OCEAN LIFE ไทยสมุทร

OCEAN LIFE ไทยสมุทร: ก้าวสู่ธุรกิจประกันชีวิตแห่งอนาคตด้วยการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้สังคม

สำหรับธุรกิจประกันชีวิต การเข้าถึงและเข้าใจกลุ่มมิลเลนเนียลนับเป็นความท้าทาย เพราะกลุ่มมิลเลนเนียลส่วนใหญ่จัดเป็นกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มีพฤติกรรมการบริโภคสื่อที่เปลี่ยนไปทำให้ยากต่อการเข้าถึง ประกอบกับมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาสอดคล้องกับโลกดิจิทัลที่เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อพวกเขา ในขณะเดียวกันกลุ่มมิลเลนเนียลก็นับเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ เพราะคนกลุ่มนี้นับว่าเป็นตลาดใหญ่ที่กำลังจะกลายมาเป็นกำลังซื้อที่สำคัญ 

        หากถามว่าธุรกิจประกันชีวิตต้องทำอย่างไรเพื่อให้เข้าไปอยู่ในใจกลุ่มมิลเลนเนียลได้ นอกจากสินค้าและบริการที่หลากหลาย ทันสมัย สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ทันท่วงที บวกกับปัจจัยด้านราคาที่สมเหตุสมผล และการสร้างพื้นที่ให้พวกเขามีส่วนร่วมบนโลกโซเชียลแล้ว  ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่กระตุ้นให้กลุ่มมิลเลนเนียลสนใจ คือการทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน และมีส่วนในการช่วยเหลือให้สังคมดีขึ้น

        OCEAN LIFE ไทยสมุทรประกันชีวิต หนึ่งในธุรกิจประกันชีวิตที่สะสมประสบการณ์ด้านการประกันชีวิตมากว่า 70 ปี ภายใต้การนำของ นุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ทายาทนักบริหารผู้บุกเบิกก่อตั้ง OCEAN LIFE ไทยสมุทร ที่ทำหน้าที่เข้ามาเป็นผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง สร้างให้ธุรกิจเติบโตสอดรับกับโลกปัจจุบัน บุกเบิกความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในโลกของการทำประกันชีวิต เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนกลุ่มมิลเลนเนียลที่เริ่มวางแผนมองหาความมั่นคง รวมถึงคุณภาพที่ดีในชีวิตให้กับตนเองและคนที่รักมากขึ้น

        จากการไม่หยุดพัฒนาองค์กรไปข้างหน้า ภายใต้หัวใจสำคัญที่ทำให้ OCEAN LIFE ไทยสมุทร เติบโตอย่างมั่นคง นั่นคือความเชื่อในพลังความรักที่ถูกหล่อหลอมเป็นวัฒนธรรมองค์กรปลูกฝังอยู่ในตัวพนักงานทุกคน รวมถึงการใช้ความรักเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับสังคมและชุมชนไทยผ่านโครงการ CSR ขององค์กรมาโดยตลอด ซึ่งล้วนแต่มีเป้าหมายในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย และยกระดับคุณภาพให้ผู้คนในสังคมไทย สิ่งเหล่านี้เองทำให้ชื่อของ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ติดอยู่ในใจคนไทย และเป็นที่ไว้วางใจแก่ลูกค้ากว่า 2 ล้านคนมาจวบจนปีที่ 70

        และก้าวต่อไปของ OCEAN LIFE ไทยสมุทร คือความพร้อมในการก้าวสู่สิ่งใหม่ๆ ในโลกธุรกิจ ก้าวสู่การเป็นดิจิทัลอินชัวเรอร์ เป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งอนาคตที่เข้าถึงและเข้าใจคน และเติบโตเคียงข้างคนรุ่นใหม่กลุ่มมิลเลนเนียลด้วยความตั้งใจที่สร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิต และมอบหลักประกันที่มั่นคงในวันนี้และในอนาคต โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีทำให้ประกันชีวิตเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

 

