ในงาน BOYdKO50th #1 RHYTHM & BOYd CONCERT มีช่วงหนึ่งที่ บอย โกสิยพงษ์ เล่าให้ฟังว่า เขาชื่นชอบศิลปินดูโอ เบิร์ดกะฮาร์ท ดังนั้น ตอนที่ทำเพลงให้กับค่ายเบเกอรี่มิวสิค เขาเอาสไตล์การร้องเพลงด้วยเสียงขึ้นจมูกที่เป็นเอกลักษณ์ของเบิร์ด (สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล) มาเป็นไอเดียต้นฉบับให้กับผลงานมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์
บุรินทร์เป็นนักร้องหนุ่มฟรอนต์แมนของวง Groove Riders ซึ่งเปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล Hormone ที่ บอย โกสิยพงษ์ เป็นคนแต่ง และเพลงนี้ก็ไต่อันดับเพลงฮิตอย่างรวดเร็ว เป็นทั้งใบเบิกทางให้กับเขาและสมาชิกในวงได้โลดแล่นอยู่ในวงการดนตรี เป็นศิลปินตัวจริงที่ทุกคนให้การยอมรับ
ถึงจะมีบางคนบอกว่าชีวิตของหนุ่มคนนี้มีแต้มต่อแห่งความสำเร็จมาตั้งแต่แรก เพราะเขามีพร้อมทุกอย่างมาตั้งแต่เกิด เหมือนกับมีแสงสปอตไลต์สาดส่องมาที่ตัวตลอดเวลา แทบไม่ต้องพยายามอะไร แต่สิ่งที่เราคิดไว้นั้นผิดไปเกือบทั้งหมด ไม่มีใครเกิดมาแล้วพร้อมสมบูรณ์ไปเสียทุกอย่าง และเราทุกคนมีภารกิจในการตามหาเส้นทางชีวิตที่ดีของตัวเอง นี่คือสิ่งที่เราได้รับจากการสนทนากับหนุ่มคนนี้
“
ผมฟังทุกอย่าง เพราะว่าถ้าจำกัดเพลงจะมีให้ฟังน้อย ฟังไม่พอ แล้วก็ค้นคว้าหาสิ่งที่ตัวเองชอบไปเรื่อยๆ ช่วงนี้ชอบอะไร ก็จะค้นคว้า ฟังให้ลึก ลึกให้ถึงแก่นว่าเพลงนี้ทำขึ้นมายังไง เครื่องดนตรีชิ้นนี้เล่นโดยใคร อัดที่ไหน วงนี้ไปแสดงสดที่ไหนมาก่อนบ้าง
”
เรายังจำภาพที่คุณปรากฏตัววันแรกกับวงกรูฟไรเดอร์สได้ ตอนนั้นคุณมีพลังล้นเหลือมาก เรียกได้ไหมว่านั่นคือความฝันของคุณในวัยหนุ่ม
ตอนนั้นเป็นช่วงที่เรียนจบ เริ่มทำงานกับธุรกิจของที่บ้านแล้วประมาณครึ่งปี ผมได้รับทาบทามให้มาทำวงดนตรีดิสโก้ฟังก์ คือวงกรูฟไรเดอร์ส ผมตอบตกลงทันทีเพราะอินกับดนตรีแนวนี้อยู่แล้ว กลับบ้านไปก็บอกกับพ่อแม่ว่า ขอไปลองร้องเพลงดูสักปีนะ ถ้าเพลงปล่อยออกมาแล้วไม่ดัง ค่อยกลับมาทำงานกับที่บ้านต่อ (หัวเราะ) แต่ปรากฏว่า เฮ้ย เพลง ฮอร์โมน ดังขึ้นอันดับหนึ่งชาร์ตรายการวิทยุ 4 สัปดาห์ติด จากที่ขอมาร้องเพลงปีเดียว เลยกลายเป็น 17 ปีเข้าไปแล้ว
