โรดทริปมอเตอร์ไซค์ บนเส้นทางที่สูงและสวยที่สุดในโลก Manali Leh Highway ที่ Leh Ladakh

         Manali Leh Highway เส้นทางถนนโอบล้อมไปด้วยขุนเขาสูงตระหง่าน ธารน้ำเกิดจากการละลายของหิมะบนเทือกเขาหิมาลัย ทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างสุดสายตา กระโจมน้อยใหญ่ตามไหล่ทาง ธงมนตราหลากสีที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เหล่านี้คือวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ของ Leh Ladakh

ความสวยงามที่ไร้ข้อกังขาได้ถูกเก็บเกี่ยวเอาไว้เป็นความทรงจำของ ‘ตินกานต์ เชาวน์ดี’ และถ่ายทอดออกมาเป็นภาพโดยฝีมือของคนรักผู้เป็นช่างภาพหนุ่ม ‘พจชพล วัฒนกุล’ ทั้งคู่เดินทางโรดทริปด้วยมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield ไปบนเส้นทางสุดอลังการของ Leh Ladakh อย่าง Manali Leh Highway อันเป็นถนนสายที่สูงที่สุดในโลก ตลอดระยะเวลา 10 วัน

The Starting Point

ก่อนหน้านี้เราสองคนเคยไปโรดทริปที่ประเทศออสเตรเลียกันมาก่อน โดยเช่ารถบ้านขับเที่ยวจากซิดนีย์ไปเมลเบิร์น และสิ้นสุดที่เกรตโอเชียน ใช้เวลากว่า 10 วัน พวกเราทั้งกิน นอน และทำอาหารกันบนนั้น ครั้งนั้นนับเป็นทริปใหญ่ครั้งแรกที่เปิดมุมมอง ทำให้รู้ว่าเราชอบการท่องเที่ยวแบบนี้ ซึ่งพิสูจน์ด้วยระยะเวลาตลอด 7 ปีของการเดินทางท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ โดยต่อมาเราคงคอนเซ็ปต์เที่ยวโดยมอเตอร์ไซค์เป็นหลัก เพราะรู้สึกว่ามอเตอร์ไซค์ทำให้พวกเราได้เห็นภาพข้างทางกว้างขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งการเช่ามอเตอร์ไซค์นั้นง่ายและมีราคาถูก จนวันหนึ่งรุ่นน้องนำคลิปชาวต่างชาติขี่มอเตอร์ไซค์ไปบนเส้นทางสุดอลังการนี้มาให้ดู พวกเราจึงตัดสินใจว่าอยากลองไปสัมผัสเส้นทางนี้ให้ได้สักครั้ง แม้ว่าในใจลึกๆ แล้วจะมีความหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย

MANALI 

มะนาลีเป็นเมืองที่สงบเงียบ เหมือนรังนกที่อยู่ในหุบเขา ตั้งอยู่บนความสูง 2,050 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีป่าสนขนาดใหญ่โอบล้อมธารน้ำกว้างที่ไหลเซาะโขดหินน้อยใหญ่ ผู้คนส่วนใหญ่ขับขี่ด้วย Royal Enfield มอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษ แต่ผลิตและได้รับความนิยมในอินเดีย ทั้งยังเป็นเมืองตั้งต้นสำหรับการรับมอเตอร์ไซค์ที่เช่าไว้ พวกเราพักอยู่ที่นี่หนึ่งวันเพื่อทดสอบความพร้อมของเครื่องยนต์ก่อนที่จะออกเดินทาง

