‘ซากะ’ ที่ซึ่งทุกอย่างขยับช้าลง จนเป็นภาพเคลื่อนไหวแบบสตอปโมชัน

จังหวัดซากะ ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของภูมิภาคคิวชู ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น เป็น จังหวัดเล็กๆ แต่แวดล้อมไปด้วยทะเล ภูเขา บ่อน้ำร้อน และสถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง พร้อมทั้งการคงประเพณีและวัฒนธรรมโบราณมาหลายช่วงอายุคน บรรยากาศที่น่าหลงใหลของซากะส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงคาบเกี่ยวไปยังหน้าหนาวเหมือนๆ กับภูมิภาคอื่นของประเทศ

แต่ความงามไม่ได้เป็นเพียงสีสันแห่งฤดูกาลของซากะ เพราะเวลาที่นี่ใน 24 ชั่วโมง จะทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างขยับช้าลง จนกลายเป็นเหมือนภาพเคลื่อนไหวแบบสตอปโมชัน ที่นานๆ ครั้งเราจะได้เห็นรถบ้านคันจิ๋วขับผ่านหน้าเราสักคัน ถนนของเมืองนี้จึงสะอาดสะอ้านราวกับว่าไม่ค่อยได้ใช้งานมากเท่าไหร่นัก ผู้คนต่างหลบซ่อนความหนาวอยู่ในบ้าน หรือทำอาหารอยู่ในร้านค้า หรือไม่ก็ทำงานในสถานีรถไฟ เสียงที่ได้ยินส่วนใหญ่ หากไม่รวมเสียงนกแล้ว ก็คงจะได้ยินเพียงเสียงประกาศของเจ้าหน้าที่จากชานชาลาในสถานีรถไฟเท่านั้นที่ดังชัดกว่าเสียงอื่นๆ รอบข้าง

ในขณะที่เมืองเงียบสงบ ความเคลื่อนไหวเล็กๆ อย่างน้ำใจและการช่วยเหลือผู้อื่นของชาวญี่ปุ่นก็มีให้สัมผัสเสมอ ทั้งๆ ที่บนถนนหนทางแทบจะนับผู้คนและจำนวนรถที่แล่นผ่านได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องการความช่วยเหลือ เพียงครู่เดียวเท่านั้น ชาวญี่ปุ่นใจดีก็จะปรากฏกายให้เห็นเหมือนกับเป็นเทวดานางฟ้าประจำสถานที่นั้น

ทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ซากะเท่านั้น ยังเกิดขึ้นกับสามเมืองเล็กรอบๆ ซากะอย่าง คะชิมะ เมืองแห่งตำนานสาเกที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง คะระซึ เมืองแห่งประวัติศาสตร์ที่มีเทศกาลแห่เกี้ยวโบราณริมทะเลเป็นไฮไลต์ และทาเคโอะ เมืองอันแสบสงบที่ถูกป่าโบราณยึดครอง ทั้งหมดคือเมืองชนบทที่ห่างไกลจากซากะออกไปราวๆ หนึ่งชั่วโมง

หากชีวิตต้องการความเนิบช้า ให้เวลาละเลียดกับความสงบ อินไปกับนานาความเชื่อ และประทับใจไปกับการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ของชาวเมือง ซากะและ 3 เมืองเล็กนี้ คงเป็นคำตอบและหมุดหมายที่น่าสนใจ

_

KASHIMA

_

คะชิมะ เมืองแห่งตำนานสาเก และศาลเจ้าที่บูชาเทพเจ้าแห่งกสิกรรมมาตั้งแต่โบราณ เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องเหล้าสาเก ในอดีตเป็นศูนย์กลางแห่งการกลั่นเหล้าสาเกมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 16 และยังคงมีโรงกลั่นดั้งเดิม ทำหน้าที่ผลิตสาเกที่ดีที่สุดบนเกาะคิวชูไว้อีกหลายแห่ง เกิดเป็นเทศกาลประจำปีที่ดึงดูดนักชิมสาเกทั่วโลก

