อากงแห่งเกาะไหหลำ และธุรกิจโรงสีข้าว ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ท้องนากว้างสุดลูกหูลูกตาในหมู่บ้านทุ่งโพธิ์ จังหวัดพิจิตร ยังคงว่างเปล่า วันไหนที่ฝนตกพอให้ผิวหน้าดินอ่อนนุ่ม เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นชาวนาก็จะกระโดดขึ้นรถแทรกเตอร์พ่วงด้วยผานเจ็ดหรือผานพรวน (เครื่องมือเตรียมดินชนิดหนึ่ง เหมาะสำหรับการไถเตรียมดินระดับตื้นๆ ในครั้งแรก) จากนั้นก็ขับลงท้องนาเพื่อไถเปิดหน้าดิน ซึ่งชาวนาจะเรียกวิธีนี้ว่าการไถหยาบ จากนั้นก็จะไถละเอียดอีกครั้งด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่าไถลูกกลิ้ง ทั้งหมดเพื่อเตรียมดินสำหรับการหว่านเมล็ดข้าวเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนเต็มฤดูในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ...
ของเล่นธรรมชาติ โชคดีที่ข้างบ้านของฉันมีพื้นที่สีเขียวที่กึ่งร้างกึ่งใช้งาน ในอดีตตรงนี้เคยมีบ้านไม้อยู่หลายหลัง และทุกหลังก็คือเพื่อนเล่นแก๊งวัยเด็กของฉัน ที่จะใช้พื้นที่ที่เหลือเล่นด้วยกันตั้งแต่ปีนต้นตะขบ เล่นขายของ โดดหนังยาง วิ่งไล่จับ เป่ากบ ดีดลูกแก้ว และอีกสารพัดที่งัดกันมาเล่น แต่แล้วไม่นานทุกคนก็ย้ายออก...
ร่องรอยจากท้องนาก่อนเข้าฤดูฝน เสียงจักจั่นตัวผู้ตีปีกดังเซ็งแซ่อยู่บนต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน แข่งกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มมาจากถนนเล็กๆ ที่ผ่านหน้าบ้าน เสียงหนึ่งดังขึ้นเพื่อประกาศฤดูกาล อีกเสียงดังขึ้นเพื่อบ่งบอกถึงยุคสมัย กลายเป็นทำนองดนตรีน่าขบขันที่ฉันฟังแล้วกลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ตรงข้ามกับแม่ที่ยังคงชื่นชอบและยังอยากได้ยินเสียงหวานๆ ที่ดังมาจากธรรมชาติมากกว่าเสียงล้อบดถนนคอนกรีต หรือเสียงเครื่องยนต์ที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกอึดอัดคล้ายกับเสียงคนไอแห้งๆ ฟังแล้วไม่ต่างจากเสียงเคาะท่อเหล็กที่ขึ้นสนิม ...
ความจริง หรือ ความฝัน? เมื่อคืนฉันฝันดี – ฝันเห็นตาบุและยายชีน้อยที่เสียไปนานแล้ว ฉันเห็นบึงกว้างสุดสายตา เรือลำน้อยที่มีรอยน้ำซึม เล้าเป็ดสองชั้น กระต๊อบเก่าคร่ำคร่าใต้ถุนสูง และตัวฉันเองในวัยเด็กใส่ชุดกระโปรงสีชมพูสลับขาว ฉันทบทวนความฝันและนั่งปะติดปะต่อเรื่องราว...
ความคิด ยามค่ำคืนในวันที่พายุดีเปรสชันอ่อนกำลัง แต่ท้องฟ้ายังเต็มไปด้วยเมฆที่อีกไม่นานก็จะก่อตัวให้เกิดเป็นเม็ดฝน ฉันยืนมองถนนในซอยเล็กๆ อยู่ริมระเบียงบ้านชั้นบนสุดของตึกที่อาศัย “คืนนี้แปลก” – ฉันคิด ปกติช่วงหัวค่ำแบบนี้จะต้องได้ยินเสียงเครื่องยนต์สลับกับเสียงบิดคันเร่งจากมอเตอร์ไซค์ แต่คืนนี้กลับเงียบสนิท ได้ยินแต่เสียงแมลงตัวเล็กที่ดังมาจากดงกระถินยักษ์ข้างบ้าน ...
ฤดูลม และว่าวจุฬาอีสาน “ปีนี้จะหนาวไหมนะ” ฉันจำได้ว่าแม่มักเอ่ยถามท้องฟ้าแบบนี้เป็นประจำทุกปี หลังจากบ่นเรื่องฝนตกหนักจนทำให้เสื้อผ้าส่งกลิ่นเหม็นอับแทบทุกวัน ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังชอบฤดูฝน แต่ก็อดคิดถึงฤดูหนาวไม่ได้ แม่บอกว่า หน้าหนาวที่บ้านกอกจะเริ่มตั้งแต่ราวปลายเดือนพฤศจิกายน สังเกตได้จากไอเย็นที่เริ่มพัดมาเป็นระลอกๆ มองไปในนาก็จะเห็นรวงข้าวของตาเริ่มโน้มตัวลงต่ำ อีกไม่ช้าก็จะได้เวลาเก็บเกี่ยว...