OCEAN LIFE ไทยสมุทร

แนวทางในการทำ CSR ของ OCEAN LIFE ไทยสมุทรเป็นอย่างไร

        ต้องบอกว่าปัจจุบัน OCEAN LIFE ไทยสมุทรเองมีความเชื่อในเรื่องเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ซึ่งเป็นข้อหนึ่งในค่านิยมขององค์กรเรา (core value) คือ Sustainability ความหมายของสิ่งนี้มีสองมุมมอง มุมมองแรกคือธุรกิจเองต้องอยู่ได้ เพราะธุรกิจประกันชีวิตเป็นธุรกิจที่ต้องดูแลลูกค้าในระยะยาว เมื่อถึงวันที่สัญญาของบริษัทมีผลกับผู้เอาประกัน คือกรมธรรม์เหล่านั้นครบกำหนด เราต้องสามารถส่งคืนเงินและผลประโยชน์ทุกอย่างกลับให้ลูกค้าได้ ดังนั้น การดำเนินธุรกิจให้คงอยู่อย่างยั่งยืนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญ

        ในมุมมองที่สอง คือเมื่อธุรกิจอยู่ได้ สังคมและคนที่อยู่รอบตัวเราต้องอยู่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นเราจึงโฟกัสในเรื่องของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามแนวทางขององค์การสหประชาชาติ หรือ UN 17 Sustainable Development Goals (SDGs) แต่เราไม่ได้ทำคนเดียว เราต้องดึงเอาคนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วย หมายถึงการให้พนักงานหรือตัวแทนประกันชีวิตเข้ามาร่วมทำกิจกรรมเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังดึงเอาประชาชนคนทั่วไปมามีส่วนร่วมด้วย เพราะการทำสิ่งต่าง ๆ ร่วมกัน มันมีพลังที่สามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่า 

อยากให้ลองยกตัวอย่างให้ฟังว่าการดึงคนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมมีอะไรบ้าง

        ตัวอย่างเช่น ในปีนี้เราได้จัด OCEAN LIFE Love Virtual Run จำนวน 2 ครั้ง โดยเชิญชวนให้คนรักสุขภาพมาสมัครวิ่ง วิ่งที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ที่สะดวก ซึ่งคนที่ร่วมกิจกรรมมีทั้งประชาชนทั่วไป ผู้บริหาร พนักงาน รวมทั้งตัวแทนประกันชีวิต โดยเรานำค่าสมัครจากผู้สมัครจำนวน 2,000 คน โดยไม่หักค่าใช้จ่าย รวมครั้งละหนึ่งล้านบาทมอบให้กับการกุศลทั้งหมด ครั้งแรกเรามอบให้กับกองทุนภูมิคุ้มกันและบำบัดมะเร็ง จุฬา ครั้งที่ 2 เรานำไปสมทบทุนจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลค่ายวิภาวดีรังสิต ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี  ซึ่งเราทำให้คนจากทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วม นอกจากได้ออกกำลังกายแล้วยังได้ร่วมทำบุญไปด้วยกัน

ปีนี้ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ครบรอบ 70 ปี โครงการ CSR ที่จะเกิดมีอะไรบ้าง

ปีนี้ครบรอบ 70 ปี เราได้เฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และใช้โอกาสครบรอบ 70 ปีนี้ ตอบแทนสู่สังคมไทย หรือ CSR โดยการดำเนินโครงการที่เน้นในด้านการดูแลสุขภาพคนไทย และยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนไทยให้ดียิ่งขึ้น เพราะหนึ่งใน Sustainable Development Goals คือเราอยากให้คนมีฐานะที่ดีขึ้น มีสุขภาพที่ดีขึ้น เราจะทำเรื่องที่เราสามารถทำได้ให้เกิดเป็นรูปธรรม ไม่ใช่ตั้งธงแล้ววาดภาพสวยหรูแต่ทำให้เกิดขึ้นจริงไม่ได้ เราเน้นการทำกิจกรรมที่ต่อเนื่องและคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน

        อย่างเช่นในปีนี้เราได้เปิดตัว OCEAN CLUB APPLICATION ซึ่งภายในแอปฯ ช่วยสนับสนุนการดูแลสุขภาพ ให้ลูกค้าสะสม OCHI COIN เพียงนอนให้เต็มอิ่ม ออกกำลังกายด้วยการเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยานให้เพียงพอ ก็สามารถสะสม OCHI COIN นำมาแลกสิทธิประโยชน์ได้มากมาย หรือสามารถนำไปแลกเป็นเงินบริจาคให้กับโรงพยาบาลหรือองค์กรการกุศล เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อีกด้วย โดยในปีนี้เรานำรายได้จากกิจกรรมต่างๆ มอบให้กับ 6 โรงพยาบาลใหญ่ ได้แก่ มูลนิธิรามาธิบดี, โรงพยาบาลตำรวจ, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โรงพยาบาลค่ายวิภาวดีรังสิต จ.สุราษฏร์ธานี, คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา 