แต่เราไม่ได้แวะไปชิมสาเก เราตั้งใจไปชมความงดงามของ ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ ตามตำนานของศาลเจ้าแห่งนี้ ว่ากันว่า สมัยเอโด ตระกูลนาเบะชิมะ ผู้ปกครองเมืองซากะ ได้สร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นเพื่อเทพเจ้าญี่ปุ่นนามว่า อินาริ เทพเจ้าแห่งกสิกรรม นำพาผลผลิตทางการเกษตรมาให้กับชาวบ้านมาอย่างยาวนาน โดยมีสุนัขจิ้งจอกเป็นบริวารหรือผู้ถือสารเทพเจ้า รวมทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าองค์อื่นๆ อีกมากมายที่นำพาสิ่งดีๆ ให้กับเกิดขึ้นแก่คนในเมือง

แต่ก่อนที่เราจะได้ไปสัมผัสตำนาน ความเชื่อและความอลังการของศาลเจ้ายูโทคุอินาริ เราได้สัมผัสกับรอยยิ้มและน้ำใจของคุณฮิโรกะ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเมืองคะชิมะ ก่อนเป็นอันดับแรก

“พวกคุณหนาวกันมา มีอะไรให้ฉันช่วยไหม” ทันทีที่เห็นเราเปิดประตูเข้ามา เจ้าหน้าที่หญิงคนนี้รีบถามพร้อมคว้ามือเราไปถูเบาๆ เพื่อคลายหนาว เราจะบอกเป้าหมายพร้อมขอคำแนะนำ เธอยิ้มแล้วกุลีกุจอหยิบโบรชัวร์มาให้ พร้อมผายมือไปที่สถานีรถบัสบริเวณด้านข้างศูนย์บริการฯ โดยไม่ลืมย้ำกับเราว่า หลังจากที่ซื้อตั๋วคนละ 320 เยนแล้ว ให้ขึ้นรถบัสที่ป้ายหมายเลข 3 พร้อมกำชับกับเราว่าให้รีบเดิน เพราะอีกไม่ช้ารถบัสก็จะมาถึง ถ้ามัวแต่โอ้เอ้เดี๋ยวได้ตกรถกันพอดี

ส่วนกระเป๋าเดินทาง เธอขยิบตาหนึ่งทีเป็นอันรู้กันว่ารับฝากโดยไม่เสียเงิน ส่วนเราโค้งแรงๆ หนึ่งทีกล่าวว่า “อะริกะโต้โกะซะอิมะสุ” ด้วยสำเนียงแปร่งๆ ก่อนจะออกจากศูนย์บริการฯ ไปท่ารถบัส

รถบัสท้องถิ่นมาตรงเวลา ขับช้าๆ ขึ้นภูเขาไปเรื่อยๆ และมาสิ้นสุดที่ท่ารถปลายทางบริเวณปากทางเข้าศาลเจ้า จากจุดนี้จะพบกับร้านรวงเล็กๆ สองข้างทาง และเสาโอโทริสีแดงเข้มตั้งตระหง่าน และในไม่ช้าศาลเจ้าสีแดงขนาดใหญ่ก็เผยโฉม เราเลือกเดินขึ้นไปชมความสวยงามและอลังการได้ด้านบนศาลเจ้า

เราเห็นวิวหมู่บ้านเบื้องล่าง แว่วเสียงน้ำไหลจากธารน้ำเล็กๆ หน้าศาลเจ้า ประสานไปกับเสียงนกที่คลอเป็นจังหวะ ทุกอย่างของที่นี่เหมือนวงดนตรีธรรมชาติที่โอบล้อมเรา ราวกับร่วมแสดงความยินดีที่เรามาเยือน

_

KARATSU

_

คะระซึ เมืองริมทะเลที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายประวัติศาสตร์ และเทศกาลแห่เกี้ยวเก่าแก่อันศักดิ์สิทธิ์มากว่าร้อยปี  รถไฟสีเหลืองจี๊ด โบกี้เดี่ยว รหัส Y-DC125 เทียบชานชาลาได้สักพัก เสียงประกาศการเคลื่อนขบวนก็ดังขึ้น สายตาของเรามองไปที่วิวท้องนากว้างๆ สิ่งหนึ่งที่เห็นไปตลอดทางคือความน่ารักของคนขับรถไฟ ทันทีที่ถึงสถานี หากเห็นว่ามีผู้โดยสารสูงวัยมารอขึ้น เขาจะลงไปประคองคนชราเหล่านั้นด้วยตัวเองขึ้นมาเสมอ