วันที่เริ่มต้นออกเดินทาง พวกเราเก็บสัมภาระไว้ในกระเป๋าสะพายหลังสองใบ หนักใบละ 20 กิโลกรัม พ่วงท้ายมอเตอร์ไซค์ไว้ทั้งสองข้าง ขี่ออกไปได้ประมาณ 20 กิโลเมตร ก็ต้องวกกลับ เพราะน้ำหนักที่แบกไปนั้นเกินกว่าที่มอเตอร์ไซค์จะบาลานซ์ได้ ในทุกครั้งที่มอเตอร์ไซค์ขึ้นเนิน ด้านหน้าจะส่าย เสี่ยงอันตรายมาก พวกเราจึงต้องส่งสัมภาระทั้งหมดล่วงหน้าไปกับรถที่จะขึ้นไปเมืองเลห์ เหลือเพียงอุปกรณ์กล้อง น้ำดื่ม ของมีค่า และสิ่งของจำเป็นตลอดการเดินทางติดไว้กับตัว

LEH

พวกเราใช้เวลาจากมะนาลีสู่เลห์ 4 วัน ซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะตามปกติแล้วนักเดินทางส่วนใหญ่ใช้เวลากับเส้นทางนี้เพียงแค่ 2 วันเท่านั้น แต่พวกเราแวะพักกันบ่อย เพื่อให้ดื่มด่ำกับวิวอลังการระหว่างทางได้อย่างเต็มที่ มากกว่าจะเร่งรีบไปให้ถึงเป้าหมาย เพราะระหว่างทางคือจุดหมายปลายทางของพวกเราอยู่แล้ว เท่ากับว่าเวลาที่ใช้ไปนั้นถือว่าคุ้มค่ามาก

เมื่อถึงเมืองเลห์ สิ่งแรกที่ทำคือนอนบนเตียง แล้วก็ไปเดินเที่ยวเล่นในเมืองอยู่ 3 วัน วิวทิวทัศน์ในเมืองนี้เต็มไปด้วยสีสันจากบ้านเรือน แผ่นป้ายหลากสี ธงมนตราพลิ้วไสว ในขณะที่ผู้คนในเมืองมีความหลากหลายทั้งเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย จีน ปากีสถาน แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นมักจะเป็นชาวทิเบตซึ่งนับถือองค์ดาไลลามะ อาหารการกินพื้นถิ่นที่ชอบคือชีสจามรี กลิ่นแรง แต่หนุบหนึบ อร่อยจนกินได้ทุกวัน

PANGONG-KHARDUNG-LA

หลังจากปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าและปรับระดับความดันในร่างกายกันแล้ว พวกเรายังคงอยู่บนมอเตอร์ไซค์คันเดิม เพื่อออกเดินทางต่อไปยังทะเลสาบปันกอง ที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาสีน้ำตาล ห่างจากตัวเมืองเลห์ประมาณ 125 กิโลเมตร โดยต้องผ่านจุดสูงสุดของเส้นทางที่เรียกว่า Chang La Pass บนความสูงประมาณ 5,360 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถือว่าเป็นเส้นทางหรือถนนที่สูงเป็นอันดับสามของโลก เป็นจุดที่มองเห็นความสวยงามของวิวเบื้องหน้าอันยากจะอธิบาย

พวกเรานอนค้างที่นี่หนึ่งคืน ก่อนจะกลับมานอนที่เมืองเลห์อีกหนึ่งคืน และวันรุ่งขึ้นก็เดินทางต่อไปยังคาร์ดุง-ลา ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของถนนที่รถยนต์สามารถขับมาได้ บนความสูง 5,606 เมตรจากระดับน้ำทะเล ความงดงามของธรรมชาติเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยภูเขาโอบล้อม พร้อมหิมะเม็ดเล็กโปรยลงมาบางๆ ทำให้พวกเรารู้สึกว่า นี่อาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่จะเห็นความยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ได้เต็มสองตา 

Love Is On The Way 

ระหว่างการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ รอยยิ้มมักจะเปื้อนอยู่บนใบหน้าของเราทั้งคู่เสมอ ส่วนหนึ่งอาจเพราะวิวทิวทัศน์ล้อมรอบกาย และอีกส่วนคือเพราะเราทั้งสองคนต่างช่วยกันประคับประคองกันและกันให้ผ่านช่วงเวลาแย่ๆ ไปได้

ที่ว่าแย่นั้นหมายถึงทั้งความน่ากลัวของเส้นทางเลาะริมเหวและหน้าผาในบางช่วง ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ แม้กระทั่งความอ่อนล้าจากการนั่งอยู่บนเบาะมอเตอร์ไซค์เป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาได้ง่ายกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อพวกเราต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง คนซ้อนต้องแบกสัมภาระ เช่น น้ำสองลิตรสองขวดซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้บนเส้นทางนี้ และอุปกรณ์กล้องพร้อมสิ่งของจำเป็น เมื่อขึ้นที่สูงเรื่อยๆ เกิดอาการไม่สบาย จนอยากโยนทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไป แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าคิดดูแล้วหน้าที่ของคนขี่ที่ต้องทั้งนำทางและขี่มอเตอร์ไซค์แบกรับชีวิตของเราเอาไว้นั้นหนักกว่ามาก

ดังนั้น สิ่งที่ทำให้ได้ในสถานการณ์อึมครึมแบบนี้คือเงียบ แล้วปล่อยให้ความสวยงามของสองข้างทางกลืนอารมณ์ไม่ดีนี้จนหมดไป ในความเงียบนั้น พวกเราก็ยังเห็นอีกมุมหนึ่งของกันและกัน คนหนึ่งอดทนและมีสติต่อเงื่อนไขของชีวิตที่เปลี่ยนไปได้อย่างดีเยี่ยม ในขณะที่อีกคนเป็นผู้นำได้อย่างดีเยี่ยม สร้างความอุ่นใจและมอบความปลอดภัยให้ตลอดเส้นทาง ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาถือเป็นเรื่องสำคัญมากต่อการใช้ชีวิตคู่และการเดินทาง

Home Sweet Home 

และแล้วก็ได้เวลากลับเมืองไทย พวกเราตัดสินใจส่งมอเตอร์ไซค์กลับเมืองมะนาลีด้วยการจ้างคนของบริษัทเช่ารถขี่กลับ แล้วนั่งเครื่องบินจากเมืองเลห์ตรงยาวสู่เมืองเดลีก่อนที่จะบินกลับเมืองไทย เมื่อกลับถึงไทย พวกเรารู้สึกว่า อินเดียเป็นประเทศที่เร้าให้เราแสดงความรู้สึกออกมาได้มาก ทั้งความวุ่นวาย ความโกลาหล บางคนไปแล้วอาจทะเลาะกัน เกลียดกัน หรือรักกันมากขึ้นก็ได้ แต่สำหรับพวกเราแล้ว ทำให้รู้ว่าพวกเราจะใช้ชีวิตด้วยกันไปเรื่อยๆ โดยไม่ทิ้งกันกลางทางแม้จะเจออุปสรรคหรือเผชิญกับความหวาดกลัว เราทั้งคู่เป็นทั้งคนนำทางและผู้ตามที่สามารถฝากชีวิตไว้แก่กันและกันได้

การเดินทางเป็นการเก็บสะสมความทรงจำ ซึ่งจะเป็นสิ่งช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจของพวกเราในวันที่อ่อนล้าและเบื่อหน่ายกับชีวิตในเมือง พวกเราเองก็ไม่ค่อยเชื่อเหมือนอย่างที่คนอื่นมักจะพูดกันว่า การเดินทางหนึ่งทริปจะทำให้เข้าใจโลกได้ทั้งใบ ทำให้ค้นพบตัวตน หรือจะเข้าใจคนคนหนึ่งได้ทั้งหมด

พวกเรารู้แค่ว่า ทริปต่อๆ ไปก็จะเดินทางไปกับคนที่อยู่ข้างกายกันและกันคนนี้ไปอีกนานๆ

ภาพ : พจชพล วัฒนกุล