แจ๊ส ชวนชื่น

แจ๊ส ชวนชื่น | บททดสอบของอันเดอร์ด็อก กับการพิสูจน์ตัวเองจากตลกสู่ฟรอนต์แมนวงดนตรี

เราคิดว่าคำว่า ‘underdog’ เป็นคำที่นิยามผู้ชายที่ชื่อ ผดุง ทรงแสง หรือรู้จักกันดีในชื่อ แจ๊ส ชวนชื่น ได้ดีที่สุด ทั้งชีวิตของผู้ชายคนนี้ล้วนต้องต่อสู้และก้าวผ่านสิ่งต่างๆ ในฐานะมวยรองอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่บทบาทการเป็นตลกน้องเล็กของครอบครัวชวนชื่น ที่ในวันนั้นสถานะของเขาอยู่ในจุดที่เรียกว่า ‘ตัวโดน’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สายตาดูถูกดูแคลน และแรงกดดันที่คนมักติดภาพว่าเขาเป็นแค่ตลก ทำให้ตัวตนภายในของเขาไม่สามารถแตกระเบิดออกมาได้อย่างเต็มที่ จนเขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของครอบครัวชวนชื่นอย่างเต็มตัว และพิสูจน์ตัวเองจากบทบาทตลก สู่การเป็นฟรอนต์แมนของวง แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

แจ๊ส ชวนชื่น

 

รู้ตัวไหมว่ากว่าเราจะได้คิวมาคุยกับคุณนี่ยากมากเลย ทำไมคุณถึงมีคิวงานแน่นขนาดนี้

     นี่ไม่ได้หยุดเลยนะ คือถึงแม้จะหยุด ตัวหยุด แต่สมองไม่ได้หยุด พอได้หยุดงานหนึ่ง เราก็ต้องคิดงานอื่นต่อ คือมันมีงานส่วนที่ต้องรับผิดชอบตามปกติ เราก็ทำตามแพตเทิร์นที่ต้องทำไป แต่เวลาว่างนอกเหนือจากงานปกตินั้นแทบไม่เหลือแล้ว เรานั่งเฉยๆ ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนที่แค่รับงานออกรายการแล้วก็กลับบ้านได้ไปอยู่กับตัวเอง เดี๋ยวนี้เราทำแบบนั้นไม่ได้ เวลาที่เหลือจากนั้นก็ต้องไปใช้กับวงดนตรีด้วย เลยไม่ค่อยได้พัก กลับมาก็ต้องมานั่งคิดว่าจะทำเพลงอะไรต่อดีวะ โชว์กูจะเอาเพลงอะไรมาเล่นดี นี่มันจะปีหนึ่งแล้วที่วงผมเล่นเพลงเดิมๆ มาจนคนจำได้หมดแล้ว ในหัวจะคิดอยู่อย่างนี้

     แต่ในความเหนื่อยก็มีความสนุก เรารักความอิสระที่อยู่ในการทำงานแบบนี้ เคยนั่งบวกลบคูณหารกับตัวเองดูแล้วนะ รู้สึกว่า ไอ้เหี้ย! กูชอบนี่หว่า กูถึงได้มาทำเนี่ย ถ้าไม่ชอบกูคงไม่ทำแล้ว เพราะว่าเรารู้นิสัยตัวเองดี ถ้ามีใครมาบังคับเราคงไม่ทำ เหมือนถ้าใครจะมาเค้นให้แจ๊สช่วยแกะสลักแอปเปิ้ลให้หน่อย กูก็ไม่ทำ บางครั้งเหนื่อยมากๆ ไปนั่งอยู่บนระเบียง สูบบุหรี่กินเบียร์ไป นั่งด่าตัวเองไปว่าจะคิดทำไม ไอ้เหี้ยไม่ต้องคิด วันนี้ตั้งใจว่าจะนั่งเฉยๆ ไม่ต้องคิดสิ สุดท้ายก็ทนไม่ได้ เพราะเราชอบงานนี้ เราถึงต้องคิด เลยรู้สึกว่า เออๆ ต้องปล่อยว่ะ กูชอบเอง กูเลือกแล้ว ที่สลัดไม่หลุดจากหัวก็เพราะว่าเราชอบมันมากๆ ช่างมันไม่เป็นไร

