จริงๆ แล้ว ชาติ กอบจิตติ บอกว่าเบื่อที่จะคุยเรื่องเก่าๆ แต่พอการสนทนาลื่นไหลไปและเริ่มออกรสชาติ เรื่องราวเฮฮาก็ถูกหยิบยกขึ้นมา เพื่อย้อนให้เห็นตัวอย่างของความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย ในร้านพันธุ์หมาบ้า ณ ตลาดรถไฟศรีนครินทร์ เราสนทนากันถึงเรื่องสัพเพเหระในชีวิต รวมถึงเรื่องธุรกิจแบรนด์สินค้าของเขา
“ไอ้ความฮิปปี้เนี่ยมันอยู่ข้างใน” น้าชาติชี้ที่หัวใจ “ไม่ไช่ว่าต้องไว้หนวด ไว้เครา ไว้ผมยาว”
จิตวิญญาณนั้นไม่ได้สูญหายไปไหน และแถมมันยังทิ้งร่องรอยทางความคิดไว้มากมายในวัฒนธรรมร่วมสมัย ทุกวันนี้ตำนานของเหล่าฮิปปี้ได้กลายเป็นธุรกิจขนาดย่อมๆ มีเสื้อผ้า หนังสือ งานศิลปะ และของสะสมต่างๆ วางขายอยู่ในร้านแห่งนี้ ช่วยหล่อเลี้ยงความฝันของน้าและชีวิตของทีมงานอีกจำนวนหนึ่งให้ดำเนินต่อไป
ทุกวันนี้เป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้ายิ่งใหญ่ เคยมองย้อนกลับไปสมัยหนุ่มๆ ไหมว่ามีเรื่องใดที่ไม่น่าทำเลย รู้สึกเสียใจ
เฮอะ! มันมีเหรอ? ชีวิตที่ไม่น่า… ก็ย้อนไปไม่ได้แล้ว รู้อย่างนี้ไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้ อย่ามาพูดเลย มันไร้สาระ เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว หากมึงรู้ก่อนจริงๆ กูว่ามึงซื้อล็อตเตอรี่เหอะ (หัวเราะ) ถ้าจะถามกันจริงๆ ว่าตอนนั้นเราคิดอะไร? เราไม่ได้คิด แล้วถ้าถามว่า ทำไมเราถึงทำลงไปล่ะ ก็เพราะมันสนุก ได้อยู่กับเพื่อนด้วย แล้วจริตมันตรงกัน เจอกลุ่มคนคอเดียวกันก็สนุก กลุ่มเพื่อนก็นิสัยคล้ายๆ เรา แต่โชคดีที่กลุ่มเราไม่อันธพาล ไม่ลักเล็กขโมยน้อย ไม่จี้ปล้น กินเหล้าอย่างเดียว ดูดยาอย่างเดียว คือพวกเราไม่ใช่โจร แม้รูปร่างหน้าตาจะเหมือนโจร
ชีวิตของน้าที่ปากช่องทุกวันนี้ ยังฮิปปี้ขนาดไหน
ไม่นะ ก็กินสเต๊ก กินแซลมอน กินเนื้อ ทำงานหนักๆ ก็ต้องกินดีๆ
น้านวดขนมปังอบเตาดินกินเองหรือเปล่า
เฮ้ย (หัวเราะ) เสียเวลา พอมาถึงอายุขนาดนี้ มันยังไงก็ได้แล้วล่ะ มันขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกใช้ชีวิตยังไงมากกว่า เอาที่ไม่เบียดเบียนตัวเองและคนอื่น ไม่ใช่เราใช้ชีวิตลำบากฉิบหายเพื่อจะไม่เบียดเบียนคนอื่น งั้นก็ขอเบียดเบียนคนอื่นหน่อยหนึ่งละกัน แบ่งๆ กันไป (หัวเราะ) มึงบ้าง กูบ้าง แล้วก็อยู่ด้วยกันไป ถ้ามึงดีคนเดียวแล้วกูลำบาก กูไม่เอา เอาเป็นว่า เราทำบริษัทนี้แล้วโอเค เราทำงานอย่างนี้ หล่อเลี้ยงคน 6-7 คน เขาก็อยู่กับเราได้ เราช่วยได้ก็ช่วยเขา