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผมไปเที่ยวผับบ่อย ตอนนั้นแนวดนตรีที่กำลังมาแรงคือ rave เป็นอิเล็กทรอนิก ซึ่งใหม่มากเพราะมันฉีกออกมาจากดนตรีเฮาส์หรือเทคโนแดนซ์ ผมเที่ยวอยู่แถวสีลม ซอย 4 ประจำ เป็นเธคแนวอันเดอร์กราวนด์ ก็มีแมวมองมาชวนไปทำสกรีนเทสต์กับแกรมมี ตอนนั้นผมเป็นผู้ชายสีทอง ใส่กางเกงขารูตกับเสื้อยืดเก่าๆ คล้องโซ่เต็มตัว มีลูกประคำ เจาะหู ทุกอย่างถูกระเบียบของความเรฟมาก (หัวเราะ) ซึ่งผมชอบแต่งตัวแบบนี้
ตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษก็แต่งตัวแบบนี้ เจอครอบครัวคนไทยมาส่งลูกที่มหาวิทยาลัย เขาก็พูดว่า ‘ดูไอ้เด็กเกาหลีคนนั้นสิ พ่อแม่ไม่สั่งสอน ดูมันแต่งตัว ดูหัวมัน’ ผมก็เลยบอกไปว่า ‘สวัสดีครับ ผมคนไทยครับ’ (หัวเราะลั่น) พอวันไปสกรีนเทสต์ ผมจำได้ว่าตัวเองร้องเพลงของ พี่บิลลี่ โอแกน สองเพลง เพราะตอนนั้นผมชอบพี่บิลลี่มากๆ รู้สึกว่าจะเป็นเพลง คำมักง่าย กับ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
พี่ปั๋ง (ประกาศิต โบสุวรรณ) ก็เรียกผมไปคุยบอกว่า เฮ้ย น้องร้องเพลงได้นี่ พี่ชอบสไตล์น้อง เต้นได้ดี ถ้าน้องได้เป็นศิลปินจะทำไง? ผมตอบกลับไปทันทีว่า ‘อ๋อ ผมไม่อยากเป็นครับพี่ ผมจะเรียนหนังสือให้จบก่อนครับ’ อันนี้คือความคิดที่ผมมีมาตลอด การเป็นนักร้องไม่เคยอยู่ในแพลนเลย แต่ผมมีวงดนตรีตอนอยู่มัธยมที่เตรียมอุดมศึกษา ตอนไปอยู่ต่างประเทศผมก็เล่นดนตรีกับเพื่อน มีรับจ๊อบร้องเพลงที่บาร์แจ๊ซของคนไทย พี่ปั๋งก็ทำหน้างงๆ ประมาณว่า อ้าว แล้วมึงมาสกรีนเทสต์ทำไม (หัวเราะ) คือผมแค่อยากจะรู้ว่าตัวเองทำได้แค่ไหน แล้วผมอยากมีเพลงที่อัดร้อง อยู่ในสตูดิโอดีๆ ที่เขามิกซ์มาสเตอร์แล้วส่งมาให้เราฟัง ผมอยากแค่นี้จริงๆ
ตลกดี พอบางคนชอบบอกว่าเขาไม่อยากเป็นนั่นเป็นนี่ แต่สุดท้ายเขาก็ได้เป็นแบบนั้นนั่นแหละ แบบที่เขาไม่ได้คิดจะเป็น
ใช่ๆ ชีวิตนี่มันอะไรก็ไม่รู้ โอเค เราก็มีฝันว่าอยากเห็นตัวเองร้องเพลง แต่เราไม่ได้บอกว่าตัวเองต้องมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก แต่เหมือนทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว ผมคิดมาตลอดว่าพอเรียนจบก็กลับไปทำธุรกิจกับครอบครัว กลับมาขายรถ แต่พอพี่ก้อ (ณฐพล ศรีจอมขวัญ) กับพี่สมเกียรติ (สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์) มาบอกว่า เฮ้ย! มาลองทำเพลงกัน ผมก็เอาๆ ลองดู แค่นั้นเอง
เพราะต้นทุนของผมคือการฟังเพลงที่ไม่มีขอบเขต ฟังเพลงตลอดเวลา ผมไม่เคยจำกัดตัวเองว่าเราเป็นคนร็อก จะฟังแต่เพลงร็อก เราเป็นคนฮิปฮอป ก็ต้องฟังแต่ฮิปฮอป ต้องแต่งตัวฮิปฮอปตลอดเวลา ผมไม่เคยจำกัดตัวเองว่าเป็นคนแนวไหน ผมฟังทุกอย่าง เพราะว่าถ้าจำกัดเพลงจะมีให้ฟังน้อย ฟังไม่พอ แล้วก็ค้นคว้าหาสิ่งที่ตัวเองชอบไปเรื่อยๆ ช่วงนี้ชอบอะไร ก็จะค้นคว้า ฟังให้ลึก ลึกให้ถึงแก่นว่าเพลงนี้ทำขึ้นมายังไง เครื่องดนตรีชิ้นนี้เล่นโดยใคร อัดที่ไหน วงนี้ไปแสดงสดที่ไหนมาก่อนบ้าง
ถ้าชีวิตนี้ไม่มี plan แล้วเราจะ discovery มันได้อย่างไร
จริงๆ แล้วตอนที่อัลบั้มเสร็จออกมา ผมก็ยังคิดว่าไม่น่าจะใช่เลยนะ เพราะส่วนตัวเป็นคนขี้อายมากๆ ถ้าอยู่กับเพื่อนจะบ้าบอเต็มที่ แต่ถ้าให้ขึ้นบนเวที ให้พูดอะไร แสดงอะไร จะไม่ค่อยชอบเลย เพราะอาย จนมาถึงจุดหนึ่งมีคนบอกว่า เพลงมันดังแล้ว แต่ทำไมพอไปเล่นสดมึงขี้อายอย่างนี้วะ ไม่สนุกเลย
แล้วก็โดนคำด่าที่แรงกว่านั้น คือพี่สุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์) ซึ่งผมโกรธมากเลยนะตอนนั้น (หัวเราะ) ตอนนั้นผมคิดเลย มาว่ากูอย่างนี้เหรอ เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดู เดี๋ยวจะทำให้ดู วันหนึ่งพี่จะต้องมาขอให้ผมร้องเพลงในอัลบั้มพี่ ซึ่งสุดท้ายก็ทำได้นะ ต้องขอบคุณพี่สุกี้ ถ้าเขาไม่ด่าผมวันนั้น ผมก็คงไม่มีวันนี้
เพราะหลังจากวันนั้นคือผมสู้ ผมพัฒนาตัวเอง ฝึกฝน ทำทุกอย่างเปลี่ยนความคิดใหม่เลย จากที่คิดว่าจะทำยังไงให้เราเป็นศิลปินที่ดี สุดท้ายก็ค้นพบว่าการเป็นตัวเองแหละดีที่สุด คือ discover ว่าเราไม่ต้องไปดัดแปลง ไม่ต้องไปเป็นอะไร พอเป็นตัวเอง ก็เป็นธรรมชาติ พอเป็นธรรมชาติ ก็เป็นตัวเราเอง เป็นคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนของเราเอง
ตอนนั้นเสียดายโอกาสที่จะทำงานให้กับธุรกิจครอบครัวไหม
ก็ยังทำงานควบคู่ไปด้วย จนเริ่มมีทัวร์เยอะๆ น่าจะเป็นช่วงอัลบั้มที่ 2 คือ The Lift ตอนนั้นถือว่าพอจะมีชื่อเสียงแล้ว กลุ่มผู้ฟังมากขึ้นเรื่อยๆ เพลง หยุด เป็นเพลงที่ทุกคนร้องได้ ไปทุกผับต้องเล่น ทุกงานแต่งงานต้องใช้ เรามีเพลงฮิตอยู่มากพอสมควร ทำให้เรามีทัวร์ ตั้งแต่เล่นดนตรีมา ผมทัวร์มาแล้วไม่น่าต่ำกว่า 5-6 พันครั้ง ในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา
อาจเป็นเพราะวงเราเกิดขึ้นมาในยุคที่นักดนตรีมีที่ให้เล่นสดเยอะ เป็นช่วงที่ดนตรีอินดี้หรือค่ายเล็กๆ ขึ้นถึงขีดสุดพอดี แล้วก็เป็นช่วงที่เมืองไทยเริ่มเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การเที่ยวของคน จากการไปเที่ยวเธคเป็นเที่ยวผับ ผับต้องมีวงดนตรีสด พวกเรากรูฟไรเดอร์สเกิดขึ้นมาพร้อมกับเจเนอเรชันนั้น ทำให้วงเราถึงไม่ได้อยู่ค่ายใหญ่ ไม่มีมิวสิกวิดีโอฉาย ไม่มียูทูบด้วยนะช่วงนั้น
แต่เราเหมือนสาวขายเครื่องสำอางที่ไปเคาะประตูหน้าบ้าน แล้วกดเรียก ติ๊งต่อง กรูฟไรเดอร์สมาแล้วค่ะ แล้วเป็นการบอกปากต่อปากว่า เฮ้ย! มาดูพวกแม่งแล้วมันว่ะ อยากจะชวนเพื่อนมาดู เข้าไปแสดงในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ทำให้เราเริ่มมีแฟนเพลงที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ กว่าวงดนตรีอินดี้ทั่วไป เราเล่นโชว์สดมาเรื่อยๆ ก็เป็นการพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ
เราจำได้ว่าช่วงอัลบั้ม Discovery กับ The Lift นั้นห่างกันตั้ง 6 ปี ช่วงระหว่างนั้นมีอะไรเกิดกับคุณบ้าง
จริงด้วย แปลกดีที่เราเป็นวงดนตรีที่มีเพลง 10 กว่าเพลง แต่ 10 เพลงนั้นสามารถอยู่ได้ถึง 6 ปี คงเพราะเพลงเราไม่ได้ประโคมโปรโมตให้คนรู้จักทีเดียวภายใน 2 เดือน แล้วหลังจากนั้นหายไปเพราะคนฟังจนเอียน แต่เป็นการฟังที่ค่อยๆ บอกต่อไปเรื่อยๆ ใช้เวลาเดินทางนานกว่า แต่กลับอยู่ได้นานกว่า ถือเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกมากๆ ออกอัลบั้มเดียวอยู่ได้ 6 ปี สำหรับพวกเราถือเป็นเรื่องที่พิเศษมากๆ ขอบคุณมากๆ
ตอนออกอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง Gran Turismo ตอนนั้นวงการเพลงไทยกำลังวิตกกันอยู่ว่าจะเอายังไงกันดี แต่คุณก็ยังยืนยันจะเข็นอัลบั้มของตัวเองออกมา
ช่วงนั้นค่ายเพลงปิดตัวกันไปเยอะมาก แต่ผมเป็นคนสวนกระแสกับทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลาอยู่แล้ว Gran Turismo เป็นชุดที่ผมทำโปรดักชันแพงที่สุดตั้งแต่เคยทำดนตรีมา เพราะเป็นอัลบั้มที่ใจมากๆ เป็นช่วงที่สั่งสมประสบการณ์ของดนตรีแนวโซล แนวฟังก์ แนวดิสโก้ มาจนถึงจุดอิ่มตัวที่สุด
ผมพบว่าตัวเองเป็นชอบดนตรีโซลในช่วงที่กำลังเกรี้ยวกราดของโซล คือประมาณปี 1968 เป็นยุคที่คนดำในอเมริกาเริ่มปฏิวัติ เขาทนการกดขี่ข่มเหงไม่ไหว โดนลิดรอนสิทธิ ไม่ได้เลือกตั้ง มี มาร์ติน ลูเธอร์ คิง, มัลคอล์ม เอ็กซ์ นักปฏิวัติเกิดขึ้นมาเยอะมากๆ แล้วดนตรีก็เลยเป็นแบบนั้น เขาเรียกว่า ยุค black partition คือยุคที่คนดำถ่ายทอดความโกรธออกมา ผมคิดว่า Gran Turismo มีคอนเซ็ปต์แข็งแรงมาก ยากมาก แต่ตอบสนองความต้องการของตัวเอง 100%
มีเพลงที่ไม่ชอบคือเพลง เกือบ เพราะรู้สึกว่าไม่ตรงกับคอนเซ็ปต์อัลบั้ม มันโดด แต่เป็นเพลงที่เพราะมาก ผมไม่ฟังเพลงนี้เลยนะ ตอนแรกเพลงนี้เป็นเพลงบรรเลงของพี่กั้ง (อดิศักดิ์ หัตถโกวิท) ผมฟังแล้วก็ ‘โอ้โฮ พี่ คอร์ดแม่งโคตรเพราะเลยอะ เอามาแต่งเนื้อใส่ลงไปเหอะ’ ก็เลยส่งให้ พี่บอย ตรัย เป็นคนเขียนในตอนนั้น พอได้ฟังปุ๊บ พอเข้าท่อน เกือบลืมไปแล้ว… ผมยกมือขวาขึ้นมาทันที (หัวเราะ) เราไม่ใช่วงร็อกนะ ผมเลยไม่เอาดีกว่า เอาเพลงนี้ให้ใหญ่ โมโนโทนไป
แต่สุดท้ายค่ายมาบอก พี่ๆ เพลงนี้โคตรดีเลย เอากลับมาเถอะ ทุกคนบังคับ สุดท้ายก็เอากลับมา และกลายเป็นเพลงที่ดังที่สุดในอัลบั้ม ซึ่งมันตรงกับสิ่งที่พ่อพูดกับผมเสมอ พ่อบอกผมว่าอะไรรู้ไหม พ่อบอก เพลงไหนที่เราชอบที่สุด จะไม่ใช่เพลงดัง และเพลงที่เราไม่ค่อยชอบมันจะเป็นเพลงที่ดัง (หัวเราะ) ซึ่งมันเป็นเรื่องตลก และมันมักจะเกิดขึ้นเสมอ ในอัลบั้ม Discovery เพลงที่ผมชอบที่สุดคือเพลง Zalux หรือเพลง สบาย ซึ่งก็เป็นเพลงที่ดังน้อยที่สุดในอัลบั้ม ชุดที่ 2 ผมชอบเพลง น้องคะ กับ She’s Hot ก็เป็นเพลงที่ดังน้อย เพราะว่าในความเข้มข้นของดนตรีสองเพลงนี้มันสุดมาก และวิธีการร้องที่ตลกๆ ผมเลยชอบ
ดังนั้น หลังๆ มานี้เวลาจะเลือกเพลงมาโปรโมต ผมจะเลือกไม่ได้เพราะว่าเพลงที่ผมชอบจะเป็นเพลงที่ไม่ดังเสมอ แต่ในแง่ของนักฟังเพลงผมคิดว่าก็น่าจะชอบคล้ายๆ กัน แต่กลายเป็นว่าอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ผมเล่นคอนเสิร์ตกับเพลงในอัลบั้มได้น้อยมาก เพราะทุกเพลงมันยากสำหรับคนฟัง (หัวเราะ)
เราได้ฟัง Spotlight ซึ่งเป็นเพลงในอัลบั้มล่าสุดของคุณแล้ว เป็นเพลงเปิดตัวที่คึกคักทีเดียว
เพลงนี้แนวโซล ฟังก์ แล้ววิธีการทำงานก็เปลี่ยนไปหมดเลย เพราะตอนทำ Gran Turismo เราใช้โปรดักชันที่ใหญ่มาก บางครั้งใช้เครื่องเป่า เครื่องสาย ใส่ไว้ในเพลงเกือบ 99 ชิ้น พอทำชุดนี้เป็นช่วงที่อายุมากขึ้น คำว่า less is more มันโดนเราแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องดนตรีเยอะ ไม่จำเป็นต้องมีเสียงเยอะ ก็สามารถกลมกล่อมได้เหมือนกัน มีการวางแผนไว้ทุกอย่าง