 

คุณใช้สมการนี้มาตลอดชีวิตเลยหรือเปล่า ‘ชอบแล้วถึงทำ’

     ไม่หรอก แรกๆ ยังเลือกไม่ได้ กว่าจะมาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ก็ต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบทั้งนั้น อย่างตอนเด็กๆ รู้สึกว่า เฮ้ย กูอยากทำงานกับเพื่อนว่ะ เราอยู่กับผู้ใหญ่ไม่เป็น พูดออเซาะคุยกับใครเขาไม่ได้ ครั้นจะทำงานอย่างเดียวแล้วกลับบ้านเลยก็ไม่ได้อีก ต้องเริ่มเข้าหาผู้ใหญ่ รับงานเล่นละครเรื่องหนึ่ง ต้องไปร่วมโปรโมต ต้องไปงานบวงสรวง ในใจเราก็ไม่อยากไป อยากทำงานแล้วกลับเลย จะมีแง่อะไรแบบนี้อยู่ แต่เราพบว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ

     คือเรารักในอาชีพตลกนะ ในระหว่างทางที่กำลังเล่นละคร กำลังเล่นหนัง กำลังสวมบทบาทอื่นๆ อยู่ เราได้แต่คิดว่าจะเดินไปข้างหน้า และหวังว่าสักวันหนึ่งคนจะได้เห็นตัวกูจริงๆ ไม่อยากให้คนเห็นตัวกูแล้วรู้สึกว่า อ๋อ ไอ้คนนี้ไงที่มันเล่นละคร ไอ้นี่ไงที่มันเล่นตลก เราอยากให้คนรู้ว่าตัวเราเป็นแบบนี้ อยากให้คนเห็นหน้าแล้วรู้นิสัยเลยว่าเราเป็นคนยังไง ไม่อยากให้คนมาเห็นแค่ภาพลักษณ์ภายนอก อ๋อ มึงเป็นลูกพ่อดม (อุดม ชวนชื่น) ออกทีวีโด่งดังก็แค่นั้น แต่กว่าจะมาเป็นวันนี้ได้อาชีพตลกเป็นสิ่งที่พาเรามาเจอสิ่งเหล่านี้หมดเลยนะ

     เราเคยเป็นตลกวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไม่ได้เล่นตลกขำนะ แต่เป็นตลกที่สามารถทำอะไรที่กูชอบได้ กูชอบแต่งตัว ชอบร้องเพลง ชอบเสพอะไรที่ไม่เคอะเขินถ้าจะทำออกไป เลยกลายเป็นการแสดงตัวเราหลายๆ ด้านออกไป แล้วก็เดินมาเรื่อยๆ จนถึงวันที่ทุกอย่างในตัวมันแตก พึ่บ! เออ เฮ้ย มันออกมาเป็นสิ่งที่กูชอบหมดเลย

 

แจ๊ส ชวนชื่น

 

จุดเปลี่ยนที่ว่าเกิดขึ้นตอนไหน

     มันค่อยๆ เกิดขึ้นมานะ แต่เราว่าวันที่ระเบิดออกมาจริงๆ คือวันที่มีวงดนตรี เหมือนเป็นจุดที่เราอยากพิสูจน์ตัวเองมั้ง เพราะในบทบาทตลก เราก็เล่นมาจนคนรู้จักดีแล้ว เรามีต้นทุน มีนามสกุลชวนชื่นอยู่ แต่ตอนนั้นในความเป็นตัวเราก็ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมาก จนเราค่อยๆ คลานขึ้นมาและมีคนเรียกเราว่า ‘แจ๊ส ชวนชื่น’