ที่สุดแล้ว พอฮิปปี้แก่ไป ก็กลายเป็นนายทุนอยู่ดี
ไม่ใช่อะ เราเป็นพวกสุขนิยม เราใช้ชีวิตให้ทุกข์น้อยๆ แม้พระพุทธองค์บอกว่าชีวิตคือทุกข์ โอเค เราเข้าใจแล้วท่าน แต่ขอน้อยๆ หน่อย… แต่ก็ไม่ได้หมายถึงแค่วัตถุ ด้านจิตใจก็ต้องกำราบมันด้วย
ตอนนี้น้ายังต้องเป็นทุกข์กับเรื่องไหนมากที่สุด
อืม ก็มีบ้าง แต่เราก็จะเตือนตัวเอง อย่างเมื่อตอนเย็นๆ (ระหว่างถ่ายปก ช่างภาพให้แอ็กติ้งเยอะมาก) ถ้าเป็นตอนที่เราหนุ่มๆ นี่ตายห่าไปแล้ว แต่นี่โอเค คือรู้ว่าพวกมึงทำงาน กูเข้าใจ เดี๋ยวงานมึงไม่ได้ แล้วมึงจะโดนด่า กูก็โอเคๆ มันก็มี ทุกวันนี้เราเย็นลงมาก
พอจำได้ไหมว่าน้าเริ่มใจดีตอนอายุเท่าไหร่
เออๆ มันจะเป็นอย่างนี้นะ ตอนหนุ่มเราจะก้าวร้าว พอเริ่มกลางคนเราจะสุขุม พอปลายชีวิตเราจะเมตตา นี่แปลว่าเรามาถึงปลายแล้วนี่หว่า เหมือนพอเรามาเจอแบบนี้ เราหงุดหงิดในงาน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ไอ้ตัวต้นเรื่องไปโน่นแล้ว แล้วมึงจะยังมาคิดอยู่คนเดียว มึงบ้าหรือเปล่า เขาไม่ได้มาสนใจมึงแล้ว ก็เหมือนขับรถแล้วฆ่ากันนี่แหละ อารมณ์นี้เลย รู้จักกันที่ไหน อารมณ์ก็ไม่ระงับ แล้วก็บานปลาย
หลังจากช่วงปลายชีวิตที่เริ่มมีเมตตา แล้วช่วงต่อไปคืออะไร
คือหลงลืม จำห่าอะไรไม่ได้แล้ว ไม่ได้เมตตงเมตตาอะไรหรอก เออก็ดี แก่แล้วลืมง่าย วางของไว้แม่งก็ลืม เมื่อกี้วางไว้ไหนวะ
เคยได้ยินมาว่า คนเรายิ่งโตขึ้น เพื่อนยิ่งน้อยลง
ก็แล้วแต่ เรามีเพื่อนเยอะขึ้น แต่อายุเพื่อนของเรากลับน้อยลงๆ เพราะรุ่นเดียวกันไม่คบกูแล้ว (หัวเราะ)
ตอนหนุ่มๆ น้าเคยเหงามั้ย
ไม่มีเวลาให้เหงา นี่ก็หาเวลาเหงาอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) เพราะอยู่กับเพื่อนตลอด เรามีเพื่อนเยอะ หลายกลุ่ม ไม่ได้มีแค่กลุ่มนี้กลุ่มเดียว เรียกว่าเป็นกลุ่มที่ดึงกันเข้ามา ดึงเขาไปรู้จักกับเพื่อนเรา เพื่อนเราดึงเขามาให้รู้จัก เอาเป็นว่าเหมือนที่บอกว่าฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน เผลอๆ คนที่พามาสนิทกว่าเพื่อนเราด้วยซ้ำ คนมันรสนิยมเดียวกัน เหมือนกับคนที่ชอบกินเหล้าเหมือนกัน
อยู่กับเพื่อนตลอดแบบนี้ จะเอาเวลาที่ไหนมาค้นหาตัวเอง
เราก็ต้องถามตัวเอง ถามตั้งแต่เด็กๆ เลยก็ดี อย่างเรา เรารู้ตัวอยู่แล้วว่าอยากเป็นนักเขียน ตั้งแต่ตอนสัก ม.2 อายุ 13 ได้ เราก็มุ่งไปทางนี้เลย
“
ชีวิตมึง มึงก็ต้องถามตัวเอง ไม่ใช่ว่าอยู่ไปเป็นสวะ แล้วก็ปล่อยลอยน้ำไป อย่างเราก็มีหนังสือ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เป็นตัวสกัดกั้นไว้
