กันต์ กันตถาวร เป็นหนึ่งในนักเดินทางที่ออกตามหายอดเขาแห่งความสำเร็จมาตลอดชีวิต เส้นทางที่ผ่านมาของเขานั้นดูคล้ายการผจญภัยที่ท้าทาย จากวัยเด็กที่พ่อสอนเรื่องความรับผิดชอบแบบนักเลง กลายเป็นเด็กเกเรที่รักดีจากรั้วจุฬาฯ ก่อนจะก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงในฐานะนายแบบ ดีเจ จนกระทั่งเป็นนักแสดงระดับพระเอกอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
กันต์เป็นนักเดินทางผู้มากความสามารถ โชคชะตาและจังหวะทำให้เขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของภูเขาแห่งชีวิตได้ในวัยเพียงสามสิบต้นๆ เขาได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงเงินทอง ได้ความรักและการยอมรับจากคนดูทั่วประเทศ โดยไม่มีใครคาดคิด กันต์ตัดสินใจกระโดดจากยอดเขาแห่งนั้น มาเดินบนเส้นทางใหม่ที่แม้แต่เขาก็ไม่อาจรู้ถึงจุดหมาย บนเส้นทางของอาชีพพิธีกร และความสำเร็จของรายการ I Can See Your Voice, แฟนพันธุ์แท้ Super Fan และ The Mask Singer เป็นเครื่องพิสูจน์ความมุ่งมั่นและพลังของผู้ชายคนนี้ได้อย่างดี
“
ผมถูกสอนมาตลอดว่า การทำงานคือการแลกเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ถ้าคนเราหยุดพัฒนาหรือคิดว่าตัวเองเก่งเมื่อไหร่ เราก็จะหยุดอยู่แค่นั้นแหละ
”
—
Break the Ice
—
ตอนถ่ายรูปเห็นคุณส่งเสียงโวยวายและโผงผาง นั่นเป็นคาแร็กเตอร์ที่แท้จริงของคุณเหรอ
เป็นวิธีการทำงานของผมมากกว่า คือสำหรับการทำงานกับคนที่ยังไม่สนิทกัน การโวยวายเป็นการ break the ice ก่อนการทำงาน อย่างวันนี้เราไม่เคยเจอกัน ก่อนเริ่มผมเลยต้องบอกว่า เดี๋ยวผมโวยวายเสียงดังนะ เพื่อสร้างบรรยากาศให้การทำงานสนุก ผมเชื่อว่าน่าจะทำให้อะไรๆ ออกมาดี แต่ถ้าเครียดทุกอย่างก็จะดูเกร็งไปหมด ไม่ใช่แค่เรา แต่จะส่งผลไปถึงช่างภาพ ช่างไฟ หรือคนคุมมอนิเตอร์ ซึ่งถ้างานไม่สนุก เราจะทำงานแบบให้มันเสร็จๆ ไป
เวลาของทุกคนมีค่า เราต่างมีสิ่งอื่นที่ต้องไปทำ ชีวิตมันไม่ใช่แค่วันนี้ต้องทำงานให้เสร็จ คนหนึ่งคนมีหลายหน้าที่ หลายบทบาท วันนี้คุณนัดผมเช้าตรู่ ผมก็ต้องรับผิดชอบ แปดโมงครึ่งผมต้องพร้อมทำงาน วิธีนี้ทำให้ทำงานได้เร็ว พองานเสร็จเร็วทุกคนก็แฮปปี้ ไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องลุ้นว่าจะไม่ทัน กลายเป็นว่าพวกเราสนุกกว่า สบายกว่า มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีค่าในชีวิต ดีกว่าที่จะต้องมานั่งทำอะไรแบบขอไปที ถ้าเราเคารพเพื่อนร่วมงานหรืออาชีพของเราแล้ว การทำงานทุกอย่างก็จะมีความสุข