        นอกจากนั้น เรามีการรณรงค์ใหญ่ให้ร่วมบริจาคโลหิต 1 ล้านซีซี จากทุกภาคส่วนทั่วทั้งประเทศ เพราะเราตระหนักดีว่าสภากาชาดไทยมีโลหิตไม่เพียงพอ ซึ่งในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเราได้รับโลหิตเกินล้านซีซีไปแล้ว ในขณะที่เราได้พ่วงการมอบถุงผ้าโอชิรักษ์โลกเป็นของที่ระลึกสำหรับผู้ที่บริจาคโลหิตทุกคนอีกด้วย ซึ่งจะมีส่วนในการช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมให้กับโลกได้อีกทางหนึ่ง

ทำไม OCEAN LIFE จึงเลือกทำโครงการ CSR ในด้านการดูแลสุขภาพคนไทย และยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนไทย มองเห็นปัญหา หรือความสำคัญอะไรในเรื่องนี้

        เราเชื่อว่าในปัจจุบันโลกของการทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีต แนวคิดเดิมๆ ที่ทำธุรกิจเพื่อผลกำไรเท่านั้นแทบจะไม่มีอีกแล้ว ปัจจุบันแนวคิดใหม่ในการทำธุรกิจ คือการที่เราต้องคำนึงถึงคนรอบข้าง นึกถึงสังคมควบคู่กันไป ดังนั้น เราจึงมองถึงปัญหาที่คนไทยเผชิญอยู่ในลำดับต้นๆ ก็คือเรื่องของเศรษฐกิจ รายได้ที่ไม่เพียงพอ ไม่รู้จะทำอะไร เพราะฉะนั้น แทนที่เราจะเอาเงินไปให้เขา เราเลือกที่จะไปสอนให้เขาสร้างรายได้ โดยการทำให้พวกเขาเรียนรู้อาชีพเสริม และสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง โครงการ ‘OCEAN LIFE ไทยสมุทรรักชุมชนไทย’ เราเริ่มด้วยการนำวิทยากรไปสอนอาชีพเพียงอย่างเดียว จนถึงปัจจุบันเราสอนไปแล้วกว่า 260 ชุมชน ต่อมาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความสวยงามน่าซื้อ เราเพิ่มเติมด้านการออกแบบเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ จนกระทั่งมีบางชุมชนสามารถส่งผลิตภัณฑ์ร่วมจัดแสดงในงาน Bangkok Design Week 2018 และร่วมแสดงแฟชั่นโชว์ในงานเดียวกันในปี 2019 อีกด้วย ซึ่งผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นคือมีชาวต่างชาติสนใจและสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเราไม่ได้เอาปลาไปให้พวกเขา แต่เราสอนให้พวกเขาตกปลาและหาปลาเอง ก่อให้เกิดอาชีพ สร้างรายได้ให้ชุมชนได้อย่างยั่งยืน 

        นอกเหนือจากการทำโครงการที่ช่วยในการยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนไทย เรายังมีส่วนในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับเด็กและเยาวชนกับโครงการ ‘พี่ไทยสมุทร พาน้องเที่ยว’ เราร่วมส่งความรัก ให้ความอบอุ่นกับน้อง ๆ ผู้พิการซ้ำซ้อนที่บ้านราชาวดี เราพาพวกเขาออกไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ เราพาไปเที่ยวทะเลที่ Ocean Marina Yacht Club พัทยา ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เด็ก และได้ให้น้องๆ วาดรูปสวยๆ เอามาทำเป็นโปสต์การ์ดให้พนักงานของเราช่วยกันขาย และนำรายได้กลับมาช่วยน้องๆ ซึ่งนับว่าเป็นการต่อยอดในกิจกรรมที่เราทำ และทำให้คนที่ซื้อโปสต์การ์ดได้รับรู้ว่ามีน้องๆ ที่ต้องการความรักความช่วยเหลืออยู่อีกมาก