”
แต่อย่างเพื่อนเขาอาจจะไม่ได้ชอบเหมือนเรา
แล้วลูกน้องที่ทำงานนี่คุยแบบเพื่อนเลยมั้ย
ก็คุยแบบนี้ ไม่มีแกป พอเย็นวันศุกร์ เราจะมานั่งกินเหล้ากัน คุยกัน แต่เรื่องงานก็คืองาน
คนค้าขายเป็นไงบ้างช่วงนี้
แย่ไปหมด แต่เราก็ต้องอยู่ให้ได้ เศรษฐกิจตอนนี้ แย่จริงๆ ไม่ได้แย่หลอกๆ
มนุษย์เงินเดือนอาจจะมีความมั่นคงมากกว่า
แน่เหรอ? โอเค ความมั่นคงคือสิ้นเดือนนี้เราได้เงินเดือน แต่ถ้าผลประกอบการเขาไม่ดีต่อเนื่องไปล่ะ อันดับแรกเขาก็ต้องลดค่าใช้จ่าย แล้วอันดับต่อมาจะมาถึงเรามั้ย แต่นี่เราไม่รู้ แล้วดูตอนนี้สิ (ชี้ออกไปนอกกระจกร้าน) ฝนกำลังจะตกแล้ว ทั้งๆ ที่ทุกร้านตั้งใจจะมาขายของกัน
ต้องขาดทุนไปถึงจุดไหน น้าจึงจะกลายเป็นนายทุนใจร้าย
เราจะใช้หนทางอื่นก่อน คนจะเป็นอันดับท้ายสุด แต่สิ่งที่ได้รับ คนจะได้รับก่อนเสมอ ผมประวิงการจ่ายโรงงานได้ สมมติว่าเงินหาไม่ทัน แต่พนักงานของผมต้องได้เงินเดือน หากจะเดือดร้อน พนักงานของผมจะเดือดร้อนหลังสุด มันก็มีหลายวิธี เช่น ลดราคา ขายสต็อก แล้วเอาเงินมาหมุน คือทำยังไงก็ได้เพื่อที่จะอยู่ด้วยกันได้
ทุกๆ สามเดือนเราจะทำงบดุล อย่างสองสามเดือนมานี้ ต้นทุนผมลงไปล้านสองล้านนะ แล้วกำไรได้กลับมาเดือนละสองพันกว่าบาท คนอื่นก็บอกว่าไม่คุ้มหรอก ไอ้ห่าเอ๊ย มึงเอาเงินมาลงอย่างนี้ มาละเลงแล้วได้แค่นี้ แล้วก็เหนื่อยด้วย แต่เราก็คิดว่านี่กูกำไรนะ ยังไม่ขาดทุนนะ อย่างน้อยสองพันก็คือกำไร มองแบบนี้คนของเราก็ไม่เดือดร้อน
ถ้ากับเรื่องมิตรภาพ น้ามองโลกในแง่ดีมากๆ เลย
ก็มองตามความเป็นจริง จะไปกลุ้มมันทำไม สมมติ หากเราขายแบรนด์ ก็คงมีคนซื้อ แต่มันอาจจะไม่ใช่เรื่องขาดทุน แต่เรามองเงินไม่เห็นต่างหาก กำไรยังมองไม่เห็น หรือถ้าเห็นแล้ว เราดึงออกมาหรือยัง
บั้นปลายชีวิต คนเราจะมีคุณค่าอะไรเหลือไว้ไหม
ก็สิ่งที่เราทำแหละ เรารู้นี่ว่าเราทำอะไรไป
ถ้าน้าจากโลกไป คนจะพิมพ์สเตตัสในเฟซบุคสรรเสริญน้าว่าอย่างไร
ไม่รู้แล้วโว้ย! รู้ได้ก็ดีสิ
แล้วน้าอยากให้เขาเขียนสเตตัสถึงหนังสือเรื่องไหนมากที่สุด
เรื่องนี้เราบอกไม่ได้หรอก แล้วแต่เลย แต่โดยส่วนตัวเราชอบหนังสือเรื่อง เวลา แต่คนไม่ค่อยชอบกัน เขาบอกเพราะอ่านยาก แต่เราชอบนะ เพราะเราทำได้เต็มไม้เต็มมือ อยากพูดอะไรก็พูดได้หมด ในแง่ของศิลปะด้วย มันลงตัวไปหมด เราชอบเอง แต่ทีนี้จะให้บอกคนมาเขียนชมเล่มนี้ เขาคงเขียนด่ามากกว่าว่า ไอ้ห่า! อ่านยาก