เมื่อภาพร็อกสตาร์ในอดีตค่อยๆ จางเลือนลงและถูกแทนที่ด้วยภาพของผู้ที้ได้รับความรักของพระเจ้าเข้ามาสู่หัวใจ ในวันนี้ ‘ปุ๊’ – อัญชลี จงคดีกิจ คือหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มกว้างและแววตาอ่อนโยนตลอดเวลา ทำกิจกรรมทางศาสนาเป็นประจำ เปิดร้านอาหารเล็กๆ น่ารักๆ และบทบาทล่าสุดคือการเป็นบรรณาธิการนิตยสารแจกฟรี Pet Hipster เพื่อนำเสนอเรื่องราวความรักต่อสัตว์เลี้ยงข้างกาย
“โอ้ เธอ ทำให้ฉันได้รู้จัก ความรักที่ไม่มีเหมือนใครใด… ได้รับโดยไม่ต้องขอได้รู้โดยไม่ต้องรอ ว่ารักคืออะไร”
บนเวทีคอนเสิร์ตหลายครั้งหลายครา เธอมักจะใช้ หนึ่งเดียวคนนี้ เป็นบทเพลงเปิดตัว และมีบางครั้งที่เธอใช้เพลง รัก
สำหรับเรา ผู้เป็นแฟนเพลงของเธอมาตลอดสามทศวรรษ ถ้าเพลง หนึ่งเดียวคนนี้ คือการประกาศกร้าวของปัจเจกชนแห่งทศวรรษที่ 80 เราเชื่อว่าเพลง รัก คือบทเรียนบทใหม่ของคนหนุ่มสาวในยุคสมัยของเรา ความรักจะทำให้เราทุกคนได้เติบโต เปลี่ยนแปลง ข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้ายในชีวิต
ทุกครั้งที่เพลง หนึ่งเดียวคนนี้ ดังขึ้น ก็จะได้รับเสียงกรี๊ดจากคนหนุ่มสาวทุกยุคทุกสมัย อยากให้คุณช่วยเล่าถึงเรื่องราวชีวิตและความรักของคุณในสมัยของเพลงนั้นให้ฟังหน่อย
ย้อนไปตอนช่วงก่อนออกอัลบั้มแรก ตอนนั้นก็เคยผิดหวังเรื่องความรักนะ แต่ก็ไม่ได้อินกับเรื่องนี้แค่เรื่องเดียวหรอก เพราะในชีวิตมีอะไรให้อินอีกตั้งเยอะ ทั้งน้อยใจเรื่องพ่อ มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่แทรกเข้ามาตลอดทาง ในตอนนั้น แค่นี้ก็รู้สึกว่าใหญ่โตจนเกินจะรับไหว รู้สึกอ่อนแอเหลือเกิน ถึงขั้นเคยคิดฆ่าตัวตายแต่ก็ไม่ได้ทำ
ล้ววันเวลาก็ผ่านไป จนมาถึงช่วงที่ได้ออกอัลบั้มแรก ชุดหนึ่งเดียวคนนี้ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกว่าชีวิตนี้ประสบความสำเร็จมาก แต่คุณรู้ไหม พี่กลับมีความทุกข์อยู่ในใจที่ร้อนดั่งไฟ ไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้เลย ทั้งสับสน มีแต่คำถาม ว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไปดี ไม่มีความมั่นใจที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าเลย
เพราะอะไรคุณจึงรู้สึกว่าทุกข์ร้อนดั่งไฟและอ่อนแอเหลือเกิน
เพราะเมื่อมีวันโด่งดัง ก็ต้องมีวันที่มาถึงจุดตกต่ำสุดๆ แล้วมันทำให้เรากลับมาอยู่กับตัวเอง ตอนดังใหม่ๆ ก็เคยคิดว่าคงเป็นเพราะบุญแต่ปางก่อน พอชีวิตเดินทางมาถึงจุดที่ไม่ดี พี่ก็นึกโทษเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย แต่เมื่อทบทวนตัวเองจริงๆ ก็พบว่าตัวเรานี่แหละที่ทำตัวเองมากกว่า เราไม่เอาใจใส่กับชีวิต ไม่ดูแลตัวเอง ไม่คิดวางแผนชีวิตให้รัดกุม ปล่อยชีวิตไปเพลินๆ คิดไม่เป็น วางแผนไม่ได้ ทำอะไรด้วยตัวเองก็ไม่ได้ต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา เหยาะแหยะ ไม่เอาจริงเอาจัง
