เจษฎาภรณ์ ผลดี

‘ติ๊ก’ – เจษฎาภรณ์ ผลดี | ขบคิดกรณีเสือดำ บททดสอบแห่งชีวิตและระดับจิตใจของความเป็นมนุษย์

ข่าวการตายของ ‘เสือดำ’ สร้างความรู้สึกเสียใจ เจ็บปวด และโกรธแค้นให้กับเราทุกคนไม่ต่างกัน เช่นเดียวกับความรู้สึกของ ‘ติ๊ก’ – เจษฎาภรณ์ ผลดี พระเอกหนุ่มแถวหน้า และผู้ดำเนินรายการ Navigator

เมื่อทุกชีวิตมีคุณค่า ไม่ว่าจะมนุษย์ด้วยกันเองหรือแม้กระทั่งสัตว์ตัวเล็กๆ ความสูญเสียแต่ละครั้งกำลังบอกเราว่าอย่าเมินเฉย และขอได้โปรดนำมาเป็นบทเรียน พร้อมยกระดับจิตสำนึกของตนเองให้หันมาสนใจธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่เคย ร่วมขบคิดกรณีป่าอนุรักษ์ถูกบุรุก สัตว์ป่าถูกฆ่า และการตายของเสือดำ จากน้ำมือมนุษย์ สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่พยายามกล่าวอ้างว่าประเสริฐที่สุดกว่าทุกชีวิตบนโลก

เจษฎาภรณ์ ผลดี

 

กรณีที่ป่าอนุรักษ์ถูกบุกรุก สัตว์ป่าถูกล่า คุณคิดว่าปัญหาเหล่านี้ใกล้ตัวเราแค่ไหน และมันจะส่งผลกระทบรุนแรงกับพวกเราหรือไม่

     ผมมองว่าสัตว์ป่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ มนุษย์และพืชก็เช่นกัน ทุกสิ่งล้วนอยู่ร่วมกันเป็นระบบในทางธรรมชาติ แต่ทุกวันนี้เราเห็นได้ว่าบางสิ่งค่อยๆ ถูกทำลาย ค่อยๆ หายไปจากโลกใบนี้ สิ่งมีชีวิตต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน นั่นหมายความว่า เมื่อขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง มันจะเสียสมดุลต่อเนื่องไป แม้ตอนนี้อาจยังเห็นไม่ชัดว่ามันได้เสียสมดุลไปอย่างไร แต่หากเราย้อนไปมองรายละเอียดเล็กๆ ว่าในกระบวนการของธรรมชาติมีห่วงโซ่ของมันอยู่ มีความหลากหลายทางชีวภาพ สัตว์มีหลายชนิด พืชพรรณมีหลายชนิดหลายสกุล คนก็มีหลายเชื้อชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวที่จะชี้วัดว่าอะไรมีความสัมพันธ์กับอะไร

     เช่น สัตว์ที่อยู่บนห่วงโซ่อาหารชั้นบนสุดคือสัตว์ผู้ล่า อย่างเสือหรือหมาใน เหยื่อของเขาเป็นสัตว์เล็กๆ เรื่อยไปถึงสัตว์ใหญ่ อย่างกวาง เก้ง กระทิง วัวแดง ควายป่า สัตว์เหล่านี้เมื่อมาอยู่ร่วมกันก็เกิดสมดุล ทำให้ในผืนป่านี้ไม่มีอะไรมากเกินไปหรือน้อยเกินไป แต่ถ้าเกิดไม่มีตัวควบคุมประชากร สัตว์กินพืชจะเยอะมากๆ แหล่งอาหารจากพืชจะหมดไปอย่างรวดเร็ว ประชากรของสัตว์กินพืชจะมากขึ้นจนล้น พืชพรรณต่างๆ ก็จะไม่มีเหลือ จนถึงวันหนึ่งสัตว์กินพืชไม่มีอาหาร เนื่องจากประชากรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด อาณาจักรของมันก็จะล่มสลายลงไปในที่สุด ดังนั้นจึงต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่กันครบ มีสัตว์กินพืช มีสัตว์ผู้ล่า นี่คือห่วงโซ่อาหาร คือวัฏจักรชีวิต