     สำหรับเรากับบทบาทตลก มันจบแล้วแค่นั้น พอตรงนั้นสำเร็จ เราก็กำถุงที่มีอยู่แล้วออกเดินต่อไป ถือถุงใหม่คือวงดนตรี ก็เริ่มนับหนึ่งใหม่ ใช้ชื่อว่า ‘แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก’ ทั้งที่เรามีชื่อเสียงอยู่แล้ว แต่บอกกับตัวเองว่ากูจะแยกออกมา เพราะจะนับหนึ่งใหม่

     สิ่งที่กลัวที่สุดคือคนบอกว่า ไอ้เหี้ยแจ๊ส ชวนชื่น นี่ทำวงมายังไงก็มีคนจ้างอยู่แล้ว เราคิดอย่างเดียวว่าถ้าจะทำวง ก็ต้องทำจริงจัง ถึงแม้จะเป็นเพลงตลกหรือเพลงอะไรก็แล้วแต่ กูจะทำมันจริงๆ ไม่ได้เอาชื่อเสียงของตัวเองมาหากินตรงนี้ เราต้องพิสูจน์ตัวเองด้วย

 

ตอนเริ่มวงแรกๆ เป็นอย่างไร

     ทำทุกอย่าง เอาวงไปเสนอคน ทำถึงขนาดว่าเวลาออกงานอีเวนต์ก็จะเดินไปบอกเขาเลยว่า พี่ครับ ผมมีวงนะครับพี่ แรกๆ เขาก็บอกว่า พี่เอาเป็นแจ๊สคนเดียวดีกว่า แต่เราก็พยายามพูดอยู่อย่างนั้นตลอด พอมีงานจ้างเขาให้แค่สี่หมื่นบาทต่องาน แต่สมาชิกในวงผมมี 15 คน ผมก็ยอมนะ มีครั้งที่ไปช่วยร้องเพลงให้พี่ที่รู้จักกัน ได้มาสองหมื่น วันนั้นเหลือเงินกลับบ้านห้าพัน เราก็ไป ทำแบบนี้มาตลอด ตอนแรกเดือนหนึ่งมีงานแค่ 3 งานเองมั้ง จนวันหนึ่งจำได้เลยว่าไปเล่นร้านชื่อ ‘มาเมา’ ตอนนั้นเพลง คงไม่ทัน (สงกรานต์ รังสรรค์) กำลังดังเลย แล้วมันมีมุกหนึ่ง เป็นมุกตลกนี่แหละ เราเอาเพลง คันหู มาร้องในทำนองเพลง คงไม่ทัน แล้วมีคนเอาคลิปไปลงในเฟซบุ๊ก เชื่อไหม จากที่มีงานเดือนละสองสามงาน พ้นเดือนที่สองไป เพราะคลิปคลิปเดียว วงมีงานเดือนละ 10-15 งาน

     ต่อจากนั้นพวกเรามีเพลง แว้นฟ้อหล่อเฟี้ยว ก็ตูมอีก เพลงนี้เป็นเพลงที่พลิกชีวิตเราจริงๆ จากแต่ก่อนเราเป็นแค่ แจ๊ส ชวนชื่น ทั้งชีวิตไม่เคยมีโฆษณา ไม่เคยเป็นตัวนำในหนังเรื่องไหน ไม่เคยมีเงินเก็บเป็นล้านๆ ไม่เคยเลยนะ เพราะชีวิตเราต้องเลี้ยงคนหลายคนมาก พ่อแม่พี่น้อง ต้องผ่อนบ้านผ่อนรถ แต่คลิปนั้นและเพลงนั้นมันพลิกชีวิตเราหมดเลย เราเลยรู้สึกว่า โอ้โฮ ไอ้เหี้ย นี่แหละคือความเป็นตัวกู คนไม่เคยเห็นว่ากูทำแบบนี้ ซึ่งที่ผ่านมาเขาเห็นกูแค่ในทีวีมันมีข้อจำกัด เขาเห็นแค่นั้น