มือเบสที่เล่นให้ผมเป็นมือเบสที่เล่นให้กับ ไมเคิล แจ็กสัน เล่นให้ Daft Punk ชื่อ เนธาน อีสต์ เล่นให้กับศิลปินมาแล้วทั่วโลก เรียกว่าเป็นเบอร์หนึ่งของโลกเลยก็ได้ มือกลองก็เป็นคนผิวสี ชุดนี้มีคนผิวสีที่ร่วมทำงานด้วยกันทั้งหมด 4 คน ดังนั้น ในพาร์ตริธึมจะเป็นคนผิวสีหมดเลย ส่วนมือกีตาร์อีกคนชื่อ แจ็ก ลี เขาเป็นลูกศิษย์ของ จอห์น สโกฟิลด์ เป็นมือกีตาร์แจ๊ซระดับโลกคนหนึ่งมาเล่นให้
ทีมมิกซ์เสียง ผมให้ เอริก เฟอร์กูสัน ทำให้เหมือนเดิม เขาเคยทำให้ชุด Gran Turismo เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมา ทำงานมาด้วยเป็น 10 ปี แล้วก็เป็นคนที่ทำให้ศิลปินต่างชาติในระดับได้รางวัลแกรมมีกันหลายคน ส่วนมาสเตอร์เอนจิเนียร์ ผมเลือก Bernie Grundman เป็นคนที่ทำให้ ไมเคิล แจ็กสัน ชุด Thriller เป็นอัลบั้มที่ผมชอบมาก เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในโลกตลอดกาลด้วย เลยใช้เวลาพอสมควรกว่าจะได้ตัวเขามา
ไปๆ มาๆ สิ่งที่คิดว่า less is more โปรดักชันที่เล็กลง กลายเป็นว่าใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก (หัวเราะ) เป็นอัลบั้มที่แพงที่สุดเท่าที่เคยทำดนตรีมา
คุณบอกว่าเพลง Spotlight จะเป็นการบอกถึงทิศทางของเพลงที่เหลือในอัลบั้มนี้ทั้งหมด ซึ่งเรารู้สึกว่ามีความเป็นดนตรีของยุค 80s ที่ชัดมากๆ ทำไมถึงหยิบเอาดนตรีในยุคนี้มาเป็นแรงบันดาลใจ
เพราะเพลงยุค 80s คนเริ่มเอาซาวนด์แบบอิเล็กทรอนิกมาใช้ เรียกว่ายุค anti-disco เพราะเขาไม่ไหวกับเพลงดิสโก้แล้ว ฟังดิสโก้มาตั้งแต่ยุค 70s จนมาถึงยุค 80s วงพ็อพ วงร็อก หันมาเล่นดิสโก้หมด ดนตรีโซลมันเลยเริ่มพลิกขึ้นมา หันมาใช้เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิก ทำอย่างไรให้ซาวนด์กลองเปลี่ยนเป็นเสียงของไฟฟ้าโดยใช้ pad ตี ใช้เครื่องที่เรียกว่า top box ต่อเข้ากีตาร์ก็ได้ ต่อเข้าคีย์บอร์ดก็ได้ หรือพูดลงไปเสียงจะกลายเป็นเสียงแบบหุ่นยนต์
เราก็เลือกเอามาใช้ ให้มันเป็นมุมมองของเรา แต่มีกลิ่นของยุคนั้นอยู่ จริงๆ เรียกว่าอิเล็กโทรโซลก็ได้ หรือจะเรียกว่านิวโซลก็ได้ เพราะว่าชุดนี้ผมคิดว่าประสบการณ์ของเพลงโซลที่ผมมีตลอดชีวิต เอามาปลดปล่อยให้กับอัลบั้มนี้มากที่สุด
ผมทำมาหมดแล้ว Gran Turismo มีทั้ง 60s และ 50s รวมอยู่ในนั้นด้วย ช่วงทำกับกรูฟไรเดอร์ส มี 70s เข้า 80s อย่างเพลง Lift เรียกว่าเข้า 80s นอกนั้นก็จะเป็นยุค 70s หมด เลยอยากจะทำอะไรที่แตกต่างจากสิ่งที่ทำมาทั้งหมด ก็เลยมายุค 80s ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ วิธีการทำงานก็เป็นแบบใหม่ทั้งหมด