ท้องฟ้า สายฝน และการเอิ้นขวัญ ทุกครั้งที่เมฆเทาเข้มเคลื่อนตัวมาคลุมท้องฟ้าจนเปลี่ยนเป็นสีหม่น หากมีลมกระโชกแรงมาเป็นระลอกๆ นั่นแสดงว่า อีกไม่ช้าฝนก็จะตก หยดน้ำที่กำลังพอดี นำความอุดมสมบูรณ์มาสู่ชาวบ้าน รวงข้าวในนาเจริญงอกงาม พืชผักต่างๆ ผลิดอกและแตกใบอ่อน สัตว์กินได้ตัวเล็กตัวน้อยต่างอ้วนพี มีแอ่งน้ำเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้กระโดดย่ำโคลนเล่นอย่างสนุกสนาน...
ลิ้นชักไม้ และรูปใบเก่า ตั้งแต่กงจากไป ฉันก็ไม่เคยฝันถึงกงเลย จนกระทั่งช่วงสิ้นปีที่แล้ว ก่อนจะถึงวันครบรอบหนึ่งขวบเต็มของลูกชายของฉัน ฉันก็ฝันเห็นกงในชุดตัวเก่ง เสื้อผ้าฝ้ายสีขาว กางเกงแพรสีน้ำเงิน สวมสร้อยพระที่มีมากกว่าหนึ่งองค์ ใส่แว่นสายตาทรงกลมที่เอียงกระเท่เร่ สองแก้มทาด้วยแป้งหอมเด็กยี่ห้อฮอลลีวู๊ด กลิ่นอ่อนๆ ที่ลอยมาเตะจมูก ในอ้อมกอดของกงคือเหลนชาย ลูกชายของฉันในวัยแรกเกิด กงค่อยๆ ก้าวลงบันไดมาจาก ‘เหล่าเต้ง’...
น้องสะใภ้ และกลิ่นอายภูเขียว “ฮาโหลแม่ ปีนี้บ่ได้กลับบ้าน คิดฮอดล้ายหลาย” (ลากเสียงยาว) (ฮัลโหลแม่ ปีนี้ไม่ได้กลับบ้าน คิดถึงมากๆ เลยนะ) ฉันแอบได้ยินเสียงน้องสะใภ้วิดีโอคอลคุยกับแม่เมื่อช่วงก่อนวันสงกรานต์ที่ผ่านมา “บ่เป็นหยังดอกลูก...
อีกนิดฉันจะเทิร์นโปร! เชื่อว่าหลายคนจะต้องมีคำนี้อยู่ในใจ เมื่อทุกวันนี้ต้องหันมาจับตะหลิวทำกับข้าวกินเองให้มากขึ้นกว่าเดิม หลังจากการประกาศ Work From Home และล่าสุดกับการประกาศเคอร์ฟิวในช่วงกลางคืน ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น แต่ทว่าการทำอาหารในครั้งนี้แตกต่างออกไปจากเมนูในแต่ละวัน การเทิร์นโปรของฉันมาพร้อมกับคลังความรู้อิงประวัติศาสตร์นิดๆ ตามเทรนด์หน่อยๆ...
ฤดูร้อน “ร้อนอีกปีแล้วสิเนอะ” เสียงพึมพำของเด (คำเรียก ‘พ่อ’ ในภาษาจีนไหหลำ) ที่กำลังสอยมะม่วงเขียวเสวยอยู่หน้าบ้าน ลอยมาตามสายลมเอื่อยๆ ที่หอบเอาไอร้อนมาเป็นระยะๆ สลับกับเสียงขยับปีกของจักจั่นที่ดังก้องมาจากต้นฉำฉาหลังบ้าน แตรสัญญาณตามธรรมชาติที่บ่งบอกว่า ฤดูร้อนเริ่มต้นขึ้นแล้ว ...
เสียงนกร้องและฤดูกาล ราวต้นเดือนพฤศจิกายน ฤดูหนาวในเมืองใหญ่ได้พัดผ่านมาพอให้หัวใจได้พองโตเพียงสองสามวัน หลังจากนั้นฤดูหนาวก็จากไป อาจจะพบกันอีกครั้งราวสิ้นปีหน้า ฤดูกาลที่มาเพียงชั่วครู่อาจจะไม่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของผู้คนมากเท่าไหร่นัก แต่ฤดูกาลและวันเวลาที่ผ่านไปในแต่ละเดือน ส่งผลต่อการมีชีวิตอยู่ของสัตว์เล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในเมือง โดยเฉพาะเหล่านกตัวเล็กอย่างนกกาเหว่าและนกกระปูด สัตว์ป่าที่เปลี่ยนพฤติกรรม และย้ายถิ่นมาอยู่ในเมืองใหญ่ จนทำให้เรามีโอกาสได้ยินเสียงของพวกมันในยามเช้าตรู่ ให้รู้สึกสดชื่นและรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ...