ย่นย่อความน่ารัก และชี้เป้าบอกพิกัดร้านกาแฟที่ต้องไปลอง ณ ฟุกุโอกะ

เพราะแรงบันดาลใจเพียงน้อยนิดจากภาพแก้วกาแฟร้อนน่ารักๆ ในร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใจกลางเมืองฟุกุโอกะ เพียงแค่นั้น กลับทำให้เราเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทาง โดยช่วงเวลาที่เราเดินทาง อากาศหนาวราว 8-9 องศาเซลเซียส บรรยากาศเวลานั้นโดยรวมยังคงเงียบสงบ แต่ทันทีที่ถึงสถานีรถไฟหลักอย่าง ฮากาตะ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ของฟุกุโอกะ เสียงจอแจของผู้คนก็กลบความเงียบนั้นโดยสิ้นเชิง ระหว่างนั้นก็ได้กลิ่นเบเกอรีบางอย่าง กลิ่นอายกาแฟจางๆ และกลิ่นเบนโตะที่โชยมาเป็นระยะๆ คล้อยหลังจากนั้นไม่นาน ภาพเมืองฟุกุโอกะที่แต่งแต้มไปด้วยต้นแปะก๊วยสีเหลือง และสีสันนานาชนิด ก็ค่อยๆ เผยโฉม เมื่อเราออกมาจากสถานี พร้อมแล้วที่จะสำรวจฟุกุโอกะด้วยรูปเพียงหนึ่งใบ

ฟุกุโอกะ

01 JR Kyushu Rail Pass

เริ่มต้นการเดินทางด้วยรถไฟ JR เราเลือกแบบ Northern Kyushu Pass 3 days ในราคา 8,500 เยน เที่ยวได้ทั่วโซนฝั่งเหนือของภูมิภาคคิวชู อาทิ จังหวัดซากะ การซื้อตั๋วก็ง่ายและสะดวกมาก ทันทีที่ลงเครื่อง ผ่านตม. เรียบร้อย เดินออกมาใกล้ประตูทางออกของสนามบินฟุกุโอกะ ก็จะพบกับเคาน์เตอร์ซื้อ JR Pass เลือกตั๋วที่ต้องการ ยื่นพาสปอร์ต กำหนดวันใช้งาน เราก็จะได้ตั๋วที่มีหน้าตาคล้ายสมุดมา 1 เล่ม ด้านในระบุวันเริ่มต้นการเดินทาง และวันสุดท้ายของการเดินทาง พร้อมชื่อนามสกุล เลขที่พาสปอร์ต ราคาและวันที่ซื้อไว้เรียบร้อย เพียงเท่านี้ เราก็ใช้ตั๋วใบเดียวเที่ยวได้ เพียงแค่ยื่นตั๋วใบนี้ที่หน้าเคาน์เตอร์รถไฟใต้ดิน แล้วเดินผ่านไปได้เลย รวมทั้งตั๋วสำหรับนักท่องเที่ยว Fukuoka Tourist City Pass 1 day ตั๋วกระดาษสีส้ม ราคา 670 เยน ใช้งานง่ายแค่ขูดวันและเดือนที่เริ่มใช้ พร้อมโชว์บัตรนี้กับเจ้าหน้าที่สถานี แล้วก็เข้าออกได้อย่างสบายใช้ได้ทั้งรถบัส รถไฟ และ JR บางขบวน เรียกว่าคุ้มค่าสุดๆ

ฟุกุโอกะ

02 Fukuoka City Subway

ส่วนการเข้าเมืองก็ไม่ยาก ด้วยรถไฟใต้ดินจากสถานีฟุกุโอกะแอร์พอร์ต ไปยังสถานีต้นทางอย่างฮากาตะ ในราคาเพียง 260 เยน ด้วยการซื้อตั๋วที่เครื่องอัตโนมัติ กดเลือกเมนูภาษาอังกฤษ จิ้มสายรถไฟ หยอดเหรียญ หรือสอดแบงค์ 260 เยน ตั๋วเล็กๆ สีส้มก็ออกมาพร้อมใช้งานทันที

ฟุกุโอกะ

03 Fukuoka Town

ฟุกุโอกะ เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ที่มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิม ผสมผสานไปกับความเป็นเมืองใหม่ได้อย่างลงตัว อาทิ สถานีฮากาตะที่อัดแน่นไปด้วยห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และร้านขายของต่างๆ ประดับประดาด้วยไฟหลากสี ชวนเที่ยวทั้งกลางวันและกลางคืน

ศาลเจ้าคูชิดะ ที่โดดเด่นด้วยต้นแปะก๊วย (Gingko) ขนาดยักษ์ด้านข้างศาลเจ้า อายุกว่า 1,000 ปี