ทั้งหมดมันคือความอ่อนแอของตัวพี่เองที่ไม่ค่อยมีคนอื่นรู้ ภายนอกพี่ทำตัวให้ดูเหมือนหญิงแกร่งใช่ไหม แต่เป็นคนแกร่งที่แสดงออกด้วยการเอาแต่ใจตัวเอง เกรี้ยวกราด อารมณ์ร้อนใส่คนอื่น นี่คือวิธีกลบเกลื่อนของคนที่ข้างในมันอ่อนแอ เรื่องมันซับซ้อนเนอะ ช่วงนั้นพี่ก็เลยได้คิดหลายอย่าง และเริ่มต้นแสวงหาคำตอบของชีวิต เราเริ่มเปิดใจเพื่อรับสิ่งใหม่ๆ เปิดหูเพื่อรับฟัง
เมื่อเปิด พี่ก็ได้พบกับพระเจ้าค่อยๆ ซึมซับ ขัดเกลา เข้าโบสถ์ เข้ากลุ่มคริสเตียน ไปฟังเพลง และก็เริ่มต้นเรียนรู้ชีวิตใหม่ในมุมมองใหม่ๆ อีกครั้ง เหมือน set zero (หัวเราะ) เซตชีวิตของเราให้เท่ากับศูนย์ แล้วเริ่มใหม่กับพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้บังคับให้เราเชื่อ และพี่ก็ตัดสินใจรับพระเจ้าตอนอายุ 35 ปี
มีสัญญาณอะไรที่ทำให้คุณเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัดสินใจแล้วไหม
นับตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกที่ดังเปรี้ยงปร้าง ด้วยแนวเพลงที่แสดงตัวตนชัดเจนผ่านผลงานการเขียนเพลงของ ‘พี่ปุ๊ก’ – จิตนาถ วัชรเสถียร เขามานั่งคุยกับพี่แค่คืนเดียว แล้วก็กลับไปแต่งได้ถึง 10 เพลง โดยเฉพาะเพลง หนึ่งเดียวคนนี้ ซึ่งในสมัยนั้นเป็นดนตรีที่แปลกแหวกแนว บลูส์ผสมร็อกแอนด์โรล ฉีกแนวตลาดทั่วไป นักร้องเองก็ออกแนวทอมๆ ใส่เนกไทของพ่อ ทำผมตั้งๆ อะไรเนี่ย มันมาจากไหนเนี่ย แต่ในใจลึกๆ แล้วกลับสิ้นหวัง (หัวเราะ) แต่ก็ยังทำตัวแกร่งนะ
เมื่อพบกับศาสนาแห่งความรักและการให้อภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก คำสอนเรื่องนี้กลับทำให้เราได้เจอกับบุคลิกใหม่ และทำให้เราเปลี่ยนแปลงนิสัย กลายเป็นคนที่อ่อนโยนขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น แล้วชีวิตก็เริ่มคงเส้นคงวา และไปได้เรื่อยๆ พระเจ้าให้โอกาสเราได้เจอกับคนที่ดีเพื่อนร่วมงานดีๆ ได้กลับมาร้องเพลงอีกครั้ง จนได้ออกอัลบั้มใหม่ ชื่อว่า Crossroads ตอนนั้นเหมือนอยากจะบอกทุกคนว่า วันเวลาผ่านไป เราได้โตขึ้น และค้นหาตัวเองเจอแล้ว ซึ่งอัลบั้มนั้นก็ได้รับการตอบรับที่ดี และขายดีมาก (ลากเสียงยาว) พี่แฮปปี้มาก (ลากเสียงยาว) ยิ่งทำให้เชื่อว่าพระเจ้านำทางเราจริงๆ ทั้งที่ห่างหายจากวงการไปหลายปี
หลังจากนั้นก็ศึกษาจนสามารถสอนคนอื่นได้ ไปร้องเพลงนมัสการในวันอาทิตย์และอธิษฐานร่วมกัน ทั้งหมดหลอมรวมกลายเป็นชีวิตประจำวันของพี่มาตลอดกว่า 27 ปี พระเจ้าพิสูจน์ให้เห็นว่า พระเจ้าดูแลรับผิดชอบ ถ้าเราดำเนินตามสิ่งที่สอน รวมทั้งทำให้เรารู้สึกมั่นคงว่า เมื่อเราจากโลกนี้ไป ชีวิตหลังความตายและวิญญาณของเราจะปลอดภัย ไร้คำถามว่าตายแล้วไปไหน นั่นทำให้เราสบายใจไปได้เยอะ เต็มที่กับชีวิตได้เยอะตามไปด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ระมัดระวังกับการใช้ชีวิต และไม่เผลอเป็นแม่มดใส่ใครอีก
คุณเคยร้ายกาจขนาดเป็นแม่มดใส่ใครเลยเหรอ
(หัวเราะ) ถ้าเคยดูซีรีส์เรื่อง The Walking Dead จะรู้สึกว่าช่วงแรกๆ พวกซอมบี้นี่มันน่ากลัวมาก แต่จริงๆ แล้วผีพวกนี้ไม่น่ากลัวเท่าคนเราเลยนะ ในซีซันหลังๆ คนที่น่ากลัวที่สุดคือคนที่ดีต่อหน้าเราแต่เป็นแม่มดข้างใน ซึ่งจริงๆ แล้วเศษเสี้ยวของเราเองก็อาจจะเป็นแม่มดด้วย คนเรามักจะมองเห็นว่าคนอื่นเป็น แต่กลับลืมมองตัวเองว่าอาจทำไปโดยไม่รู้ตัว และนี่คือสิ่งที่ต้องระวังให้มาก