 

OCEAN LIFE ไทยสมุทร

จะมีการการพัฒนาต่อยอดโครงการ CSR อย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของ OCEAN LIFE ไทยสมุทร อย่างยั่งยืน

        เรื่องที่ทำอยู่ก็จะทำอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น โครงการ OCEAN LIFE ไทยสมุทรรักชุมชนไทย แต่สิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นว่าเป็นปัญหาของบ้านเราทุกวันนี้เริ่มตั้งแต่ความอบอุ่นในครอบครัว เราจึงอยากจะหาทางช่วยในการสื่อสารถึงปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัว เพราะปัญหานี้คนส่วนมากมักคิดว่านั่นเป็นปัญหาในครอบครัว เราไม่เกี่ยว แต่จริงๆ แล้วเราต้องเกี่ยว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ดังนั้น เราจึงต้องการจะสร้างการตระหนักรู้ให้กับพนักงาน และคนในเครือข่ายของเรา ให้เข้าใจว่าถ้าเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น ใครจะเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ มีกระบวนการอย่างไร เราตั้งใจทำสื่อให้ความรู้ในเรื่องเหล่านี้ และยินดีแชร์ให้ทุกองค์กรเอาไปใช้ เพราะเชื่อว่าถ้าสื่อไปได้มากเท่าไหร่ ก็จะมีคนเข้าใจเยอะมากขึ้น คนที่ได้รับความรุนแรงในครอบครัวก็จะมีทางออกมากขึ้นเช่นกัน

นอกจากโครงการ CSR เพื่อดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว ในอนาคตอันใกล้จะเห็น OCEAN LIFE ไทยสมุทร ริเริ่มทำอะไรอีกบ้างไหม

        วันนี้บ้านเราจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Aging Society) แต่คนไทยมีการออมเงินไม่เพียงพอสำหรับอนาคต ถึงแม้การออมเงินฟังดูเป็นเรื่องยาก แต่จริงๆ แล้วมันคือการฝึกวินัยการออม คนของเราเคยเอากระปุกไปให้กลุ่มลูกค้าที่บอกว่าไม่มีเงินซื้อประกัน แล้วตั้งเป้าเอาไว้ให้เขาหยอดทุกวัน สามเดือนผ่านไปเมื่อกลับไปนั่งนับเงิน เขาบอกเขาไม่เคยมีเงินสดมากขนาดนี้ เพราะฉะนั้นเราอยากให้ทุกคนรู้จักการออม โดยเริ่มตั้งแต่เด็กๆ เรามีโครงการที่กำลังคุยกับบางโรงเรียน เกี่ยวกับการสอนเรื่องการประกันชีวิต โดยที่ไม่ได้หวังจะไปขาย แต่อยากให้เขาเข้าใจว่าการประกันชีวิตคือการกระจายความเสี่ยง เราอยากให้เป็นความรู้ที่ปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่ความรู้ที่มาตอบในข้อสอบ ถ้าเด็กๆ ปฏิบัติได้ ก็จะรู้จักการออม ถ่ายทอดไปยัง พ่อแม่ให้รู้จักการเก็บออม ครอบครัวก็จะมีเงินไว้ใช้ยามเกษียณ หรือยามเจ็บป่วยอย่างเพียงพอ

จากโครงการ CSR ต่างๆ ที่ได้มอบให้กับสังคม อยากทราบว่า OCEAN LIFE ไทยสมุทรเองได้อะไรกลับคืนมาบ้าง