วัดโทโชจิ วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.806 เห็นได้แต่ไกลด้วยเจดีย์สีแดงสดสูง 5 ชั้น ด้านในของวัดมีพระพุทธรูปปางสมาธิทำจากไม้ขนาดใหญ่ขนาด 16.1 เมตร

ทั้งหมดอยู่ในรถไฟสายสีส้ม และลงสถานี Gion Station อีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้คือ Ruins of Fukuoka Castle ซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่ของปราสาทฟุกุโอกะ ตั้งแต่สมัยเอโดะ ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณของสวนสาธารณะ Maizuru อันงดงาม ส่วนการเดินทางไม่ยาก ยังคงใช้รถไฟใต้ดินสายสีส้ม แล้วลงที่สถานี Ohorikoen Station ทางออก 5 แล้วเดินเลาะริมลำธารชมวิวเพลินๆ ไม่นานก็ถึง

ฟุกุโอกะ

04 Stereo Coffee

ที่นี่นั่นเองคือต้นตอของการเดินทางของเรา สเตอริโอ คอฟฟี่ ร้านกาแฟไซซ์เล็กสองชั้น ไม่ไกลจากสถานี Watanabe-Dori ที่นี่ปรับปรุงจากบ้านหลังเก่าอายุราว 14 ปี โดยคงคานและเสาไม้หลักต้นเดิมไว้ ก่อนปรับปรุงให้มีลุกส์เท่ขึ้น ด้านล่างเป็นเคาน์เตอร์ชงกาแฟ สามารถนั่งที่บาร์ชมการดริปกาแฟ ชมหยดน้ำจากการ cold brew ฟังเสียงเครื่องเอสเพรสโซแมชชีนพร้อมชิมอเมริกาโน ที่เจ้าของได้กล่าวว่า นี่แหละคือเสียงดนตรีแห่งความสุข โดยใช้กาแฟเป็นตัวขับกล่อม คลอด้วยเพลงอะคูสติกนุ่มๆ ส่วนด้านบนจะปูพื้นด้วยไม้เนื้ออ่อน ตัดกับโครงเหล็กเส้นบาง เปิดเป็นแกลเลอรีหมุนเวียนชื่อว่า AND อีกทั้งยังเป็นร้านกาแฟเปิดแต่เช้าตรู่ 8.00-20.00 น. สำหรับเราที่นี่คือความไม่คาดหวังที่สมหวังดังใจเสียจริง

ฟุกุโอกะ

05 Manu Coffee Jotenji

มะนุ คอฟฟี่ โจเท็นจิ ร้านกาแฟขนาดย่อมตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Gion จุดเด่นของร้านนี้คือใกล้กับวัดโจเท็นจิอันเก่าแก่ ภายในให้ความรู้สึกอบอุ่นด้วยเคาน์เตอร์ยาวที่ทำจากไม้ต้นการบูร เท่ด้วยพื้นปูนขัดมันวาว แถมยังมีสวนเล็กๆ หลังร้านให้นั่ง จากจุดนี้จะเห็นกำแพงอิฐวัดโจเท็นจิได้ด้วย ที่นี่ยังคั่วเมล็ดกาแฟเอง มีเมล็ดกาแฟโปรไฟล์ดีๆ ที่เป็นเอกลักษณ์จำหน่าย แถมยังขึ้นชื่อเรื่องกาแฟดริปแบบร้อนหรือเย็นที่มาในรูปแบบซองกระดาษ ราคาน่ารัก และยังเป็นร้านกาแฟที่เปิดเช้ามากเริ่มตั้งแต่เวลา 07.00-17.00 น. ช่างเป็นการดื่มกาแฟยามเช้าพร้อมวิวดีๆ ที่ feel good จริงๆ

ฟุกุโอกะ

06 Kia Ora BudgetStay

คิอะ โอระ บัดเจ็ตสเตย์ ภายนอกดูเหมือนซามูไรใส่เกราะสีดำดูท่าเกรงขาม แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปกลับพบความเป็นกันเองอย่างน่ารักของสตาฟฟ์ที่บริเวณเคาน์เตอร์เช็กอิน ระบุป้ายชื่อพร้อมสัญชาติ มีทั้งคนไทย ญี่ปุ่น และเกาหลี สลับหมุนเวียนกันมาให้บริการ ส่วนเราพบกับหนุ่มชาวญี่ปุ่นเป็นคนแรก มารยาทอ่อนน้อมจนแอบเขินอาย และเมื่อเช็กอินเรียบร้อย เขาจะแนะนำส่วนต่างๆ ของโฮสเทล อาทิ โซนกินข้าว ห้องส่วนกลาง ตกแต่งด้านหนึ่งด้วยโต๊ะญี่ปุ่นซุกผ้าห่ม อีกส่วนเป็นบาร์หันหน้าติดกระจก ก่อนจะนำไปยังห้องพักด้านบน มีทั้งแบบโดมแยกนอนชายหญิง ห้องพักแบบส่วนตัวขนาดเล็ก มาพร้อมกับเตียงนอนไม้สองชั้น และห้องอาบน้ำไซซ์พอดีตัวแต่กลับมีอ่างอาบน้ำให้นอนแช่แก้หนาว ทุกอย่างดูดีทั้งที่พัก ราคาห้อง สำหรับเราให้คะแนนแบบเทหน้าตักไปที่สตาฟฟ์มากกว่า (หลงรัก!)

