101 ปี ยังแซ่บ! ไอริช แอพเฟล เจ้าแม่แฟชั่นที่อายุไม่สามารถทำอะไรเธอได้

        ก่อนเขียน Sliver Lining คราวนี้มีความรู้สึกอยากประนมมือเหนือหัวก่อนจะเริ่มเคาะคีย์บอร์ด เนื่องจากเธอคนนี้อายุ 101 ปีแล้ว และที่ส่องจากอินสตาแกรม iris.apfel เธอยังดูแข็งแรงสดใสสำหรับคนอายุเกินร้อย แม้จะขยับตัวน้อยกว่าแต่ก่อน แต่สุ้มเสียงยังสดใสได้อารมณ์ขึงขังโปกฮาแบบบ้านๆ เหมือนเดิม เรื่องอายุนี่เธอเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร People ไว้ว่า

        “ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างอะไรจากเมื่อสามสี่ปีก่อน ทีมหมอเขาดูแลฉันยังกะไข่ในหิน จริงๆ แล้วจะทำอะไรฉันก็ระวังอยู่นะ เพียงแต่ไม่มีแผนสุขภาพจริงจัง ตัวฉันกินของมีประโยชน์ ไม่ดื่มน้ำอัดลม นานๆ จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และนานน้านจะขยับออกกำลัง เรื่องนี้มันอยู่ที่มุมมอง ฉันรู้จักคนอายุ 30 ที่แก่แล้ว และรู้จักคนอายุ 90 ที่ยังไม่แก่ ทุกอย่างมันอยู่ที่ทัศนคติของเรา มองโลกอย่างไร มันก็สะท้อนออกมาทางรูปร่างหน้าตาเราอย่างนั้น”

ชื่อ: ไอริส แอพเฟล
เกิด: ค.ศ 1921 อายุ 101 ปี
อาชีพ: นักธุรกิจ แฟชั่นไอคอน นักตกแต่งภายใน นางแบบ
Silver Lining ที่เราอยากพูดถึง: ตัวตนเข้มข้นซึ่งเอ่อล้นจนผู้คนสัมผัสได้ ทัศนะต่อชีวิต และความเป็นคนหนึ่งที่ ‘ทำให้ความแก่ดูเจ๋ง’

 

 

        ปี 2014 เป็นวาระที่โลกรู้จักเธอเมื่อสารคดีเรื่อง Iris ออกฉาย จำได้ว่าตอนนั้นแว่นกรอบหนากลมอันโตๆ และสร้อยเส้นเขื่องเรืองรองด้วยสีสันและรูปทรงอยู่ในเทรนด์อยู่พักหนึ่ง แต่ ไอริส แอพเฟล ดังมาก่อนหน้านั้น

        ปี 2005 เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการ (ก่อนหน้านั้น วงการตกแต่งภายในและสังคมชั้นสูงของนิวยอร์กรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้แต่งตัวเก่ง – สมัยนี้เรียกว่ามีสไตล์ – และมีความคิดอ่านของตัวเองพร้อมอารมณ์หยันโลกชนิดตาใส ในแบบฉบับของชาวอเมริกันเชื้อสายยิว) เมื่อเธอกลายเป็นหัวข้อของนิทรรศการชื่อว่า Rara Avis หรือ Rare Bird: the Irreverent Iris Apfel (สตรีที่หาตัวจับยาก: ไอริช แอพเฟล ผู้หญิงขวางโลก) ที่สถาบันเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย Metropolitan Museum of Art หรือ The MET สถาบันอันทรงพลังในเรื่องของสไตล์และแฟชั่น เรียกว่านิทรรศการที่นี่เป็นตัวกำหนดทิศทางของแฟชั่นโลกก็ว่าได้ มันเริ่มจากการที่คนในวงการรู้ดีว่าเธอแต่งตัวเก่งและมีทัศนะที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร

        เธอเล่าถึงเรื่องการจัดนิทรรศการนี้จากบทสัมภาษณ์ว่า “ตอนแรกก็ตกลงกันกับทีมงานว่าจัดเป็นงานเล็กๆ เอาเครื่องประดับมาจับคู่กับเสื้อผ้า สวมให้หุ่นสักห้าตัว แล้วเจ้าหน้าที่มิวเซียมก็ขอไปดูเสื้อผ้าที่บ้าน แรกๆ ฉันไม่ยอมนะ ไม่อยากให้ใครมายุ่มย่ามที่บ้าน แต่พอโดนตื๊อมากๆ ก็ต้องหยวน พออนุญาต พวกนางมาแล้วมาอีก ขนเสื้อผ้าข้าวของไปเป็นคันรถ นิทรรศการที่ว่าเล็กๆ เลยกลายเป็นเล่นใหญ่เต็มพื้นที่ ใช้เสื้อผ้าฉัน เครื่องประดับฉัน แต่งบนหุ่นเก้าสิบกว่าตัว คนแต่งก็คือฉัน (ซึ่งตอนนั้นอายุราวแปดสิบจ้า) นิทรรศการคราวนั้นถือว่าพิเศษมาก เพราะปกติสถาบันฯ จะเลือกเฉพาะคนที่เป็นนักออกแบบชื่อดัง หรือไม่ก็ถึงแก่กรรมแล้ว กรณีของฉันนับว่าเคราะห์ดีที่ไม่ได้เป็นทั้งสองอย่าง”

        ก่อนหน้านั้น ไอริส แอพเฟล เป็นใครและทำอะไร

        เธอเกิดที่เขตควีนส์ในนครนิวยอร์ก เรียนมาทางด้านศิลปะ ต่อมาแต่งงานกับสามีชื่อคาร์ล (อายุยืนเช่นกันแต่จากไอริสไปก่อน) เธอกับสามีทำธุรกิจตกแต่งภายใน และเห็นช่องทางการค้า เมื่อหาผ้าที่ใช้แต่งบ้านในสไตล์โบราณมาใช้ไม่ได้ จึงคิดว่าถ้าอย่างนั้นเราสั่งทำเองแล้วขายเองไม่ดีหรือ จึงตั้งบริษัทชื่อ Old World Weavers ต่อมาเธอกับสามีรับงานตกแต่งภายในให้ทำเนียบขาว ตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองมาจนถึงประธานาธิบดีคลินตัน หน้าที่การงานของนักธุรกิจที่ต้องทำมาหากินกับคนรวยทำให้เธอต้องออกงานสังคม และเธอเป็นคนที่แต่งตัวออกงานได้อย่างสวยสนุกไม่แคร์ใคร ด้วยเสื้อผ้าซึ่งเต็มที่ด้วยสีสันและลวดลาย จับคู่ชนิดสนุกอย่างไร้กฎเกณฑ์กับเครื่องประดับท่วมคอ และแว่นทรงกลมบ๊อกอันโตเบ้อเริ่ม ทั้งหมดนี้มาอยู่บนตัวหญิงชราคนนี้แล้วดูดีมาก

        เธอพูดไว้ในเรื่องของการแต่งตัวว่า “สไตล์ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของเรา ทำตัวตามแฟชั่นหรือแต่งตัวให้ดูดีมีรสนิยมมันพอจะสอนกันได้ แต่สไตล์มันอยู่ที่ใจ อยู่ที่ทัศนะ วิธีมองโลก วิธีคิด วิธีที่เรานำเสนอตัวตนให้โลกเห็น จะให้มีสไตล์นั้นง่ายมาก คือเราต้องเป็นตัวของเราเอง อย่าไปลอกสไตล์คนอื่นมาเป็นของเรา สไตล์สอนกันไม่ได้ ไม่รู้เด็กสมัยนี้เขาคิดอะไรกัน อยากแต่งตัวเหมือนๆ กัน เห็นแล้วหดหู่ เพราะเสียดายแทนลูกหลานๆ ตัวตนของเราน่ะสำคัญสุด”