ยังมีหลักการทำงานในแบบของกันต์แบบอื่นๆ อีกไหม
มีอีกหลายหลักนะ ผมว่าคนเราถูกเพาะบ่มด้วยประสบการณ์และวิธีทำงานหลากหลายรูปแบบ จากการเก็บเล็กผสมน้อย จากอาจารย์หลายๆ คนในชีวิต เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ผ่านการทำงานกับคนโน้นคนนี้ โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนที่แก่กว่า บางทีเด็กใหม่ก็สอนเราด้วยซ้ำ
ผมถูกสอนมาตลอดว่า การทำงานคือการแลกเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ถ้าคนเราหยุดพัฒนาหรือคิดว่าตัวเองเก่งเมื่อไหร่ เราก็จะหยุดอยู่แค่นั้นแหละ แต่ถ้าเราพร้อมจะเปิดประตู การเรียนรู้มันไม่มีที่สิ้นสุด
คุณพ่อสอนคุณมาแบบไหน
ผมเป็นนักเลงนะ แล้วคนที่ยิ่งกว่าผมก็พ่อผมนี่แหละ (หัวเราะ) คือเราคนจริง แต่ไม่ได้ระรานใคร ไม่ใช่อันธพาล ผมแค่รู้สึกว่า ความถูกต้องคือความถูกต้อง อันนี้ไม่ได้พูดถึงกระบวนการทางกฎหมายหรือสังคม แต่เรื่องที่ถูกต้องก็ควรจะทำให้ถูก เรื่องไหนไม่ถูกต้องก็ไม่ควรจะปล่อยไป ผมถูกสอนมาตลอดเรื่องความรับผิดชอบ สำนึกผิดชอบชั่วดี ความตรงต่อเวลา และการไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทุกสิ่งรวมกันแล้วเหมือนพ่อสอนให้ผมใจนักเลง
พ่อสอนผมว่า จะทำอะไรสักอย่างต้อง ‘เลือก’ และต้อง ‘แลก’ เช่น ถ้าผมอยากเล่นบาส ซึ่งเขาก็รู้นะว่าการเล่นกีฬาเป็นสิ่งที่ดี แต่การเรียนก็ต้องไม่เสีย เขาจึงจะยอมให้เล่น มันเหมือนการแลกกันด้วยความรับผิดชอบ เป็นการสอนทางอ้อมของพ่อมาโดยตลอด ถ้าคุณอยากทำสิ่งหนึ่งโดยไม่เดือดร้อนใคร คุณก็ต้องแลกมาด้วยอีกสิ่งหนึ่งเสมอ
พกทัศนคตินี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าวงการเลยหรือเปล่า
ตั้งแต่เด็กๆ เลยครับ เพราะผมถูกสอนมาว่า ไม่ว่าจะทำอะไร ถ้าผลออกมาไม่ดีก็ต้องไม่แย่ เราต้องไม่เป็นตัวถ่วงของใคร ผมไม่เคยไปถึงกองสายตลอดระยะเวลาการทำงานในวงการบันเทิง มีอยู่ครั้งเดียวที่ไปสายเพราะป่วยหนัก กินยาไปสองเม็ดแล้วยับเลย นาฬิกาปลุกไม่ตื่น นัดเจ็ดโมง สิบโมงผมตื่น ไม่อาบน้ำรีบบึ่งไปกองเลย ไล่ขอโทษตั้งแต่ช่างไฟ ช่างกล้อง ผมพลาดจริงๆ ไม่มีข้ออ้างเลย ซึ่งเขาก็โอเค แต่ถามว่าผมผิดไหม ผิดเต็มๆ จนสุดท้ายทำให้เราเป็นคนสแตนด์บายก่อนเสมอ
—
Well Rounded
—
ตอนที่พลาด ไม่ได้มาตรฐาน คุณรู้สึกอย่างไร
