระแวงผู้หญิงรอบตัวสามีทุกคน แม้กระทั่งลูกสาวตัวเองก็ยังกลัวว่าลูกจะแย่งความรักจากสามีไป เธอมักดุด่าและเกรี้ยวกราดกับลูกสาวอยู่เป็นประจำ บางครั้งก็ยังต่อว่าเมื่อเห็นสามีสนิทสนมกับลูก

ความรักที่เรามีต่อคนหนึ่งมีผลต่อความรักอีกคนได้ด้วย

 

เคสนี้เป็นเคสหนึ่งที่ทำให้เราค่อนข้างเชื่อว่า ความรักที่เรามีต่อคนหนึ่งส่งผลต่อความรักในอีกคนได้ด้วย พูดอีกอย่างคือ เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่เคยให้อภัยสามี เธอเลยไม่สามารถมอบความรักให้คนที่เธอควรจะต้องรักที่สุดในชีวิตอย่างลูกของเธอได้ ลึกๆ เธอมีแต่ความเคียดแค้น ความกลัว ความระแวง ที่หัวใจของเธอมีจุดดำที่ความรักไม่สามารถเข้าไปครอบครองพื้นที่นั้นได้ เมื่อเธอมอบหัวใจให้ลูก มันเลยเป็นหัวใจที่มีความเคียดแค้นและความเจ็บปวดเจือปนอยู่ในนั้น

ซึ่งตัวเราแทบไม่อยากจะคิดเลยว่า ลูกสาวของเธอต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร หากลูกสาวไม่สามารถเอาชนะปมที่แม่ก่อขึ้นมาได้ ปมนี้คงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าวันหนึ่งที่ลูกจะยอมให้อภัยแม่ถึงจะหลุดจากปมนี้ได้สำเร็จ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเพียงแค่การไม่รักคนอื่นเท่านั้นที่สร้างปัญหา การไม่รักตัวเองหรือไม่ยอมให้อภัยตัวเองก็ผลต่อความสัมพันธ์ได้ด้วยเหมือนกัน

อย่างแต่ก่อนเราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยรักตัวเอง ลึกๆ เราเป็นคนโหยหาความรักตลอดเวลา พอมีแฟน ก็จะทุ่มเทให้แฟนจนหมด ซึ่งในตอนแรกก็ดูดีอยู่หรอก เพราะเราจะดูเหมือนแฟนที่โรแมนติกและคอยเอาใจใส่ แต่ปัญหาคือเมื่อคบกันไปสักพัก เราจะกลายเป็นคนติดแฟนมาก กลายเป็นคนเรียกร้อง คอยวิ่งไล่ และพร้อมจะปรับตัวเองทุกอย่างให้แฟนโดยไม่ได้สนใจเลยว่าเรากำลังสูญเสียความเป็นตัวเองไป ซึ่งนั่นทำให้เราทรมานไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว

และแน่นอนว่าเมื่อเลิกกันแล้ว เราก็เป็นฝ่ายเสียใจจะเป็นจะตาย เพราะเหมือนยกตัวตนของเราไปไว้ที่เขา พอเขาตัดทิ้งก็เหมือนตัวตนของเราพังพินาศตามไปด้วย เราโทษตัวเอง มองตัวเองไร้ค่า ไม่แคร์เรื่องศักดิ์ศรี และมักจบด้วยการอ้อนวอนขอโอกาสเขา ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ต้องการเราอีกแล้ว ซึ่งความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของเราจบแบบไม่เป็นท่าแทบทุกครั้ง จนวันหนึ่งที่เราถามตัวเองว่า เรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดจากอะไร? และก็พบว่า ปัญหาใหญ่เลยคือเรารักตัวเองไม่มากพอ

มันเลยทำให้เราตัดสินใจรักใครโดยไม่ได้ดูให้ถี่ถ้วนว่า เขาเข้ากับเราได้จริงหรือไม่ เพราะเราชอบคิดเองว่า เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเขาไม่ปรับ เดี๋ยวเราปรับเองก็ได้ ซึ่งความเป็นจริงมันไม่ควรเป็นอย่างนั้นไง! มันควรจะเป็นต่างคนต่างช่วยกันปรับ และถ้าเกิดอีกฝ่ายยืนยันว่าจะไม่ปรับหรือจะไม่ทำให้เราสบายใจ ก็ควรจะคิดได้แล้วว่าไปต่อกันไม่ได้ แต่เนื่องจากเราคิดว่าเรายอมได้ ก็เลยเลือกที่จะทนกับความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดไปเรื่อยๆ และรอให้ทุกอย่างพังลงเอง

บางครั้งการไม่รักตัวเองก็ยังอยู่ในรูปแบบการไม่ให้อภัยตัวเองได้ด้วยเหมือนกัน

นอกจากนี้ บางครั้งการไม่รักตัวเองก็ยังอยู่ในรูปแบบการไม่ให้อภัยตัวเองได้ด้วยเหมือนกัน ยกตัวอย่างหลายคนที่เรารู้จัก ที่ทนอยู่กับความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดไปเรื่อยๆ เพราะรับไม่ได้กับการที่ตัวเองต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อน เลยยื้อความสัมพันธ์และรอให้อีกฝ่ายเป็นคนบอกเลิก ซึ่งความซวยของคนกลุ่มนี้เท่าที่เจอคือมักได้แฟนที่ไม่กล้าบอกเลิกแบบตรงๆ ว่าง่ายๆ คือเป็นพวกที่ไม่ชอบเผชิญกับปัญหา เลยใช้วิธีนิ่งเงียบหรือหายไปเฉยๆ ปัญหาที่ตามมาคือฝ่ายที่ต้องทนก็ได้แต่รอและเจ็บปวดไปเรื่อยๆ ส่วนอีกฝ่ายนอกจากจะไม่บอกเลิกแล้ว ก็ยังใช้วิธีเย็นชาหรือหนีหน้าหายไป ซึ่งทำให้ฝ่ายที่ทนอยู่นั้นเจ็บซ้ำสองเข้าไปอีก

ซึ่งถ้าถามว่าจะแก้เรื่องนี้ยังไง? คำตอบง่ายๆ แต่ทำยากคือต้องกล้าบอกเลิกหรือออกมาจากความสัมพันธ์นั้นซะ โดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายบอก แต่ปัญหาคือหลายคนไม่กล้าทำอย่างนั้น เพราะกลัวว่าจะให้อภัยตัวเองไม่ได้ ที่จะยอมรับว่าตัวเองเป็นคนตัดความสัมพันธ์นั้นทิ้งเอง

การไม่รักตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเราทำร้ายตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันมันก็ทำให้คนเราไม่สามารถรักใครได้อย่างเต็มที่

ฉะนั้น ถ้าว่ากันตามตรง การไม่รักตัวเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเราทำร้ายตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ทำให้คนเราไม่สามารถรักใครได้อย่างเต็มที่ ยกตัวอย่างตัวเราเองก็ได้ เมื่อลองย้อนมองความสัมพันธ์ที่ผ่านมาก็ทำให้นึกได้ว่า เหตุผลที่ยอมทุ่มเท คอยวิ่งไล่ และเรียกร้องจากแฟน อาจไม่ใช่เพราะเรารักเขาจริงๆ แต่เพราะต้องการใช้เขาเติมเต็มตัวตนที่เราไม่เคยคิดจะเติมให้ตัวเอง ดังนั้น อาจบอกได้ว่า ความสัมพันธ์เหล่านั้นไม่ได้เกิดจากความรัก แต่ไม่มีความรักต่างหาก

ถ้าให้สรุป ไม่ว่าจะเป็นความรักที่มีต่อตัวเราหรือคนอื่น มันเกี่ยวพันและเชื่อมโยงกับความรักความสัมพันธ์อื่นๆ ต่อไปอีก ดังนั้น มันเลยน่าคิดว่า ถ้าวันหนึ่งเราอยากจะรักใครคนหนึ่งอย่างเต็มหัวใจ บางทีมันอาจไม่ใช่แค่การลงทั้งหัวใจรักใครคนนั้น แต่อาจต้องเริ่มจากรักใครบางคนก่อนหน้านั้นให้ได้อีกด้วย

ว่าแต่… คุณคิดว่าไง?

เรื่อง : สีตลา ชาญวิเศษ