Puss in Boots: The Last Wish | การเดินทางตามหาคุณค่าของชีวิต

        Puss in Boots คือ แอนิเมชันที่เล่าเรื่องของเจ้าแมวลายส้มจอมเจ้าเล่ห์ หนึ่งในตัวละครที่แตกออกมาจาก Shrek เจ้ายักษ์เขียวที่เอานิทานปรัมปราหลายๆ เรื่องมายำและเรียงร้อยเป็นเรื่องราวใหม่ที่สุดแสบ โดย Puss in Boots ภาคแรกนั้นออกฉายในปี 2011 และมีภาคต่อในชื่อ Puss in Boots: The Last Wish ที่เข้าฉายช่วงปลายปี 2022 พร้อมกับกวาดคำชมของนักวิจารณ์และคนดูอย่างล้นหลาม

        เนื้อเรื่องของ ‘Puss in Boots: The Last Wish’ นั้นเรียบง่ายแต่กลับลึกซึ้งและกลมกล่อม จนกลายเป็นแอนิเมชันที่เด็กๆ ดูได้สนุก ส่วนผู้ใหญ่เองก็ได้กลับไปคิดถึงทบทวนถึงคุณค่าของการมีชีวิตไปด้วย เรียกว่าผ่านไป 11 ปี แอนิเมชันเรื่องนี้ได้กลับมาพร้อมกับการเติบโตขึ้นของกลุ่มแฟนเก่าที่เคยได้ดูภาคแรก และมัดใจเด็กๆ กลุ่มใหม่ได้อย่างอยู่หมัด 

        การผจญภัยครั้งนี้ของ Puss in Boots ตั้งอยู่บนเส้นเรื่องง่ายๆ ว่า มันจะทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าตัวเองนั้นได้ใช้ชีวิตสำรองไปจนหมดแล้ว (ตามความเชื่อที่ว่ากันว่าแมวนั้นมีเก้าชีวิต) และนั่นได้เปลี่ยนแปลงตัวตนของ Puss in Boots จากจอมโจรที่ไม่เคยเกรงกลัวกับเรื่องอะไร บ้าบิ่น และกล้าได้กล้าเสี่ยงกับความตายมาตลอด กลายเป็นปมในใจที่เอาแต่วิ่งหนีและหลบซ่อนตัวไม่กล้าใช้ชีวิตสุดท้ายแบบเดิมๆ และปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นแมวที่ไร้ชีวิตชีวา

        แน่นอนว่าเมื่อเนื้อเรื่องเปิดมาแบบนี้ คนดูก็เดาออกอยู่แล้วว่าหลังจากนี้ต่อไปจะเป็นการออกผจญภัยของมันเพื่อเรียกจิตวิญญาณของตัวเองกลับมา และค้นพบบทเรียนอะไรบางอย่างที่ทำให้เจ้าเหมียวรู้จักคุณค่าของการมีชีวิตที่แท้จริง

        แต่ในความธรรมดาของเส้นเรื่องนี้ทีมเขียนบทก็แตกเรื่องราวและเพิ่มมิติของเนื้อหาลงไปจนกลายเป็นความไม่ธรรมดา ผ่านตัวละครหลักของเรื่องได้อย่างเหลือเชื่อ Puss in Boots ภาคนี้จึงไม่ได้เทน้ำหนักไปที่ตัวละครเอกเท่านั้น แต่มันคือการผสมผสานแง่มุมของตัวละครเข้าไว้ด้วยกันจนออกมาเป็นเส้นเรื่องที่แข็งแรงและเป็นตัวแทนในมิติต่างๆ ของชีวิต

        เริ่มจากตัว ‘Puss in Boots’ คือ ตัวละครที่เล่าถึงความสิ้นหวัง ความกลัวที่เกิดขึ้นในชีวิต และการเดินทางนั้นก็พามันไปสู่การละทิ้งอีโก้ของตัวเอง และการเปิดอกยอมรับความจริงอย่างกล้าหาญ