        ความเชื่อใจ อย่างที่บอกไปว่าถ้าคุณเป็นธุรกิจที่หวังแต่กำไรอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงคนรอบตัว ก็จะไม่มีใครรักคุณ เราอาจไม่ใช่ธุรกิจที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่เราก็ช่วยลดการทำลายสิ่งแวดล้อมได้ เราอาจจะไม่ใช่ธุรกิจที่เกี่ยวกับการศึกษา แต่เราก็ไปช่วยสนับสนุนการศึกษาได้ เราคิดว่าธุรกิจต้องเป็นธุรกิจที่ทำให้คนไม่รังเกียจเรา ถ้าเขาไม่รังเกียจเรา เขาก็จะมีความเชื่อใจเรา การที่เราจะสื่อสารเข้าถึงเขาก็ง่ายขึ้น การที่ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ได้รับความไว้วางใจมาตลอด 70 ปี นั่นหมายถึงความเชื่อใจของคนจำนวนมากที่มีต่อเรา ต้องการทำประกันชีวิตกับเรา โดยที่พวกเขายังไม่เห็นประโยชน์ จนกระทั่งเมื่อถึงอนาคตเท่านั้น เขาได้แต่เชื่อใจในตัวแทน เชื่อมั่นในบริษัท เชื่อว่าทุกสิ่งที่เสนอให้นี้ดี แต่เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อตัวแทนเอาเงินสินไหมไปมอบให้ครอบครัว ครอบครัวเขาก็ดีใจที่ตัวแทนได้ให้คำแนะนำไว้ในอดีต ตัวแทนเองก็รู้สึกอิ่มใจที่มีส่วนช่วยครอบครัวลูกค้า เพราะฉะนั้นความเชื่อใจ ความไว้ใจ เป็นปัจจัยสำคัญในการที่ธุรกิจประกันชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยืน

สิ่งใดที่ทำให้ OCEAN LIFE ไทยสมุทร สามารถดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงยั่งยืนต่อไปในอนาคต

        นอกจากความเชื่อใจที่กล่าวมาแล้ว สิ่งที่หลายคนพูดถึง OCEAN LIFE ไทยสมุทร คือเป็นบริษัทประกันชีวิตที่อยู่มานาน มีความมั่นคงทางการเงิน แต่สิ่งที่จะทำให้เราก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน คือเราพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันแบรนด์เราเด็กลงเยอะ เราเริ่มเป็นแบรนด์ที่ปรับเข้าสู่ Urban Younger Generation เราเริ่มมีแบรนด์มาสคอต ‘โอชิ’ เรามี มาริโอ้ เมาเร่อ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เราทำกิจกรรมต่างๆ สำหรับเด็กยุคดิจิทัล มีแอปพลิเคชัน มีไลน์ เข้ามาเชื่อมโยงกันมากขึ้นเรื่อยๆ และเราเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้เพื่อที่จะรองรับ Younger Generation ซึ่งส่วนมากยังไม่ได้เริ่มทำประกันชีวิต แต่คนกลุ่มนี้นี่เองที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการประกันเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัย (Aging Society) ซึ่งพวกเขากำลังจะไปถึงในอนาคต ดังนั้น เราจึงเริ่มที่จะเข้าถึงกลุ่มนี้มากขึ้น 

        สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นหัวใจและเป็นวัฒนธรรมของไทยสมุทรคือความรัก เราใช้คำว่าความรักมาหลายปี ในช่วงที่เรามาเป็นกรรมการผู้จัดการ เรามีคำว่า Love Empowers Your Life ซึ่งใช้ได้ในหลายมิติ มิติแรกคือเพราะเรารักใครบางคน จึงเป็นเหตุผลที่เรามาทำประกันชีวิต ถ้าเรารักตัวเอง เรากลัวว่าเราแก่แล้วไม่มีเงินใช้หลังเกษียณ เราก็ออมเงินผ่านการประกันชีวิต หรือซื้อประกันชีวิตเพื่อให้มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีเราเจ็บป่วย ถ้าเรารักลูก เราก็ทำประกันชีวิตตัวเรา หากเป็นอะไรไปก็จะมีเงินก้อนให้ลูกเรียนจนจบ หรือเรารักภรรยา ถ้าเราเป็นอะไรแต่บ้านกำลังผ่อนอยู่ ภรรยาก็จะมีเงินมาจ่ายค่าผ่อนบ้านได้ หรือจ่ายชำระหนี้ให้กับธนาคารแทน คนเราใช้เหตุผลจากการรักคนบางคน แล้วเราอยากจะทำอะไรดีๆ ให้กับคนคนนั้น เพื่อให้เราสบายใจได้ว่า เขาจะไม่มีปัญหาหากวันหนึ่งเราไม่อยู่แล้ว 