ผมคิดว่าเราสนุกกับการทำงานมาก ยากไหม ก็ยาก เพราะเราไม่เคยทำแบบนี้ก็ลองมาทำ ทดลองทุกอย่าง ใช้หมอนมาซับกลอง เพื่อให้ซาวนด์เป็นอีกแบบให้ได้ หมอนคนใช้ไม่ได้ ไปหยิบหมอนหมามาใช้ (หัวเราะ) หมอนข้างบ้าง เอาอะไรต่ออะไรมาลองเพื่อให้ได้ซาวนด์กลองที่แตกต่างออกไป วิธีการอัดก็ใช้วิธีการอัดแบบยุค 80s คือยุคแอนะล็อก ผมไม่ได้อยากได้ซาวนด์แบบดิจิตอล
ผมชอบแอนะล็อก ฟังแล้วอบอุ่นกว่า นุ่มนวลกว่า เหมือนเราฟังจากแผ่นเสียง ถ้าคุณติดการฟังแผ่นเสียงแล้วคุณจะไม่อยากฟังดิจิตอล เพราะมันแข็ง พอมันแข็งแล้วมันไม่ใช่เรื่องจริง มันมีการปรับเสียงให้เพราะที่สุดเพื่อให้ตรงกับเครื่องเสียงของคุณและหูคุณมากที่สุด ผมเลยใช้วิธีการอัดด้วยเทป reel ที่เป็นเทปกลมๆ หมุนๆ ผลลัพธ์ที่ออกมาดีเยี่ยม ผ่านไป 20 ปี เอากลับมาฟังอีกก็ยังมีความสุขอยู่ (ยิ้ม)
งานเพลงก็ประสบความสำเร็จ ธุรกิจที่ทำก็ไปได้ด้วยดี ไม่มีปัญหา ความรักดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ยากเหมือนกันใช่ไหม
ไม่ถึงกับง่ายนะ เพราะผมกับภรรยาเป็นแฟนกันมา 11 ปี ตั้งแต่ผมอยู่ ม.6 กว่าจะได้แต่งกันก็ตอนผมอายุ 27
รักที่ยืนยาวแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ผมไม่เคยเสแสร้ง เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น ผมเป็นคนไม่ซื้อดอกไม้ให้ เพราะไม่ชอบดอกไม้ แต่ผมว่าผู้หญิงชอบเวลาผู้ชายมอบดอกไม้ให้ ส่วนตัวคิดว่าดอกไม้คืออะไรที่ไร้สาระ พอซื้อจากร้านปุ๊บ ห่อเสร็จ เอามาให้ผู้หญิง ผู้หญิงก็… อุ๊ย สวยจัง กลับไปถึงบ้านก็กลายเป็นดอกไม้แห้ง เสร็จแล้วก็ทิ้งมัน ผมไม่เห็นคุณค่าของสิ่งอย่างนี้
“
ผมชอบให้ของที่สามารถอยู่กับเขาได้ตลอด ผมอยากจะแต่งเพลงให้เขา ผมอยากจะร้องเพลงให้เขา ให้เขาเก็บเพลงเพลงนี้ ดูเหมือนผมเป็นคนโรแมนติกใช่ไหม แต่ไม่เลย ผมไม่โรแมนติก
”
ครบรอบการคบกันกี่ปีผมยังไม่รู้เลย แทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราแต่งงานกันวันไหน แฟนผมก็จำไม่ได้ด้วยว่าเราแต่งงานกันวันไหน (หัวเราะ) เราไม่เคยต้องไปจำอะไรแบบนั้น เพราะวันที่เราแต่งงานกันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษอะไร แต่ผมจำได้ว่าวันแรกเราเจอเขาที่ไหน ผมจำได้ว่าเจอเขาครั้งแรกวันที่ 15 เมษายน ผมจำได้วันเดียว แล้วผมก็ไม่จำวันอื่นอีก (หัวเราะ)
คนที่จะเป็นแฟนกันได้ต้องชอบอะไรคล้ายกัน เหมือนเป็นแรงดึงดูดแต่ละคนมาเจอกัน