        ‘Kitty Softpaws’ กับบทบาทของตัวละครที่สื่อถึงเรื่องของการให้อภัย และยอมรับกับความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งเธอให้แง่คิดกับเราว่า บางเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เราสามารถปล่อยเบลอเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกผิดบาปให้กับใครบางคนได้เหมือนกัน

        ‘Perrito’ เป็นตัวละครใหม่ในภาคนี้ ซึ่งเป็นสุนัขจรจัดที่หลงทางมาเจอกับ Puss in Boots โดยตอนแรกนั้นเราจะพบว่ามันก็เป็นตัวละครบ๊องๆ เหมือนกับเป็นตัวแทนของ Donkey ลาพูดมากใน Shrek แต่กลายเป็นว่าตัวละครนี้กลับได้ใจคนดูอย่างไม่น่าเชื่อ และกลายเป็นตัวมันเองด้วยซ้ำที่เป็นเหมือนคนชี้นำให้เจ้าแมวส้มได้รู้ว่าคุณค่าของชีวิตที่แท้จริงนั้นคืออะไร

        นอกจากตัวละครหลักสามตัวของเรื่องแล้ว ตัวละครเสริมอย่าง ‘Goldilocks and the Three Bears’ ก็ไม่ได้มาแค่เป็นตัวประกอบเฉยๆ เพราะครอบครัวหมีสามตัวกับหนึ่งเด็กสาวผมทองนี้ ก็มีเส้นเรื่องของตัวเองที่พูดถึงเรื่องครอบครัวเอาไว้อย่างเนียนๆ ส่วน ‘Wolf’ ที่รับบทเป็นยมทูตผู้ไล่ตามเก็บชีวิตสุดท้ายของ Puss in Boots ก็ได้ใจคนดูไปไม่น้อยเช่นกัน

        อาจจะมีแค่ตัวร้ายของเรื่องนั่นคือ ‘Jack Horner’ ที่ (น่าจะ) ซื้อใจคนดูได้น้อยหน่อย แต่มิติของตัวละครก็สะท้อนถึงปมบางอย่างให้ได้คิดว่า หากชีวิตเอาแต่ยึดติดอยู่กับเรื่องเดิมๆ ในอดีต เราก็อาจจะกลายเป็นคนอย่าง Jack Horner ที่เห็นแก่ตัวและไม่เคยนึกถึงคนอื่น หรือกลายเป็น Puss in Boots แมวที่เอาแต่หนีปัญหา และใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังเพียงเพราะกลัวที่จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นก็ได้

        ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของ Puss in Boots: The Last Wish ที่คงไม่ถือว่าเป็นการสปอยล์ เพราะในแอนิเมชันความยาว 101 นาทีเรื่องนี้ มีรายละเอียดมากมายให้เราได้ตามเก็บและเอาไปคิดตามเยอะแยะไปหมด จนอาจจะต้องตีตั๋วมาดูใหม่อีกรอบ เพราะอาจจะเอาแต่หัวเราะไปกับมุกตลกที่ใส่มาแบบไม่หยุด กิมมิกเกี่ยวกับของวิเศษในเทพนิยายเรื่องต่างๆ และสายตากลมโตของ Puss in Boots ที่ครั้งนี้มีการหักมุมจนต้องหัวเราะกันจนเกือบตกเก้าอี้

        แต่เมื่อหนังจบลงในขณะที่คุณกำลังเดินจากโรงหนัง เราเชื่อว่าต้องมีสักแวบบ้างแหละ ที่ฉุกคิดถึงเนื้อหาบางอย่างที่อยู่ในแอนิเมชันนี้ และอาจจะถามกับตัวเองว่าตอนนี้เราค้นพบความหมายของการมีชีวิตของตัวเองหรือยัง


เรื่อง: ทรรศน หาญเรืองเกียรติ