หากใครติดตามผลงานของวงดนตรีคอนเซ็ปต์ผู้สูงวัยอย่าง ‘เดอะ ชราภาพ’ ก็คงจะเคยเห็นคุณลุงมาดเข้มคนหนึ่ง ที่มักแต่งตัวเป็นวัยรุ่นสุดชิค สวมแว่นกันแดด และโพสต์ท่าเท่ๆ เหมือนเด็กสยามยุค 90s
คนๆ นั้นก็คือ ‘ลุงหมาน’ – สมาน ผลานิสงค์ ชายรุ่นเก๋าอายุย่าง 70 ที่ไม่ยอมทำตัวแก่ แถมยังมีทัศนคติต่อชีวิตที่น่าสนใจ จนเราอยากพาคุณไปสำรวจเส้นทางชีวิตของเขาคนนี้ ว่าในอดีตเขาผ่านอะไรมาบ้าง และสิ่งไหนที่ประกอบร่างให้เขากลายเป็นลุงรุ่นใหญ่ที่เฟี้ยวฟ้าวได้ขนาดนี้
ลุงหมานมาเป็นส่วนหนึ่งของวงเดอะ ชราภาพ ได้ยังไง?
ตอนนั้นเราทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่คอนโดฯ ของนิรันดร (มือเบสวงเดอะ ชราภาพ) ซึ่งช่วงนั้นพวกเขากำลังหาคนแก่มาขึ้นภาพปกของวงอยู่พอดี และด้วยความที่เราเองก็เป็นคนชอบทำอะไรสนุกๆ อยู่แล้ว ก็เลยรีบตอบตกลงไป ตอนนั้นใช้เวลาคิดอยู่ 2 นาทีเองมั้ง (หัวเราะ)
ง่ายๆ แบบนั้นเลย?
ใช่ แค่นั้นแหละ
พอมาทำจริงๆ แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?
ยากพอสมควรนะ ยิ่งตอนที่ต้องร้อง ต้องพูด มันไม่ใช่เรื่องที่เราถนัดเท่าไหร่ แต่พอให้โพสท่าถ่ายรูปจะสบายมาก (หัวเราะ) ตอนแรกมันก็มีกำแพงอยู่เหมือนกันว่าเราจะทำได้หรือเปล่า จะเข้าใจน้องๆ หรือเปล่า แต่ต่างคนก็ต่างช่วยกันปรับ เพลงไหนที่เราร้องไม่ได้จริงๆ น้องๆ ก็ขอให้พูดแทน ค่อยๆ แก้ปัญหากันไป
มาอยู่กับน้องๆ แล้วรู้สึกว่าวัยรุ่นขึ้นไหม?
วัยรุ่นขึ้น รู้สึกกระชุ่มกระชวย ดีกว่าต้องนั่งห่อเหี่ยวอยู่บ้านเฉยๆ ยังจำได้เลยว่าวันที่เราไปเปิดตัวกับวงที่พารากอน เห็นคนเยอะมาก (ลากเสียง) ตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก (หัวเราะ) ได้แต่งตัวเป็น Biker แล้วออกไปเต้นด้วย ถึงตอนแรกจะรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย แต่มันก็สนุกดีนะ คือจริงๆ เราเป็นคนที่ชอบทำเรื่องสนุกๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับวงการบันเทิงแบบนี้มานานแล้วแหละ อย่างเมื่อก่อนก็เคยเป็นนักพากย์หนังกลางแปลงมาตั้ง 15 ปี พากย์หมดทั้งหนังไทย หนังฝรั่ง หนังจีน
การพากย์หนังสมัยก่อนมันเป็นอย่างไร?
ช่วงที่เราพากย์หนังประมาณปี พ.ศ. 2515-2530 เป็นการพากย์หนังกลางแปลง ก็เลยต้องเดินทางไปเรื่อยๆ ในจังหวัดต่างๆ บางครั้งเวลาได้หนังใหม่เข้ามา เราก็จะได้อ่านบทก่อน แต่ไม่เห็นตัวหนัง ทำให้เป็นเรื่องยากเสมอเมื่อต้องพากย์หนังเรื่องไหนเป็นครั้งแรก หรือบางทีหนังมันยาวมาก มี 5 ม้วน เราก็แอบขอเขาว่า ยกทิ้งม้วนหนึ่งได้ไหม ข้ามไปเลย (หัวเราะ) ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องไม่ดีนะ ถ้าสมัยก่อนมีอินเทอร์เน็ตเขาคงโพสต์ด่ากันแล้วว่าทำไมหนังสั้นจัง (หัวเราะ)
แบบนี้เคยพากย์แล้วรู้สึกเฟลไหม?