ข้อผิดพลาดกระตุ้นให้เราอยู่ในมาตรฐานและพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก ผมมีเส้นกลางคอยวัดว่าวันนี้ทำได้เท่านี้ วันพรุ่งนี้เส้นนี้จะต้องไม่อยู่จุดเดิมแล้ว ก็เหมือนกับเวลาเราเล่นเกมที่จะต้องอัพเลเวลให้ได้ คำว่าเก่งของแต่ละคนมีความหมายไม่เท่ากัน คำว่าดีของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน สำหรับผม ผมต้องพัฒนาบรรทัดฐานนี้ให้ขึ้นไปอีก เพื่อที่จะได้พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ
พัฒนาไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุดเลยหรือ
ไม่มีครับ ขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังเรียนรู้หรือโฟกัสกับเรื่องอะไร ผมเชื่อว่าเส้นชีวิตของคนเราไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นเหมือนวงกลมมากกว่า เพียงแต่ว่ามันจะกลมเมื่อไหร่เท่านั้นเอง เรามีชีวิต การทำงาน ครอบครัว ความรัก และเพื่อน เป็นจุดปักอยู่ในมุมต่างๆ
บางครั้งวงกลมของเรากลายเป็นวงรี บิดเบี้ยวไปตามความสนใจ มันไม่กลมทุกด้าน เพราะเราไม่สามารถใส่ใจทุกเรื่องได้พร้อมกันหมด เมื่อเราใส่ใจเรื่องการทำงาน วงกลมเราก็จะเอียงไปด้านงาน หรือบางคนใส่ใจเพื่อนมากก็จะเอียงไปอีกฝั่ง ใส่ใจครอบครัวมากก็เอียงมาอีกทาง เราจะใส่ใจบางอย่างพร้อมกับที่หลงลืมบางอย่างเสมอ บางคนบ้างาน ครอบครัวพัง หรือบางคนโฟกัสเพื่อน ชีวิตแฮปปี้ แต่มึงไม่ทำการทำงานเหรอวะ มันเป็นอย่างนี้ตลอดสำหรับชีวิตมนุษย์ จนวันหนึ่งผมรู้สึกว่าผมอยากได้วงกลมของผมคืนมา
ก่อนหน้านี้วงกลมชีวิตคุณเป็นอย่างไร
เป็นวงรีครับ รีจนแทบจะเป็นเส้นตรงเลย เอียงไปทางการทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่ เจ็ดวันผมไม่มีวันหยุดเลยสักวันตลอด 3 ปี เพราะผมก็เหมือนคนทั่วไปที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าเรียนจบมาให้มีงานดีๆ ทำ จะได้เลี้ยงตัวเอง ดูแลพ่อแม่ได้ จะได้มีครอบครัวที่ดี จุดโฟกัสหลังการเรียนจบ ร้อยทั้งร้อยคือการหางานดีๆ ที่ได้สตางค์เยอะๆ ถ้าคุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแปลว่าชีวิตคุณดี
ผมไม่ได้มองว่าความคิดนี้ผิด แต่ไม่มีใครบอกเราว่าเรียนจบแล้วไปมีชีวิตที่ดีนะ พอผมมานั่งคิด เออ จริงว่ะ ไม่เคยเห็นมีใครเคยบอกกูเลยว่า มึงไปทำชีวิตมึงให้ดี มีแต่สอนให้ไปหางานจะได้มีเงิน ถ้าถามผม มันไม่ใช่แค่เรื่องของผมแล้วล่ะ มันเป็นเรื่องมหภาค เพียงแต่ว่าอยู่มาวันหนึ่งเราตกผลึกว่าการมีงานดีๆ ทำมันก็ดี แต่คนเราไม่ได้ต้องการแค่งานที่ดีอย่างเดียวตลอด สุดท้ายแล้วหากเรามีความสุขคือจบ ความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
ตอนนั้นชีวิตย่ำแย่แค่ไหน แล้วเราได้บทเรียนอะไรจากตรงนั้นบ้าง
มันไม่ได้ถึงขนาดย่ำแย่หรอก มันดี คนเราเมื่อเริ่มทำงานสิ่งที่อยากได้อย่างแรกคือ งินเดือนที่สูงขึ้น การยอมรับที่มากขึ้น การพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น มันคือทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ แล้วพอเรามีเงินเดือนดี มีความปลอดภัยในชีวิต สักพักเราก็จะอยากได้เงินเดือนมากขึ้นอีก ถามว่าเงินเดือนมากขึ้น คุณกินเยอะขึ้นเหรอ ก็ไม่ แต่คุณจะเลือกกินของที่ดีขึ้น แพงขึ้น มีประโยชน์มากขึ้น สักพักคุณจะเริ่มอยากได้ self-actualization คือความภูมิใจในตัวเองและการยอมรับจากคนอื่น นี่คือชีวิตมนุษย์ และถ้าเรายังไม่ได้ทุกอย่าง เราจะไม่หยุดขวนขวาย ไม่หยุดที่จะไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ
สำหรับผมก็เหมือนกัน เราเข้ามาทำงานแรกๆ ก็อยากมีงานเยอะกว่านี้ เพราะคิดไปว่าการมีงานเยอะๆ มันเท่ฉิบหาย ถ้าคนถามว่าทำอะไรอยู่ แล้วตอบว่าถ่ายละครเรื่องเดียวมันไม่เท่เท่าเราตอบว่า กูถ่ายละคร 3 เรื่อง ถ่ายแม่ง 7 วันไม่ได้พัก ตอนนั้นผมคิดว่าชีวิตแบบนี้มันโคตรเท่เลย
ผมประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายในการทำงาน 7 วันมาแล้ว นอกจากนี้ตลอดระยะเวลา 3 ปี ผมมีบริษัทอีก 5 แห่งที่ต้องบริหารจัดการ ผมไม่มีวันหยุด ต่อให้มีงานถ่ายละครแค่ครึ่งวัน ตัวว่าง แต่หัวไม่เคยได้ว่าง ต้องคิดโน่นคิดนี่ตลอด ตอนนั้นถ้าคุณเป็นนักแสดงด้วยกันมองมา คุณอาจรู้สึกว่า โห มึงทำได้ไงวะ แต่ถ้าถามผมตอนนี้ ชีวิตมันไม่ใช่วงกลม แต่แทบจะเป็นเส้นตรงแล้ว
ความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับผมคือการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ปัจจุบันผมอายุ 32 ปี ผมมีความปลอดภัยในชีวิต แล้วยังได้ self-actualization ผมยังได้ความฝันที่กลายเป็นความจริงด้วย ผมมีรถที่อยากมี มีบ้านที่เป็นบ้านในฝัน มีชีวิตที่อยากได้ ผมกินอะไรโดยไม่ต้องดูราคา ไม่ได้กระแดะ แต่เราถูกปลูกฝังมาด้วยเรื่องของตัวเงินเสมอ แต่ถ้าคุณเป็นอิสระจากมันแล้วจริงๆ คุณจะเลือกโดยไม่ดูราคา จะเอาบ้านหลังนี้ จะซื้อรถคันนี้ ซึ่งปัจจุบันผมคิดว่าผมสามารถทำแบบนั้นได้
พอคุณบรรลุทฤษฎีมาสโลว์ห้าระดับหมดแล้ว แล้วทีนี้ไปไหนต่อ