        ในอีกมิติหนึ่ง เราบอกลูกน้องเสมอว่า การที่เรามาอยู่ในธุรกิจนี้เพราะเรารักธุรกิจประกันชีวิต เรามีความเชื่อว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ดี ทำให้คนเข้าใจถึงการวางแผนทางการเงิน ช่วยทำให้คนเข้าถึงการประกันชีวิต เพื่อเป็นหลักประกันที่มั่นคงให้กับอนาคตของเขา และจุดแข็งของ OCEAN LIFE ไทยสมุทร คือคนของเรามีความรักในบริษัท อาจจะเนื่องจากในอดีตหลายสิบปีที่ผ่านมา เราเติบโตอย่างมั่นคงและดูแลคนของเราเป็นอย่างดีมาตลอด ตอนวิกฤติต้มยำกุ้ง เราก็ไม่ได้ลอยแพพวกเขา คนจำนวนหนึ่งอยู่ที่นี่เป็น First Job และอยู่จนเกษียณอายุงาน 

        อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรายังเติบโตได้และประสบความสำเร็จ คือเรื่องของการพัฒนาที่ไม่มีวันหยุด โดยเฉพาะในเรื่องของนวัตกรรม ที่เรากำหนดไว้ในค่านิยมขององค์กร เพราะฉะนั้น เราจะให้ความรู้ และกระตุ้นให้คนของเราคิดเป็น ท้าทายให้ทำในสิ่งที่ดีขึ้น และสุดท้ายคือเรื่องความยั่งยืน ถ้าเราอยู่ได้ คนในสังคมและคนรอบตัวเราต้องอยู่ได้ ถึงแม้กำลังในการช่วยเหลือของเราจะมีจำกัด แต่เราก็สามารถชวนคนอื่นที่มีความเชื่อเหมือนเรา ให้เข้ามาร่วมทำไปกับเรา เพื่อให้สังคมดีขึ้น และคนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป

ทุกวันนี้มีคำพูดที่ว่าเด็กรุ่นใหม่ๆ มักมีปัญหาในที่ทำงาน บริษัทใหญ่อย่าง OCEAN LIFE ไทยสมุทร เองเคยประสบปัญหาเหล่านี้บ้างไหม

        หลายคนบอกว่าการรับเด็กรุ่นใหม่มา เขาอยู่ไม่นานหรอก ปีสองปีก็ไป แต่เราว่าเราดูแลเด็กให้อยู่กับเราได้มากกว่าสองปีนะ ในยุคนี้อัตราการลาออกของเราค่อนข้างต่ำ เรามีวิธีการดูแลคนของเรา เข้าถึงคนของเราได้ และใช้ความรักเป็นสื่อกลาง เรารักลูกน้องเหมือนลูกเหมือนน้อง เราห่วงใยดูแลว่าชีวิตเขาเป็นอย่างไร เขาสนุกกับงานไหม เขาได้เรียนรู้ไหม ติดปัญหาอะไรไหม พอเราทำให้พนักงานรักในบริษัท เราเริ่มทำให้เขาเข้าใจคุณค่าของงานที่ทำอยู่ว่าสำคัญ เพราะทุกฟันเฟืองไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ถ้าหลุดหรือติดขัดเรือลำนี้ก็วิ่งไปไม่ได้ พอเขาเห็นความสำคัญ เขาก็จะรักในงานของเขา เราปลูกฝังสิ่งนี้ไว้เสมอ

        ทุกวันที่เขาตื่นขึ้นมาทำงาน เขาจะทำงานอย่างมีแพสชัน คนที่มีแพสชันในการทำงาน ก็จะทำงานได้ดีมีคุณภาพ และลึกซึ้งกว่าที่สำคัญเราปลูกฝังให้เขารักเพื่อนร่วมงาน เวลาทำงานแล้วติดขัดหรือขัดแย้งกัน ก็ให้อภัยกันได้ แต่ถ้าไม่ใช่เพื่อน เรื่องเล็กก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เราพยายามจะช่วยให้ทุกคนมองกันในแง่ดี ถ้าเราเข้าใจซึ่งกันและกัน รักในเพื่อนร่วมงาน ก็ทำให้การทำงานเป็นทีมเวิร์ก งานก็จะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น เมื่อองค์กรอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ ทุกคนก็จะถ่ายทอดความรักส่งต่อไปสู่ผู้รับการบริการ นั่นก็คือลูกค้าของเราทุกคนนั่นเอง