เคยสิ ยังจำได้เลยว่าเราเคยพากย์ที่กรมทหารแล้วเขาโห่ใส่ เพราะเป็นหนังสงครามที่บทยากและยาวมาก มีการยิงกัน ปะทะกัน เราก็ต้องทำเสียงซาวนด์เอฟเฟ็กต์เองด้วย ซึ่งเราทำไม่ทัน เพราะได้หนังมาวันนั้นแล้วต้องพากย์วันนั้นเลย ก็รู้สึกแย่นะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ เพราะไม่มีเวลาซ้อม แต่พอพากย์วันที่สอง ทุกอย่างเริ่มลงตัวขึ้น บางเรื่องถ้าพากย์วันที่สองหรือวันที่สามเราก็แทบไม่ต้องอ่านบทแล้ว เพราะจำได้หมดเลย จะใส่ซาวนด์เพิ่มหรือใส่มุขตลกเพิ่มก็ได้
พอหมดยุคหนังกลางแปลงแล้วลุงหมานทำอะไรต่อ?
เราก็กลับบ้านต่างจังหวัดไปอยู่กับครอบครัว ทำไร่ทำสวนปกติ แต่วันหนึ่งก็ตัดสินใจลองมาหางานทำที่กรุงเทพฯ เหมือนที่คนต่างจังหวัดทั่วไปเขาคิดนั่นแหละ มาทำงานที่กรุงเทพฯ เพราะได้เงินเยอะกว่าและได้เงินง่ายกว่า แต่ใครจะรู้ว่ามันทำให้เราได้เป็นดารากับเขาด้วย (หัวเราะ) ตอนนั้นก็ได้งานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่คอนโดฯ ของนิรันดร มือเบสของวงนี้เนี่ยแหละ
ตอนหนุ่มๆ เคยจินตนาการไหมว่าพอแก่แล้วจะมีชีวิตแบบนี้?
ไม่เคยคิดเลย ตอนนั้นคิดว่าพอแก่แล้วก็น่าจะทำไร่ทำสวนอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด เพราะมันเป็นบ้านเรา มีที่ทำกินอยู่ แต่ก็นะ บางทีชีวิตเราก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด (หัวเราะ)
ลึกๆ แล้วกลัวความชราไหม?
สมัยที่เป็นวัยรุ่น เรากลัวความชรานะ ช่วงที่อายุสามสิบ เราก็คิดฟุ้งฝันเรื่องอนาคตไปหมด กลัวนั่นนี่ กลัวความตาย มีความรักก็กลัวจะอกหัก พอสี่สิบก็จะเริ่มไม่พอใจที่ใครจะมาเรียกเราว่า ‘ลุง’ รู้สึกว่าเรายังไม่แก่ขนาดนั้นสักหน่อย แต่หลังจากเข้าเลขห้าแล้วโดนเรียกพี่ก็จะรีบบอกเขาว่า เรียกลุงเรียกตาเถอะ เราไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้แล้ว
อีกอย่างคือพอเรายิ่งอายุมาก ก็จะรู้สึกว่าเราเจอทุกอย่างมาจนเกือบครบแล้ว ทั้งทำงานหนักมากๆ หรืออกหักจนเจ็บที่สุด ทุกอย่างหลังจากนี้ก็ปล่อยให้ชีวิตมันพาเราไปเองดีกว่า
ลุงหมานอายุใกล้จะ 70 ปีแล้ว แต่ถ้าในแง่จิตใจ คิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่?
น่าจะสัก 50 กว่าๆ นะ (หัวเราะ) เราเห็นเพื่อนๆ ที่อายุ 70 เขานั่งหง่อมกันที่บ้าน แต่เรายังมีแรงที่จะทำสิ่งต่างๆ อยู่ เลยคิดว่าใจเราน่าจะพอๆ กับคนอายุ 50 แล้วกัน ไม่อยากประเมินตัวเองเด็กจนเกินไป (ยิ้ม)
จากประสบการณ์หลายอย่างในชีวิตที่ลุงเจอมา คิดว่าสุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญในชีวิตคนเราคืออะไร?
(เงียบ) ก็ต้องสู้ไป สู้ไปเท่าที่เราจะทำไหว เดี๋ยวชีวิตก็จะพาเราไปเอง แล้ววันหนึ่งก็อาจงงๆ ว่าเรามาถึงขั้นนี้ได้ยังไง อย่างลูกผมก็เคยพูดว่า พ่อทำงานทุกวัน ควรพอได้แล้ว เดี๋ยวลูกหาเลี้ยงเอง แต่เราก็บอกเขาว่าไม่เป็นไร เราทำได้ เราอยากทำ และเขายังจ้างเราอยู่ (หัวเราะ) ก็เลยทำไป อีกอย่างถ้าเราไม่มาทำงานแล้วก็คงไม่ได้มาเจอกับเดอะ ชราภาพหรอกนะ (ยิ้ม)
เดอะ ชราภาพ วงดนตรีคอนเซ็ปต์ที่ทำเพลงเกี่ยวกับวัยชรา ผ่านสายตาของคนหนุ่ม (ผู้ไม่ขอเปิดเผยใบหน้า) ทั้ง 5 คน (>> The Charapaabs <<)
ภาพ : รัชต์ภาคย์ แสงมีสินสกุล