ย้อนกลับมาตรงนี้ก่อน คือผมไม่ได้เรียกร้องบ้านแบบคฤหาสน์ เพราะผมก็ไม่รู้จะมีคฤหาสน์ไว้ทำไม ผมมีหมาแค่ 7 ตัว เต็มที่เลยก็คือแต่งงานอยู่กับแฟน ผมไม่ได้อยากได้รถแลมโบกินีหรือเฟอรารี เพราะถนนเมืองไทยขับไม่ได้ สุดท้ายแล้วความต้องการของผมก็คือ self-actualization ในรูปแบบของความเป็นจริง ไม่ได้เพ้อเจ้อ ผมถึงกล้าพูดว่าผมบรรลุอิสรภาพของผมในเรื่องนั้นแล้ว เพราะชีวิตนี้มึงจะกินมื้อละหมื่นสักกี่วันกัน สุดท้ายก็อยากกินข้าวกะเพราไข่ดาว ฉะนั้น เส้นความต้องการทั้ง want และ need ผมก้าวผ่านมันมาแล้ว
ทีนี้ที่ถามว่าบรรลุครบห้าระดับแล้วต้องการอะไรต่อ คำตอบง่ายๆ คือผมต้องการความสุข ผมต้องการบาลานซ์ในวงกลมชีวิตเท่านั้นเอง
แล้วตอนนี้กลมหรือยัง
ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีอะไรเป็นบรรทัดฐานที่วัดได้ว่าตอนนี้ชีวิตกลมหรือไม่กลมได้เลย แต่มันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นมองเรายังไงหรอก มันอยู่ที่เรามองตัวเองยังไงมากกว่า วันนี้ผมรู้สึกว่าชีวิตผมมีความสุข ผมทำงานกับพวกคุณ ผมเชื่อว่าพวกคุณก็มีความสุข คนรอบตัวผมมีความสุข พอคนเราเลิกแคร์สิ่งที่ไม่ควรแคร์เมื่อไหร่ เราจะมีอิสระมากขึ้น
—
Human Being
—
ฟังดูเหมือนคุณเข้าใจปกติวิสัยของชีวิต ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าความเป็นมนุษย์คืออะไร
จริงๆ แล้วความเป็นมนุษย์อาจจะไม่มีหรอก มนุษย์คือสัตว์สังคม คนเราเปลี่ยนไปทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นวงการบันเทิงหรือวงการไหน เคยเห็นใช่ไหมที่คนชอบพูดว่า แหม มึงดังแล้วเปลี่ยน เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย ถามจริงๆ เถอะ ถ้าวันนี้คุณเป็นพนักงานพิมพ์ดีด แล้วอยู่ๆ ได้เป็นหัวหน้า คุณจะยังนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างเหมือนเดิมไหม ที่ใครถามว่ากันต์เลือกงานเหรอ บอกเลย ‘เลือก’ แต่ไม่ได้เลือกเพราะความเรื่องมาก ผมเลือกเพื่อให้คนรอบตัวมีความสุขที่สุด
คือกลับมาดูวงกลมของตัวเอง แล้วค่อยเลือก?
ถูกครับ ตอนผมทำงาน 7 วัน ผมไม่ได้มีความทุกข์นะ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำ เพราะผม ‘เลือก’ แล้วที่จะทำแบบนั้น พอทำได้แล้วผมจะไปไหนต่อ คำตอบคือผมรู้สึกว่ามันเริ่มไม่บาลานซ์ ประสบความสำเร็จจริง ได้สตางค์เยอะจริง แต่พอมีคนมาถามว่าพี่กันต์ทำอะไรอยู่บ้าง ผมไม่ได้ภูมิใจกับคำตอบที่ว่าทำงาน 7 วันอีกแล้ว กลับรู้สึกว่า ทำไมชีวิตมึงดีกว่ากูวะ ถ่ายละคร 3 วัน มีวันว่างอีก 4 วัน วันนี้เจอเพื่อน วันนี้เจอแฟน วันนี้เจอพ่อแม่ ทำไมเราอยากกลับไปเป็นอย่างนั้น นั่นแสดงว่าเป้าหมายที่เราวางไว้ กับความสำเร็จที่เราได้ มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ
คิดได้แบบนี้แล้วก็ตกผลึกตัวเองมาเรื่อยๆ เริ่มตั้งคำถามว่าจริงๆ เราอยากได้อะไร เพราะสุดท้ายเรารู้แล้วว่าความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นคนละอย่างกับความสำเร็จในชีวิต ผมอาจประสบความสำเร็จในการทำงาน แต่ความสำเร็จในชีวิตของผมคือการเลี้ยงดูตัวเองได้ เลี้ยงดูครอบครัวได้ มันคือทฤษฎีมาสโลว์ทั้งหมดบนความเป็นจริงอย่างที่บอก ซึ่งยังตอนนั้นผมยังทำไม่ได้
“
อยู่มาวันหนึ่งเราตกผลึกว่าการมีงานดีๆ ทำมันก็ดี แต่คนเราไม่ได้ต้องการแค่งานที่ดีอย่างเดียวตลอด สุดท้ายแล้วหากเรามีความสุขคือจบ ความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
”
อยากรู้ว่าช่วงเวลาที่ชีวิตเกือบเป็นเส้นตรงแบบนั้น มันรู้สึกว่างเปล่าไหม
ก็ไม่เชิง แค่มันไม่ได้มีความสุขสุดๆ แบบที่ฝันไว้ เหมือนวันนี้คุณอยากกินไอศกรีม พอคุณได้กิน มันควรจะรู้สึกโคตรฟิน แต่กินไปสักพักกลับรู้สึกว่า แล้วไงต่อ เลยเกิดคำถามกับตัวเองว่า หรือนี่ไม่ใช่เป้าหมายจริงๆ ของเรา
ผมเลยเริ่มพยายามบิดวงกลมออกมาให้กว้างขึ้น หลังจากที่ถูกสภาพแวดล้อมบังคับให้บีบแบนแบบนั้นมาตลอด ผมกินข้าวกับแม่ไม่ได้เพราะทำงานแต่เช้า ผมไปงานแต่งงานเพื่อนไม่ได้เพราะเลิกกองดึก ก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่ การงานสำเร็จแต่ชีวิตกูจะพังแล้วเนี่ย เพื่อนไม่ชวนกินเหล้าแล้ว เหมือนเรื่องไร้สาระแต่เจ็บจริง ชวนสิบทีมาทีเดียว เขาก็ไม่ชวนแล้วล่ะ หรือกับแฟน เราไม่มีเวลาให้ ไม่มีเวลาไปกินข้าวที่เขาอยากกิน ดูหนังที่เขาอยากดู แถมยังไม่มีคำต่อว่าสักคำ เขาบอกไม่เป็นไร เรารู้เธอทำงานอยู่ โห แม่งเจ็บกว่าโดนด่าอีก หรือพ่อแม่ไม่ได้กินข้าวกับเราเลย แค่มื้อเดียวก็ยังหาเวลาไม่ได้ กลายเป็นแม่ต้องเอาอาหารมาแขวนให้หน้าบ้านก่อนออกไปทำงาน น่าปวดใจมาก จำได้เลยว่าวันนั้นเป็นวันที่ปวดใจมาก
จากวันนั้นก็เลยเปลี่ยน แต่ก็ไม่สามารถออกมาจากตรงนั้นได้ทันที เพราะทุกอย่างเป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง ต้องเริ่มจากค่อยๆ เฟดบางอย่างออก ตอนแรกก็เสียดาย พอมาตกผลึกจริงๆ แล้วไม่เสียดายเลย เริ่มเฟดไปทีละอย่าง ละครที่จะเข้ามาใหม่ ผมไม่รับเพราะอยากพัก บริษัท 5 บริษัท ก็ให้ลูกน้องไปดูแลแทน จากที่เมื่อก่อนไม่ยอมปล่อยอะไรเลย เริ่มให้แฟน ให้หุ้นส่วนดู ก็มีตะขิดตะขวงใจแหละเพราะมันคือการเปลี่ยนวิถีชีวิตเรา แต่พอปล่อยไปสักพักมันเริ่มบาลานซ์ วงรีของผมที่เคยแคบๆ ก็เริ่มขยายกว้างขึ้น ทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น มีเวลากินข้าวกับแฟน มีเวลากินเหล้ากับเพื่อน ได้รอยยิ้มจากคนที่รักเรา กลายเป็นว่าชีวิตของผมเริ่มจะกลับมาเป็นวงกลมได้ บาลานซ์เริ่มกลับมา
