โจน จันได

Ask โจน จันได | ปราชญ์ชาวบ้านกับการข้ามผ่านความกลัว 3 ประการด้วยสติ

ล้อมวงพูดคุยกับปราชญ์ชาวบ้าน โจน จันได ในวงสนทนา ‘อริยสัจ’ จัดโดย พรรณวรท รัตนาภิญญาวงศ์ ในหัวข้อ ‘เผชิญความกลัวด้วยสติ’ พร้อมกับรับฟังเพลงพิณแก้ว จากการบรรเลงของ อาจารย์วีรพงศ์ ทวีศักดิ์

โจน จันได

 

     โจนได้เล่าถึงการก้าวข้ามผ่านชีวิตในแต่ละช่วงวัยของตัวเอง จากเด็กชนบทไร้เดียงสาและมีความสุขเต็มเปี่ยม กลายเป็นคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน เดินทางเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ที่สะดวกสบายทันสมัย แต่กลับรู้สึกขาดพร่องภายในอย่างรุนแรง จนกระทั่งได้ทบทวนตัวเอง แล้วพาตัวเองหวนกลับคืนสู่ชีวิตที่แท้ แต่ละช่วงชีวิตของเขาเผชิญหน้ากับความกลัวแตกต่างกันไป เขาได้ก้าวข้ามแต่ละช่วงเวลานั้นมาด้วยสติ การคิดไตร่ตรอง และมองโลกตามความเป็นจริง หลังจากเล่าเรื่องราวบทเรียนอันล้ำค่าจากชีวิตของตัวเองมาครบถ้วน เขาก็เปิดให้ผู้คนในวงสนทนาได้นำความกลัวของตัวเองออกมาแลกเปลี่ยน แล้วทุกคนก็ช่วยกันอภิปรายและแบ่งปันความคิดเห็นซึ่งกันและกัน

 

01 กลัวความเจ็บป่วย กลัวความมั่นคงในชีวิต

     วันหนึ่งผมเกิดป่วยขึ้นมา เป็นหวัดหายใจไม่ได้ จึงรู้สึกว่าลมหายใจนี่มันสุดยอดมาก เมื่อเราไม่สบายขึ้นมา ไปไหนไม่ได้ ถึงจะเริ่มรู้สึกว่าชีวิตนี้สั้นมาก เวลาที่เหลืออยู่เราจะทำอะไร สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เรากลับคืนมาหาตัวเอง พอไม่สบาย ไปไหนไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องอยู่กับความเจ็บป่วย นี่คือช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับตัวเองจริงๆ ซึ่งตรงนี้ผมเห็นว่าความเจ็บป่วยเป็นเหมือนครู อาจารย์ ที่คอยเตือนเราว่าอย่าประมาทนะ ชีวิตมันสั้น

     แต่ก่อนผมจะไม่คิดถึงว่าอายุยังน้อย ยังสุขภาพดี ยังทำอะไรได้เยอะ จะสำมะเลเทเมา มั่วสุมทุกอย่าง นั่นคือความประมาทในการมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นความเจ็บป่วยจึงเป็นสิ่งที่ดี คอยเตือนเราก่อนที่จะสายเกินไป เตือนเราให้กลับมาหาตัวเราเอง

     สิ่งหนึ่งที่สวนพันพรรณ คือไม่มีเงิน ไม่มีประกัน แล้วจะทำอย่างไร ผมก็รู้สึกว่ามันลำบากในตอนแรกๆ แต่ช่วงหนึ่งได้อ่านบทความใน Time magazine หลายปีมาแล้ว มีงานสำรวจชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจมากในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า 80% ของคนป่วยเกิดมาจากโลภในประกัน เกิดจากการไปหาหมอ ผมเลยกระจ่างแจ้งขึ้นมาว่า คนที่มีประกันและมีเงินมากถือว่าโชคร้าย คนที่ไม่มีประกันอาจจะถือว่าโชคดี เพราะว่าถ้ามีประกัน มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ จะรีบไปหาหมอ เพราะรู้สึกว่าไม่ต้องจ่ายเอง ประกันจ่าย หรือไม่บางคนคิดว่าจ่ายเบี้ยไปต้องใช้ให้คุ้ม