        ปี 2014 สารคดีเรื่อง ‘Iris’ ออกฉาย เป็นหนังที่คนสนใจแฟชั่นก็ต้องดู คนไม่สนใจแฟชั่นเลยก็ต้องดู สตีเฟน เดอสเตฟาโน นักเขียนการ์ตูนซึ่งเป็นเพื่อน (รุ่นน้องกว่าหลายสิบปี) ของเธอบอกว่า “รู้ไหมไอริสว่าอะไรคือความดีของหนังเรื่องนี้” คำตอบคือ “เธอทำให้ความแก่ดูเจ๋ง”

        เธอเองมีความเห็นต่อเรื่องวัยชราว่า “ฉันมองว่ารอยเหี่ยวย่นนี่เหมือนเหรียญกล้าหาญ ถ้าพระเจ้าเมตตาให้เราผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้จนทุกวันนี้ ก็อย่าไปซ่อนไปกลบรอยเหี่ยวย่นเลย ฉันไม่เชื่อเรื่องศัลยกรรม ถ้าเราเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดมามีจมูกเหมือนพินอคคิโอก็ว่าไปอย่าง คุณหลอกใครอยู่หรือคะ คือไปทำมาแล้วยังไงก็ไม่มีใครคิดว่าเราอายุ 27 หรอก เพราะอายุจริงของเราคือ 72 อีกอย่างนะ มือน่ะทำยังไงมันก็ไม่หายเหี่ยว แล้วผมหงอกมันเสียหายตรงไหน ฉันมีคนที่ฉันเองคิดว่าเขาเป็นเพื่อนมาแนะนำว่า ย้อมให้เป็นสีบลอนด์สิเธอ’ มีเรื่องบ้าๆ อะไรแบบนี้มาเรื่อยแหละ เคราะห์ดีที่สามีชอบผู้หญิงผมหงอก ฉันจึงไม่เคยย้อมผมเลย”

        หลังจากเป็นแฟชั่นไอคอนได้พักหนึ่ง แบรนด์ต่างๆ ก็เริ่มติดต่อให้เธอมาร่วมงาน มีตั้งแต่ขายเสื้อผ้าเครื่องประดับออนไลน์ จนถึงเล่นหนังโฆษณาให้รถยี่ห้อซีตรองของฝรั่งเศส งานเยอะขนาดนี้เธอจึงเข้าสังกัด IMG บริษัทตัวแทนนางแบบระดับโลก

        คุณความดีของไอริส นอกจากจะช่วยให้ความหวังว่าคนแก่ยังมีเรื่องสนุกได้อีกมากแล้ว เธอยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมากในเรื่องของความสุขและสะสางความสับสนในเรื่องตัวตน เธอเล่าว่า “ฉันเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเข้ามาขอบอกขอบใจใหญ่ บอกว่า คุณเปลี่ยนชีวิตฉัน ซึ่งจริงๆ ก็ได้ยินอะไรแบบนี้มาเยอะ แต่ไม่เคยคิดละลาบละล้วงถามต่อ แต่วันนั้นนึกยังไงไม่รู้ ซักไปว่า เปลี่ยนชีวิตเขายังไง เขาก็เล่าว่าตั้งแต่สาวมาจนอายุเจ็บสิบ ชอบซื้อเครื่องประดับนะ เอามาใส่ตามแฟชั่น แต่ใส่ยังไงมันก็ไม่สวย แต่พอได้มาดูนิทรรศการของฉัน เธอก็ตาสว่าง เธอบอกว่า เออ พอดูแล้วจึงรู้ว่าเรานี่แหละสวยได้โดยไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร เธอเลยเริ่มลองโน่นลองนี่ จนเจอแบบที่เธอชอบ เธอยังบอกอีกว่านอกจากจะรู้ว่าเราสวยได้โดยไม่ต้องเหมือนใครแล้ว ตอนนี้มันมาถึงขั้นที่เราไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนคนอื่นอีกต่อไป เธอบอกว่าข้อสรุปแบบนี้ในชีวิตทำให้เธอมีความสุขมาก”

        ตรงกับที่ ไอริส แอพเฟล เองชอบพูดเสมอว่า “เป็นตัวของตัวเองค่ะ คือเครื่องประดับที่สวยที่สุด”


เรื่อง: ภาณุ บุรุษรัตนพันธุ์