จากศาสนา คุณได้เรียนรู้อะไร และอยากจะบอกคนหนุ่มสาวเรื่องอะไร
ตอบเลยว่าคือเรื่อง ‘ความรัก’ ซึ่งสำคัญที่สุด มันยิ่งใหญ่กว่าที่ตัวเองจะคิดได้
“
เมื่อเรามีความรักจริงๆ มันจะทำให้เรารักคนอื่นได้เท่าที่เราเคยรักตัวเอง ถ้าเรารักตัวเองไม่เป็น เรารักคนอื่นไม่ได้แน่นอน
”
เมื่อเรารักคนอื่นเป็น ก็จะทำให้เข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร อย่างที่เคยได้ยินว่า ความรักที่อยากจะได้อย่างเดียว รักทำให้ท้อใจ รักทำให้ไม่พอใจ มันขัดแย้งกันนะ ความรักควรจะทำให้พึงพอใจ แต่ไม่ใช่แค่พอใจเรา ต้องเผื่อแผ่ความคิดให้คนอื่นด้วยว่าหากเราทำในสิ่งที่แม้แต่เราเองยังไม่พอใจเลย เขาก็คงไม่พอใจเหมือนกันจริงไหม เพราะเราเองก็ไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ อย่างที่เห็นว่าคนแต่งงานแล้วหย่ากันเยอะมาก
เดี๋ยวนี้คนเราอดทนน้อยเพราะคิดว่าจะได้ทุกสิ่งอย่างตามที่คาดหวัง แทนที่คาดหวังว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้เขาพอใจมากขึ้น เรากลับทำตรงกันข้าม ความรักเป็นเรื่องแปลก ยิ่งให้กลับยิ่งได้ แต่ยิ่งคิดว่าอยากจะได้ กลับยิ่งไม่ได้อะไรเลย
สำหรับพี่ ดีกรีความเป็นคนอยู่ที่คุณสมบัติของความรัก ความมีคุณธรรม และมันก็สามารถโยงไปได้ในทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องงาน ความรักคือพลังทำให้เดินต่อไป ไม่ท้อใจง่ายๆ แต่หากท้อใจ บางทีพระเจ้าก็จะส่งคนที่รักเราหรือหวังดีกับเรามากู้หรือหนุนใจเรา ทำให้เรามีพลังกลับขึ้นมา
เมื่อมีความสุขมากๆ แล้ววันหนึ่งเพิ่งมารู้ตัวว่าความสุขหล่นหายไปในระหว่างทางคุณจะทำอย่างไร
เริ่มจากความเชื่อ อย่างพี่เองเชื่อว่าพระเจ้ารับรู้ถึงความเศร้าโศกของเรา และพี่จะอธิษฐานขอให้พี่ผ่านพ้นวิกฤตในชีวิตและจิตใจ อะไรที่เข้ามาแล้วทำให้เราไม่มั่นใจ ไม่สบายใจ ก็จะให้ผ่านไปจนได้ พี่ก็จะใช้วิธีนี้ ใครจะคิดอย่างไร พี่ไม่แน่ใจ แต่พี่เชื่อว่าความรักจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวที่ทำให้เราผ่านวิกฤตไปได้ทุกเรื่อง แม้เราจะผิดหวังในเรื่องความรักกับคนนี้ แต่อย่าลืมสิ เรายังมีคนที่เรารักอีกเยอะแยะอยู่รอบตัวที่จะช่วยให้เราผ่านพ้นความผิดหวังนี้ไปได้ หากถามว่าให้ทำอย่างไร พี่คงจะตอบว่า พี่จะเอาตัวและใจของเราเข้าไปใกล้ๆ กับคนที่เขารักเรา ให้กำลังใจเราได้ หวังดีกับเรา และอยู่เป็นเพื่อนเราได้เสมอ พี่จะมีเพื่อนที่ไว้ใจและพูดได้ทุกเรื่อง นั่นคือการเติมเต็มความรู้สึกที่หายไป
ถ้าหากย้อนกลับไปในอดีตได้อีกครั้ง คุณอยากกลับไปแก้ไขอะไรไหม
พี่ว่ายุค 80s คือยุคที่พอดีกับพี่แล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ ยิ่งเรื่องการสร้างผลงานมันก็เป็นเครดิตที่ดีจนถึงทุกวันนี้ เราจะไปย่ำอยู่กับอดีตได้อย่างไร ดีแล้วที่ให้วันเวลาหมุนผ่านไป เราเองก็โตขึ้น ค้นหาตัวเองเจอว่าอะไรคือ สิ่งที่เหมาะกับเรา ทุกวันนี้พี่ยังสนุกกับการทำงานและการร้องเพลง อีกอย่างพี่ดีใจนะที่น้องๆ รุ่นนี้ยังจำพี่ได้ ทำให้ในวันนี้เรารู้สึกมีคุณค่า ต้องขอบคุณน้องด้วย