—
Happiness is…
—
แล้วตัวตนของกันต์จริงๆ เป็นอย่างไร
ผมเป็นคนสนุกสนาน ผมอยากได้เสียงหัวเราะจากคนรอบตัว และผมมีความสุขกับคอเมดี้ ไม่ใช่แค่ละครตลก แต่หมายถึงรอยยิ้มและความสุขรอบๆ ตัว พอเราสร้างรอยยิ้มให้คนอื่นแล้วได้แรงผลักดันกลับมา เรามีความสุข มันเลยส่งผลให้การเป็นพิธีกรของผมเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องเป็นใครหรือรักษาลุกส์อะไร
จากความสำเร็จของงานพิธีกรที่ผ่านมา การถูกนำไปเปรียบเทียบกับ คุณปัญญา นิรันดร์กุล ทำให้กดดันบ้างไหม
สองมุมนะ ถ้าพูดกันแบบมนุษย์ปุถุชนทั่วๆ ไป เวลาคุณโดนเปรียบเทียบว่าคุณเก่งเหมือนกับระดับ the legend หรืออะไรทำนองนั้น มุมหนึ่ง มันภูมิใจฉิบหาย แต่สองคือเราจะกดดัน เพราะสุดท้ายไม่มีใครรู้จักตัวเราดีเท่ากับตัวเอง ผมไม่ใช่ expert ในการเป็นพิธีกร ผมยังยืนยัน ผมแค่เป็นคนที่เรียนรู้เร็วเท่านั้นเอง ผมทำพิธีกรมาไม่นานมาก ยังเป็น beginner เพราะฉะนั้น ผมไม่สามารถพูดได้ว่าผมเก่ง อย่าเปรียบเทียบผมกับ พี่ตา ปัญญา เลย แต่อย่างไรก็ขอบคุณ เพราะมันคือความภูมิใจนะที่มีคนถามว่า เราจะเป็นพี่ตาหรือเปล่า นั่นแสดงว่าเขาเห็นว่ามันมีลู่ทาง มีศักยภาพจะเป็นได้ แต่สุดท้าย ผมว่าไม่มีใครเป็น ปัญญา นิรันดร์กุล 2 ได้หรอก สมมติถ้าผมจะเก่งจริงๆ มันต้องเป็น ‘กันต์’ ที่เก่ง ผมต้องสร้างตัวตนของผมเองมากกว่าที่จะต้องไปเหมือนใคร
คุณใช้ชีวิตรวมไปกับการทำงาน แล้วคุณคิดว่าความสุขนั้นสุดท้ายแล้วอยู่ที่ตรงไหน
สุดท้ายความสุขในการทำงานก็คือการใช้ชีวิตให้มีความสุข อย่างคุณ ถ้าคุณไม่ชอบงานนี้ คุณอยู่ไม่ได้หรอก ไม่นานคุณก็ไป คุณต้องชอบพูดคุยกับคนอื่น แล้วก็ต้องมีวาทศิลป์ที่ดีพอที่จะดึงให้เขาตอบ ไม่อย่างนั้นคุณก็จะถามผมแค่ตามสคริปต์ พี่ทำอะไรอยู่ พี่ชอบกินอะไร แค่นั้น
สุดท้ายถ้าเราได้ทำสิ่งที่ชอบและมีความสุข แล้วสิ่งนั้นยังสามารถให้ชีวิตเราดีได้ ชีวิตมันก็แค่นั้นเอง สำหรับผม ผมได้ทำในสิ่งที่รักนั่นคือการแสดง ผมได้ทำในสิ่งที่ชื่นชอบและรักมากนั่นคือการเป็นพิธีกร โดยที่ยังสามารถทำให้วงกลมชีวิตของผมบาลานซ์ได้ด้วย ผมถึงบอกว่าชีวิตของผมตอนนี้มีความสุข
ภาพ : มณีนุช บุญเรือง สไตลิสต์ : Hotcake