 

ข้อจำกัดในการทำงานที่ทำให้คุณไม่ได้เป็นตัวของตัวเองคืออะไร

     ก็คนเขาเห็นว่าเราแสดงได้ แต่ไม่รู้ความสามารถอื่นๆ ของเรา เห็นเราเล่นเป็นตัวละครนั้น เป็นพิธีกรรายการนี้ ก็คิดแค่ว่าเราเป็นตลก เราก็เลยไม่สามารถใส่ตัวเรา โชว์เพลง เล่นดนตรีพร้อมๆ กันในรายการได้ แต่พอมาทำวง ในโชว์ของวงเราทุกๆ อย่างมันสามารถเอามาปนกันแล้วดันเกิดเป็นความแปลกใหม่ในวงดนตรี ซึ่งถ้าถามว่าเป็นศิลปินดนตรีไหม

ผมไม่เรียกวงตัวเองว่าเป็นศิลปิน แต่วงกูคือวงดนตรีวงหนึ่ง เรานับเป็นแบบนี้พอ ไม่ได้ฉกาจฉกรรจ์อะไร แค่เหมือนคนคนหนึ่งที่ชอบร้องเพลง อยากจะทำ ไม่ได้อยากจะเป็นแนวหน้าด้วย แต่ทำเพื่อเลี้ยงชีพ และทำเพื่อมีความสุข ขอสองอย่างแค่นี้เอง

     เราไม่เคยคิด เป็นตลกก็ไม่คิด ทำวงก็ไม่คิด แต่มีความเชื่อว่าทุกอย่างมันมาจากงานที่ทำ อย่างที่บอกว่ามีคลิปคลิปหนึ่งทำให้วงเราเป็นที่รู้จักขึ้นมา และเราบอกได้เลยว่ามันต้องมาจากคลิปนี้ มันไม่มีอะไรแน่นอน ตอนออกเพลง แว้นฟ้อหล่อเฟี้ยว แรกๆ ก็ไม่มั่นใจหรอก พวกเราเปิดเพลงฟังกันในรถ ทั้งวงแม่งเงียบกันหมดเลยเว้ย พอฟังจบถามลูกน้องว่ามึงว่าเป็นไงวะ มันตอบ ไม่รู้ว่ะพี่ ผมก็ตอบว่า กูก็ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่เราทำด้วยความเป็นเรา

 

แจ๊ส ชวนชื่น

 

จากตลก มาทำเพลง เคยเจอคำดูถูกดูแคลนอะไรบ้าง

     มันไม่ใช่คำพูดเว้ย แต่เป็นการมอง ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำวงดนตรี เรายังไม่รู้ทิศทางหรอก ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าการทำวงดนตรีต้องมีเซตอัพ ต้องมีการซาวนด์เช็ก เราไม่รู้ ไปตามร้านเราก็ไปเคาะโป๊ะๆ ตึกๆ แล้วก็เล่นเลย คนอื่นเขาต้องเห็นอยู่แล้วว่ามืออาชีพกับไม่มืออาชีพเป็นยังไง บางทีไปเจอสเตจวงอื่นเขาซาวนด์เช็ก มึงรู้ไหม แม่งมองพวกกูตั้งแต่หัวจรดเท้า

คือคนเรานะ จะเริ่มต้นทำอะไร ทุกอย่างแม่งต้องพิสูจน์ ทุกงานในโลกแม่งต้องพิสูจน์

     ถึงสมมติวันหนึ่งเราต้องไปขับรถส่งของ เราก็ต้องพิสูจน์ในงานใช่ไหม บอกตัวเองว่ากูต้องทำให้ได้ เอาการดูถูกพวกนี้มาเป็นแรงขับเคลื่อนในตัว ต้องมองว่าเราขาดอะไร และก็หาสิ่งนั้นมาเติมให้ได้

 

ถ้าเป็นตลกเหมือนเดิมไปเรื่อยๆ ก็ดีสิ ไม่ต้องพิสูจน์อะไรใหม่

     เอาจริงนะ ตอนนั้นไม่ค่อยโดนอะไร เพราะด้วยความที่เราเกิดมาในคณะตลกด้วย มันมีชื่อเสียงที่ลอยอยู่บนอากาศ เราแค่ต้องทำงานไป อยู่ที่ว่าจะไปถึงมันเมื่อไหร่ การเป็นตลกในตอนนั้นไม่มีความกดดันจากคนอื่น แต่มันกดดันจากตัวเราเอง พวกตลกเขาจะไม่มีการกดดันกันหรอก สมมติเราเล่นได้แค่นี้ เขาก็เล่นกับกูแค่นี้ เขาเคยเห็นกูเล่นแค่ไหนก็จะเล่นกับกูแค่นั้น บางทีเราโดนแกล้ง โดนเล่นบนเวที เราตอบโต้เขาไม่ทัน ก็ต้องมาฝึกปรือวิชาของเราใหม่ การเป็นตลกมันคือการแข่งกับตัวเองมากกว่า

     เราเคยซื้อซีดีตลกมาดูทุกคณะเลย มันครอบด้วยคำว่าจริงจังและพิสูจน์ตัวเองอยู่เหมือนเดิมนะ มีอยู่ช่วงหนึ่งเราไม่ดูเหี้ยอะไรอื่นเลย ดูแต่ตลกอย่างเดียว เปิดโชว์หยอง ลูกหยี ดู๋ ดอกกระโดน มานั่งดู นั่งศึกษา จนวันหนึ่งเรารู้สึกว่าทิศทางมันเป็นแบบนี้นี่เอง มือโปรมันต้องเป็นแบบนี้

 

เวลาคุณพิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จ คุณฉลองอย่างไร

     ไม่มี ไม่อะไรเลยนะ แค่ยิ้มอยู่ในใจ ยิ้มให้กับทุกอย่าง

 

การเป็นอันเดอร์ด็อก สิ่งที่ต้องพกไว้ในใจตลอดเวลาเพื่อยืนหยัดต่อสู้คืออะไร

     อืม บอกไม่ถูก ด้วยความที่ทำงานนี้แล้วมันเป็นความสุขตลอด เราเลยนิยามมันไม่ถูก แต่ถ้าถามว่าเคยท้อไหม เคยท้อนะ เคยนั่งร้องไห้กับเพื่อน จนวันนี้เพื่อนๆ ก็ยังจำได้ และนั่นเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ร้องไห้กับเพื่อนเรื่องงาน เราทำทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้พยายามอะไรทั้งสิ้น ถ้าไม่ดังก็อยู่แบบไม่ดังนี่แหละ แต่กูจะทำเต็มที่ และกูไม่ตั้งคำถามด้วยว่าทำไมไม่ดังสักที กูมีหน้าที่ที่ว่ากูต้องทำหน้าที่ของกูให้ดีที่สุด จนสุดท้ายเราท้อ เลยมีความรู้สึกแบบนั้นเข้ามา มันรู้สึกว่าทำไมกูทำเหี้ยอะไรไม่ได้เลยวะ ทำไมกูถึงไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนั้นสักทีวะ นั่นแหละ ครั้งนั้นถึงพูดออกมากับเพื่อน สุดท้ายมันปลดล็อกตัวเราเอง ว่าไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ทำงานไปให้ดีที่สุด คือไม่ตั้งคำถามว่าทำไม คือถ้ากูดีจริง กูไม่ต้องตั้งคำถามหรอกว่าทำไมคนอื่นถึงทำกับกูแบบนี้”

 

แจ๊ส ชวนชื่น