     การไม่ได้ไปหาหมอ การไม่มีประกัน ทำให้เราหันกลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น ทำงานให้พอดี กินอาหารที่ดี ไม่เครียด ความเจ็บป่วยก็จะน้อยลง มันก็จะโชคดีขึ้น อย่างไรก็ตามการเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วเราต้องทำอย่างไร

     ขั้นแรกคือผมดูแลตัวเองด้วยภูมิปัญญาพื้นบ้านก่อน ใช้พืช ดิน ใช้ธรรมชาติ การนวด ฝังเข็มรักษาโรค ถ้าสิ่งเหล่านี้หมดปัญญาค่อยไปหาการแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่ได้ปฏิเสธนะครับ แต่ใช้เป็นตัวเลือกสุดท้ายในการแก้ปัญหา เท่าที่ผ่านมาผมเป็นคนไม่มีรายได้ ไม่มีเงินเดือนเหมือนคนทั่วไป แต่ผมก็ไม่เคยกังวลเรื่องนี้เลย เพราะผมดูแลตัวเองได้ ยิ่งทดลองทำ ทดลองใช้ ยิ่งรู้ว่าหลายๆ อย่างรอบตัวเราเป็นยาได้หมดเลย มันทำให้เราสบายใจขึ้นไม่กังวล

     แต่ก่อนแม้ว่าจะมีประกันเพิ่มเติม แต่วันนี้เรารู้สึกว่าไม่จำเป็น นี่คือสิ่งที่ทำให้ไม่กลัวความเจ็บป่วย ไม่กังวลเรื่องไม่มีเงิน เพราะเรามีเวลาทำงาน ได้ใช้แรงมากขึ้น สุขภาพดีขึ้น เข้าใจอะไรมากขึ้น ถ้าเราใช้แรงน้อยลงเราจะเข้าใจสิ่งต่างๆ น้อยลง เพราะการใช้เงินคืออุปสรรคในการเรียนรู้ ยิ่งใช้เงินมากเท่าไหร่ ยิ่งเรียนรู้น้อยลง แต่ายิ่งทำมากเราจะยิ่งเข้าใจมากขึ้นด้วย อันนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ใช้มากับตัวเอง

 

โจน จันได

 

02 กลัวว่าสิ่งต่างๆ จะไม่เป็นไปตามคาดหมาย

     ผมว่าในยุคปัจจุบัน หลายๆ คนรู้สึกเหนื่อยกับความกลัวนี้ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวนะ แต่อารมณ์ที่เราไปรับรู้นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัว การคาดหมายอะไรต่างๆ คาดหมายได้ แต่ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย ต้องถือว่าดีเหมือนกันนะ เพราะว่าเราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น

     อย่างการรักผู้หญิงสักคนหนึ่ง มีคนมาปรึกษาผม เขาอกหัก ทำใจยากมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาคาดหมายว่าจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ แล้วจะไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน แต่ปรากฏว่าผู้หญิงกลับไปมีผู้ชายคนใหม่ ผมแนะนำไปว่าแบบนี้คุณต้องฉลอง เพราะถึงแม้ว่ามันไม่เป็นไปตามความคาดหมายของเรา แต่มันเป็นไปตามความถูกต้อง ตามความเป็นจริง ถ้าอยู่ด้วยกันต่อไป ก็มีแต่จะทุกข์มากขึ้น

     ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สำเร็จหรือล้มเหลว ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เหล่านั้นล้วนไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ว่าเราเข้าใจอะไร เรียนรู้อะไร ซึ่งจะทำให้เราเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ มากกว่าจะไปยึดติดกับคำว่าล้มเหลวหรือสำเร็จ เราจะไม่ให้มีความล้มเหลวในชีวิตเลยเป็นไปไม่ได้ นี่คือความเป็นจริง เราจะสำเร็จอย่างเดียวตลอดก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน ไม่อยากให้คิดว่าเป็นเรื่องเลวร้าย อยากให้คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เราได้เรียนรู้ว่าสำเร็จเพราะอะไร หรือล้มเหลวเพราะอะไร ดังนั้นต้องดีใจ

 

โจน จันได

 

03 กลัวการเปลี่ยนแปลง

     ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติของชีวิต ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นการที่เราอยากให้อะไรๆ เป็นเหมือนเดิม มันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งเป็นการฝืนความจริง อย่างผมชอบเล่าเรื่องราววันวานตอนเป็นเด็ก ผมชื่นชมมันมาก มีความสุขมาก อยากให้สิ่งนั้นกลับมาอีก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และตอนนี้ผมก็กลัวสิ่งใหม่ที่เข้ามาเหมือนกัน เพราะผมไม่รู้จักมัน แต่จริงๆ แล้วสิ่งใหม่ที่เข้ามา มันอาจจะสนุกได้เหมือนกันนะ ฉะนั้นเรากลัวการเปลี่ยนแปลงไปทำไม

     เหมือนกับนกที่เราเลี้ยง ตั้งแต่เล็กๆ เราใส่ในกรงไว้ เอากล้วยให้กินทุกวัน มันก็เติบโตขึ้นในกรง พอปล่อยให้มันไป มันกลับไม่กล้าไป มันกลัววันข้างหน้า ไม่รู้ว่าคืออะไร กลัวไม่มีกล้วยกิน กลัวว่าไม่ปลอดภัย มันเลยไม่กล้าออกจากกรง แต่ถ้าบินไปจากกรง มันอาจจะพบว่าในป่ามีกล้วยอยู่ข้างนอกนั่น กินเท่าไหร่ก็ไม่หมด มีเยอะยิ่งกว่านี้ แถมยังมีนกตัวอื่นอีกเยอะมาก มีทั้งตัวผู้ ตัวเมีย เกย์ เลสเบี้ยน มันก็จะมีเพื่อนหลากหลายมาก ฉะนั้นถ้าออกไปจะตื่นเต้นกว่า แต่ถ้าไม่ก็เหมือนเดิมไปเรื่อยๆ

     การออกไปเผชิญสิ่งใหม่ เราต้องคิดว่าเป็นความตื่นเต้นและเพลิดเพลิน ถ้าคิดแบบนี้ ความกลัวจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับเรา เราจะสนุกสนาน ที่ไหนไม่เคยไป ก็อยากไป ที่ไหนไม่เคยเห็น ก็อยากเห็น มันจะทำให้วิธีคิดของเราเปิดกว้างมากขึ้น เราจะมองภาพกว้างกว่าคนทั่วไป แต่คนที่ไม่ไปไหนเลยอยู่บ้านตลอด กลัวไม่ได้นอนที่นอนเดิม กลัวไม่ได้กินอาหารเดิม ชีวิตก็อยู่แค่นั้น ขาดความเพลิดเพลินสนุกสนาน

     ฉะนั้น จงออกไปให้ไกล ไปไกลๆ ก็จะเห็นมากขึ้น อย่ากลัวความอดอยาก อย่ากลัวความล้มเหลว อย่ากลัวอะไรทั้งสิ้น โลกเป็นของเรา เราต้องใช้ชีวิตบนโลก ไม่ได้ใช้ชีวิตในไห ต้องกล้าเผชิญ กล้าที่จะทำ กล้าที่จะลอง แล้วเราจะรู้สึกว่าชีวิตนี้สนุก มีชีวิตชีวา มีรสชาติ

 


ภาพ: พรรณวรท รัตนาภิญญาวงศ์