ฟุกุโอกะ

07 Dazaifu Train

ส่วนอีกหนึ่งสถานที่ที่กดอินสตาแกรมแล้วพบก็คือดาไซฟุ เมืองเล็กๆ ที่ติดกับฟุกุโอกะ เดินทางด้วยรถไฟสีหวานสีฟ้าพาสเทล และสีชมพูพาสเทลสุดวินเทจ สามารถเลือกซื้อตั๋วเดินทางแบบเหมารวมพ่วงฟุกุโอกะอีกสักวันด้วย Fukuoka City and Dazaifu Pass 1 day ตั๋วกระดาษสีฟ้า ราคา 1,340 เยน ไม่ต้องเขียนชื่อ ใช้ง่ายเหมือนตั๋วสีส้มด้านบน เราเดินทางไปดาไซฟุเริ่มต้นกันที่สถานี Nishitetsu Fukuoka Station ติดกับสถานีรถไฟใต้ดิน Tenjin เพื่อไปเปลี่ยนสาย Dazaifu Line ที่สถานี Nishitetsu และลงที่สถานี Dazaifu นั่นเอง

ฟุกุโอกะ

08 Dazaifu Tenmangu Shrine

ไฮไลต์ของที่นี่คือ ‘สะพานไม้โค้งชันสีแดงสด’ เชื่อมต่อพื้นที่ด้านนอกและศาลเจ้าเทนมากุดาไซฟุด้านใน ตามลักษณะการสร้างสะพานโค้งจะแบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนเชื่อกันว่าเป็นตัวแทนของ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นอันสอดคล้องกับความหมายทางพุทธศาสนาคือ ‘การปล่อยวาง’ พร้อมปล่อยให้ต้นไม้น้อยใหญ่โอบล้อมความรู้สึกท่วมท้น

พลันแว่วเสียงกระพรวนที่ดังมาจากศาลเจ้า โดยที่มาของเสียงคือผู้คนที่พากันมาขอพรโดยการโยนเหรียญห้าเยน โค้งสองที สั่นกระดิ่ง ตบมือสองครั้ง แล้วให้คำมั่นกับตัวเองว่า จะทำอะไรต่อไป แล้วโค้งอีกหนึ่งที เป็นอันเสร็จพิธี ก่อนชมสถานที่อื่นๆ โดยรอบ

ฟุกุโอกะ
ภาพ : ศรัญญา โรจน์พิทักษ์ชีพ

09 Dazaifu Food

ปล่อยวางกับจิตใจ แต่ไม่ปล่อยให้ท้องหิว เราขอแนะนำร้านอาหารตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ซ่อนอยู่ในอาณาบริเวณศาลเจ้า ที่นี่จะเสิร์ฟชาเขียวร้อนคลายหนาวเป็นอันดับแรก ก่อนจะยื่นเมนูพร้อมภาพประกอบมาให้เลือก คุณป้าเจ้าของร้านแนะนำเซตอาหารกลางวันราคา 1,500 เยน ประกอบไปด้วยหมูทอดทงคัตซึ สลัดแตงกวา โซบะคลุกมะเขือเทศ ซุปมิโสะ ข้าวสวย และไข่ปลาพอลล็อคและปลาคอด อาหารขึ้นชื่อของฟุกุโอกะรสชาติออกเผ็ดๆ หนักไปทางเค็มมาก (มาก)

แต่กินข้าวยังไม่ทันหมดก็มีคนส่งความรักมาด้วยโมจิย่างไส้ถั่วแดงชิ้นโตเนื้อนุ่มกลิ่นหอมยั่วยวน 4 ชิ้น โดยคุณป้าเจ้าของร้านพยักพเยิดไปทางคุณลุงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเรา เป็นอันรู้กันว่า คุณลุงคงเอ็นดู ให้กินฟรีๆ ถือว่าเป็นการต้อนรับเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นอีกวิธีหนึ่งที่แสนน่ารัก ชนิดที่เอาใจเราไปฟรีๆ ได้เลยเช่นกัน