หลายครั้งที่เราได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับร้านตัดผมของชาวญี่ปุ่นในเมืองไทย ถ้าไม่บอกว่าดีมากก็มักจะบอกว่าราคาแพง จึงทำให้เราเกิดคำถามในใจว่า แล้วจะเป็นไปได้ไหมที่ราคาและคุณภาพจะมาบรรจบกัน ณ จุดหนึ่งที่เรายินดีจะจ่ายเงินเพื่อความสวยงามที่จะได้มา และวันนี้เราก็ได้พบคำตอบที่ Rikyu by Boy Tokyo ร้านตัดผมของชาวญี่ปุ่นในเมืองไทยที่ซึ่งเราได้ใช้เวลาพูดคุยกับ โทโมมิ คิตากาวา Sales and Operation Manager ของที่นี่ ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับจากพวกเขาอาจจะมากกว่าแค่การตัดผม
“ทุกอย่างมันเริ่มมาจาก Boy Tokyo ร้านตัดผมที่โตเกียว ซึ่งปีนี้ก็จะครบ 30 ปีแล้ว เจ้าของคือคุณมาซายูกิ โมงิ ช่างผมชื่อดัง ผู้เคยเป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์ของ Vidal Sassoon ในกรุงลอนดอนตั้งแต่ยุค 1960s เขาชอบตัดผมให้คนเอเชียเป็นพิเศษ เพราะมองว่าโครงหน้าของคนเอเชียสวยงามมาก ยิ่งถ้าได้ตัดทรงผมที่เข้ากับรูปหน้าด้วยแล้วล่ะก็จะยิ่งสวย ยิ่งดูดีขึ้นไปอีก เขาจึงตัดสินใจกลับมาญี่ปุ่นเพื่อเปิดร้านของตัวเองในที่สุด”
โทโมมิเล่าให้เราฟังขณะเปิดสมุดภาพที่มีรูปร้าน Boy Tokyo ไปพร้อมๆ กัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของคำถามถัดมาที่ว่า แล้ว Boy จากโตเกียวกลายมาเป็น Rikyu ในกรุงเทพฯ ได้อย่างไร
“Rikyu by Boy Tokyo ก่อตั้งขึ้นด้วยคำชักชวนของเพื่อนคุณมาซายูกิ คนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เนื่องจากเขาเห็นว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์และสนุกมากแน่ๆ ถ้าได้นำความสามารถของ Boy Tokyo มาแนะนำให้คนไทยรู้จัก ทั้งวิธีตัดผม วิธีออกแบบทรงผม เพราะในตอนนั้นยังไม่มีร้านตัดผมรูปแบบนี้ ก็เลยเกิดเป็นร้านนี้ขึ้นมา”
เธอยังบอกต่ออีกว่า คุณมาซายูกิจะสอนเสมอว่าอย่าเป็นแค่ช่างผม เพราะงานของช่างผมไม่ใช่แค่ตัดผมเท่านั้น แต่งานของช่างผมเปรียบเสมือนการสร้างศิลปะอีกแขนงหนึ่ง
“คุณต้องมีความสนใจในสิ่งรอบด้าน ทุกสิ่งทุกอย่าง จริงๆ แล้วก็เหมือนกับการทำอาหาร ถ้าเติมส่วนผสมนี้ลงไปจะมีรสชาติเป็นยังไง หรือเติมส่วนผสมนั้นเข้าไปอีกจะดีไหม พอทำเสร็จนำมาจัดวางที่จาน ต้องจัดวางยังไง สีสันเข้ากันไหม คุณต้องใส่ใจรายละเอียดทุกอย่าง ต้องใช้ทั้งสมองและหัวใจ ไม่ใช่แค่สระผม ตัดผม เสร็จแล้วก็จบ คุณต้องให้ความสำคัญกับสิ่งรอบๆ ตัว ต้องรู้สึกขอบคุณอุปกรณ์ทุกอย่างและหมั่นดูแลทำความสะอาดมัน ไม่ว่าจะเป็นกรรไกร กระจก เก้าอี้ตัดผม หรือแม้แต่พื้นที่เรากำลังยืนอยู่ก็ด้วย”
ซึ่งที่นี่ก็ดำเนินการเหมือนกับที่โตเกียว นอกจากจะให้บริการจัดแต่งและออกแบบทรงผมแล้ว ยังสนับสนุนกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องผมเท่านั้น อย่างบนชั้นสองก็เป็นที่ตั้งของแกลเลอรีเล็กๆ ให้ศิลปินมาใช้สถานที่ตรงนี้แสดงผลงานได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีศิลปินมาจัดงานแสดงหลายครั้งแล้วด้วย
เราทราบภายหลังว่า ผู้ที่ออกแบบร้าน Rikyu by Boy Tokyo ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น ไดอิ โมงิ ลูกชายของคุณมาซายูกินั่นเอง ซึ่งเขาชื่นชอบสไตล์วินเทจเป็นพิเศษ เพราะมองเห็นเสน่ห์ในความไม่สมบูรณ์แบบ ร้านเลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น แต่ถึงจะชอบสไตล์วินเทจแค่ไหน เราก็สัมผัสได้ถึงความทันสมัยจากการตกแต่งของร้านนี้ เรียกได้ว่าเป็นการตกแต่งที่ลงตัวมากเลยทีเดียว
“ร้านของเราจะเป็นโทนสีขาว เพราะคุณไดอิเคยบอกว่า ถ้าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นสีขาว ความคิดสร้างสรรค์ของเราจะทำงานได้ดีขึ้น เพราะการอยู่ในห้องสีขาว คุณจะคิดถึงสีอะไรก็ได้ แต่ถ้าอยู่ในห้องสีๆ คุณก็จะคิดถึงแต่สีนั้นๆ และเพราะช่างตัดผมของเราคือศิลปิน การได้อยู่ในบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดี จึงมีส่วนช่วยให้งานออกมาดีขึ้นด้วย”
แม้จะไม่ใช่คนช่างสังเกต ก็คงจะเห็นความหลงใหลของนักออกแบบที่มีต่อกระจกได้ไม่ยากนัก ซึ่งโทโมมิเล่าให้ฟังว่าไดอิเคยเป็นช่างภาพมาก่อน ดังนั้น จึงชอบแสงธรรมชาติและเห็นความสำคัญของมัน
“เราว่าบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้ช่วยแค่พนักงานอย่างเดียวหรอก แต่ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสบาย รู้สึกเป็นกันเอง หน้าตาจะได้สดใส มีความสุข พอตัดผมออกมาก็จะดูสวยยิ่งขึ้น (หัวเราะ)”
ภาพ : กฤตธกร สุทธิกิตติบุตร