เราเดินทางมายัง ศูนย์จัดแสดงเกี้ยวแห่ เสียค่าเข้าชม 300 เยน แล้วเข้าไปพบกับความอลังการของเกี้ยวโบราณอลังการ ซึ่งใช้แห่ในเทศกาลคะระซึ คุนชิ เทศกาลใหญ่ประจำปี ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 2-4 พฤศจิกายนของทุกปี

ถัดไปไม่ไกล ป้ายชี้นำระบุจุดที่น่าสนใจอย่างคฤหาสน์ยุคเมจิ ของ ทาคาโทริ โคเรโยชิ นักธุรกิจถ่านหินผู้ร่ำรวยของเมืองนี้ ซึ่งสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1850 ตัวอาคารผสมผสานเสน่ห์ตะวันออกและตะวันตกไว้ได้อย่างลงตัว ด้านในไม่ให้ถ่ายภาพ แต่ก็คุ้มค่ากับราคาค่าเข้าชมคนละ 510 เยน ทุกอย่างยังคงสมบูรณ์ ไม้แต่ละชิ้น บานประตู กรอบหน้าต่าง เสื่อตาตามิ ทุกอย่างยังดูดีเหมือนมีคนอาศัยอยู่จริงๆ

ลมทะเลและเสียงคลื่นจากบริเวณด้านหลังของคฤหาสน์ เหมือนเป็นเสียงชักชวนให้เราเดินไปยังปราสาทคะระซึอันเก่าแก่ที่อยู่คู่เมืองมาช้านาน แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เราไปถึงต้องเจอกับป้ายปิดปรับปรุง แต่โชคยังเข้าเราอยู่บ้างที่ยังสามารถเดินขึ้นไปชมวิวทะเลบนระเบียงปราสาทได้

เรามุ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งของสะพานข้ามทะเล แล้วประกาศกร้าวว่า จะเดินผ่านอุโมงค์ป่าสนสีดำตรงนั้น และจะแวะกินเบอร์เกอร์คะระซึ แน่นอน มิชชั่นนี้เราทำสำเร็จ กับการเดินในระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร เราได้กินเบอร์เกอร์อุ่นๆ ขนมปังที่กรอบนอกนุ่มใน ไส้เป็นเนื้อหมูผสมเนื้อวัวฉ่ำน้ำซอส ผักกาดแก้วกรอบ และชีสหนารสเค็ม กัดคำแรกแทบลอยได้

_

TAKEO

_

ทาเคโอะ เมืองแสบสงบที่ถูกป่าโบราณแห่งความเงียบยึดครอง เมืองที่ใกล้กับซากะมากที่สุด โดยนั่งรถไฟเพียงไม่กี่สถานีเท่านั้น ที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องบ่อออนเซน และโดดเด่นด้วยประตูสีแดงอลังการปากทางเข้าบ่อน้ำร้อนที่สร้างมาจากอิฐสีแดงตั้งแต่สมัยไทโชปีที่ 3

เพราะการหลงทิศแท้ๆ ทำให้เราไม่ได้ไปแช่ออนเซน แต่กลับถูกความเงียบที่แพร่มาจากป่าโบราณดึงดูดให้เราเข้าไปเยี่ยมชม แต่ก่อนที่จะถึงป่าโบราณอันเป็นที่ตั้งของต้นคุสึโนะกิ หรือต้นการบูรยักษ์ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในป่าไผ่ บริเวณด้านหลังของศาลเจ้าทาเคโอะ และร้านขนมปังเพียงแห่งเดียวของที่นี่ที่เปิดตอนเช้าก็ดึงตัวเราไว้ด้วยกลิ่นหอมที่โชยออกมา

ร้าน Natural Bakery ขายขนมปังไซซ์เล็กสไตล์คันทรี ตั้งอยู่หัวมุมถนนริมแม่น้ำ ด้านในตกแต่งด้วยไม้สนสีอ่อน กลิ่นเนย กลิ่นแป้งอบใหม่ๆ จากครัวที่อยู่ด้านหลัง คลอด้วยเพลงจิงกาเบลเบาๆ ชวนให้นั่งอยู่ในร้านจนแทบไม่อยากลุกไปไหน เราตัดสินใจเดินต่อไปยังจุดมุ่งหมายเดิมอีกครั้ง โดยในระหว่างทาง เราพบว่าบริเวณหน้าบ้านบางหลัง ได้เปลี่ยนพื้นที่จอดรถให้เป็นแปลงผักแบบยกสูงเหนือตัวบ้าน มีผักกาดช่อโต หัวไชเท้าหัวใหญ่ ส้มยูซุอีกสองสามต้น เป็นการจัดสรรพื้นที่ได้ดีทีเดียว