ไม่เลย เขาเกลียดผมด้วยนะ ตอนแรกๆ เขาไม่ชอบผม เขานึกว่าผมเป็นตุ๊ดด้วยซ้ำ (หัวเราะ)
เพราะตอนนั้นคุณทำผมสีทอง ห้อยโซ่มาครบ เป็นหนุ่มเรฟขนาดนั้น
ยังๆ ตอนนั้นยังไม่เรฟมาก ตอนนั้นอยู่ ม.6 ผมจบจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แล้วไปเข้าโรงเรียนอินเตอร์ ISB (International School Bangkok) เปิดเทอมวันแรกวันที่ 14 เมษา เขาไม่มา เขามาวันที่ 15 เมษา เราเจอเขาวันแรกก็… โอ้โฮ ผู้หญิงคนนี้น่ารัก
เวลาเราเจอใครที่รู้สึกแบบนี้ ทุกอย่างจะกลายเป็นภาพสโลว์ไปหมดเลย คุณเคยเป็นไหม
ไม่สโลว์เท่าไหร่ แต่จำภาพได้ว่าเรียนห้องอะไรอยู่ เรื่องของเรื่อง เราคิดว่าเขาชอบเราก่อน เพราะก่อนปิดเทอมเขาไปเที่ยวมา แต่พอกลับมาเขาเอาปากกามาแจกคนทั้งห้อง แต่เราเป็นเด็กใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก ตัวเองก็ไม่รู้จักใคร แต่เขาให้ปากกาโดนัลดั๊กกับเรา เราก็คิดว่า อีนี่ชอบกูแน่เลย (หัวเราะ) มันเป็นชีวิตวัยรุ่น หลังจากนั้นก็เป็นเพื่อนกันมาเรื่อยๆ เขาก็เกลียดผม เขาก็ไม่ชอบผม เพราะผมเป็นคนกวนตีน เป็นเด็กเกเรพอสมควร และผมมีเรื่องชกต่อยบ่อยมาก
แล้วพัฒนามาเป็นแฟนกันได้อย่างไร
คงเริ่มจากไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ แล้วค่อยๆ ซอยลงไปเรื่อยๆ จนเหลือ 2 คน แล้วก็ไม่เคยขอเป็นแฟนด้วย จนจูบกัน ก็เลยนี่ไง แฟนกูแล้วล่ะ (หัวเราะ)
สุดท้ายจากคนที่ไม่ชอบหน้าก็รักกันเหมือนนิยายโรแมนติกเลย
ก็มีลูกด้วยกัน 2 คนนะ (หัวเราะ) จนปัจจุบันเป็นแฟนกับเขามา 25 ปี เข้าปีที่ 26 เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก เพราะเขารู้ใจเราเหลือเกิน เหมือนเป็นพี่น้องกันไปแล้ว เราคบกันมาเกินครึ่งชีวิตเราอีก ผมรู้จักกับเขามามากกว่าที่ผมไม่รู้จักเขาแล้ว ที่คนบอกว่ามองหน้าก็รู้ใจ นี่ไม่ต้องมองหน้าเลย ฟังเสียง นั่งอยู่เฉยๆ ยังรู้เลย
ถ้าเป็นเราจะรู้สึกสบายใจด้วยซ้ำที่เราเจอคนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข
ใช่ จริงๆ ผมเป็นคนปากแข็ง ไม่มีใครรู้ใจผมเท่าเขา แล้วเขาก็เป็นคนที่น่ารักสม่ำเสมอ นิสัยน่ารัก แล้วก็เป็นคนที่ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิง 100% หรือเพราะว่าเขาอยู่กับผมมานาน ผมเลยถ่ายทอดความเสื่อมไปให้เขาวะ (หัวเราะ) ทำให้เขาเป็นเหมือนเพื่อนเรา เที่ยวด้วยกันได้ ไปไหนมาไหนมีแค่สองคนก็พอ