เพียงไม่นานเราก็ถึงศาลเจ้าทาเคโอะ ทันทีที่เดินขึ้นบันไดหินสู่ด้านบน เราพบกับกำแพงหินก้อนใหญ่สูง ครึ้มไปด้วยมอสสีเขียวตั้งตระหง่าน ทางด้านขวามือคือต้นไม้เก่าแก่สองต้น ชาวญี่ปุ่นเรียกว่าต้นไม้สามีภรรยา ต้นไม้แห่งความหวัง หากใครมาผูกกระดิ่งพร้อมอธิษฐานจะได้แต่งงานในเร็ววัน

ทางด้านซ้ายมือเป็นทางเดินสู่ดงไผ่สูงชะลูดที่ขึ้นจนแน่นชัด และเบื้องหน้าก็คือต้นการบูรยักษ์อายุกว่า 3,000 ปี ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ประจำศาลเจ้า มีความเชื่อว่ามีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ในต้นไม้ คอยปกป้องดูแลศาลเจ้าและชาวเมืองมายาวนาน ทำให้ชาวเมืองรักและศรัทธา จึงให้ต้นไม้นี้เป็นตัวแทนของการมีอายุยืนและมีความรักที่ยืนยาว โดยในทุกวันนี้ต้องล้อมด้วยรั้วไม้เตี้ยๆ เพื่อป้องกันการเข้าถึงและมือไปสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ

_

SAGA

_

ซากะ เมืองเล็กที่เงียบที่สุดในบรรดาสามเมืองที่ผ่านมา เวลาเช้าของที่นี่ยังคงนิ่งสนิทเหมือนกับเมืองถูกกดปุ่มพอสไว้ หากจะแวะดื่มกาแฟหรือหาของกิน ต้องเข้าไปในด้านในสถานีรถไฟซากะเท่านั้น ซึ่งไหนๆ ก็มาแล้วก็ไม่ควรพลาดกับชุดข้าวเบนโตะราคาเป็นมิตรสักกล่อง แต่ถ้ามาช่วงสายๆ หน่อย แนะนำให้แวะกินราเมงหมูชาชูหลังสถานีซากะสักชาม ก็อิ่มกำลังดี

กลับมาที่เมืองซากะ ที่นี่เป็นอีกเมืองที่เดินเล่นได้ แต่เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการทำเวลา ให้นั่งรถเมล์ท้องถิ่นไปลงตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จะดีกว่า อย่างที่ปราสาทซากะ ปราสาทไม้ขนาดเล็ก ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลนาเบะชิมะ ไดเมียวแห่งเมืองซากะ แต่กว่าจะพบกับทางเข้าปราสาทก็หลงทิศอยู่นาน สุดท้ายก็ได้รับความช่วยเหลือจากเด็กหญิงนักเรียนมัธยมสองคนที่บังเอิญปั่นจักรยานผ่านมา พวกเธอกระโดดลงจากจักรยาน แล้วจูงจักรยานพาเราไปยังทางเข้าปราสาทซากะจนได้

การหลงทิศหลงทางของเรายังไม่หยุดแค่ที่ปราสาทซากะ เราเดินวนอยู่ในเมืองอยู่นาน เดินผ่านร้านกาแฟ 03 Coffee ที่ตั้งใจจะมาไปสองรอบ เมื่อเจอร้าน กลับพบว่ามันปิด! แต่ไม่เป็นไร ซากะยังมีทีเด็ดรอเราอยู่ นั่นคือ Light Up Saga การแสดงแสงสีเสียงที่เริ่มเวลาประมาณทุ่มครึ่ง ณ ชั้นบนสุดของศาลาว่าการเมืองซากะ

บนนั้นมีแค่ฉันกับแสงสีส่องออกนอกตัวตึกที่ฉายลงไปยังเมืองซากะ เกิดเป็นภาพเรื่องราวของเมือง และความประทับใจของฉันก็ถูกตรึงไว้ ณ ที่แห่งนั้นโดยไม่รู้ตัว

ฮะจิเมะมะชิเตะ ซากะ …ยินดีที่ได้รู้จักนะ ซากะ