     ผมอยากให้คุณรู้จักคำหนึ่ง คือ ‘การคัดสรรโดยธรรมชาติ’ นั่นคือการที่สัตว์ต่างๆ ในผืนป่าต้องต่อสู้ดิ้นรน มันแข็งแรง ทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ สัตว์ที่ป่วยเป็นโรค แก่ อ่อนแอ บาดเจ็บ ก็จะถูกกำจัดไปโดยสัตว์ผู้ล่า เพราะฉะนั้น สัตว์ที่สามารถยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ได้คือสัตว์ที่แข็งแรง ลักษณะดี ไม่เป็นโรค มันจะสืบเชื้อสายที่ดีต่อไป

     นี่คือคำตอบว่าทำไมเมื่อป่าถูกบุกรุก สัตว์ป่าถูกล่า จึงส่งผลกระทบมาถึงเรา เพราะว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของระบบนี้ เรายังต้องพึ่งพาธรรมชาติอยู่ แหล่งอาหาร แหล่งสมุนไพร พลังงานต่างๆ รวมถึงในเรื่องของความดีงาม ความรื่นรมย์ ดอกไม้ ต้นไม้บางชนิด ที่เราสามารถนำมาปลูกในบ้าน สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันถูกนำออกมาจากป่าทั้งนั้น และได้ถูกปรับปรุงสายพันธุ์เพื่อให้เข้ากับมนุษย์และภูมิประเทศนั้นๆ ซึ่งต่อไปอาจจะไม่มีเหลือ

 

น่าแปลกตรงที่ทุกคนรู้เรื่องนี้ แต่เรากลับนิ่งดูดาย ถ้าวันนี้เราอยากกลับตัวกลับใจ หันมาทำอะไรเพื่อธรรมชาติกันบ้าง เราควรทำอย่างไร

     ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ดังนั้น ธรรมชาติย่อมต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เราไม่ต้องไปยุ่งกับธรรมชาติก็ได้ มันมีระบบของมันอยู่แล้ว เราแค่ปล่อยให้ดำเนินไปตามธรรมชาติของมัน อยู่เฉยๆ หรือเข้าไปยุ่งให้น้อยๆ แค่นั้น แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง เมล็ดพันธุ์จะกระจายตัวจากสัตว์ที่ไปกินเมล็ด นก เก้ง กวาง กระรอก หมีขอ ไปกินพวกลูกไม้ แล้วก็ขับถ่ายออกมาลงดิน เกิดเป็นต้นไม้ใหม่ๆ เป็นการต่อสู้ตามธรรมชาติ ต้นไหนที่แข็งแรงก็จะชนะเพื่อน จะเติบโตต่อ ต้นไหนที่ไม่แข็งแรงก็จะตายไป เราปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ เราแค่ไม่ไปทำอะไรที่มากไปกว่าหรือน้อยไปกว่านั้น ถ้าจะเดินทางท่องเที่ยว เราเป็นแค่ผู้ไปเสพธรรมชาติก็เพียงพอแล้ว

 

เรามักได้ยินเสมอว่า ป่าแต่ละแห่งมีความศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ด้วย คุณเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยไหม

     ผมไม่ทราบ แต่ผมเข้าไปทุกครั้งด้วยความเคารพในระบบที่ดำเนินไปในป่า ซึ่งก็คือกฎเกณฑ์ของป่า ทุกๆ ที่ล้วนมีกฎเกณฑ์อยู่แล้ว กฎเกณฑ์สำคัญของป่าคืออย่าเข้าไปแทรกแซงระบบ ปล่อยมันเป็นไปตามธรรมชาติ บางครั้งเพียงแค่การเดินทางเข้าไปแล้วทำให้สัตว์ป่าตื่นตระหนกก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีแล้ว

การเข้าป่าแต่ละครั้งเราไม่ได้ไปทำร้ายอะไร ป่ากว้างใหญ่ไพศาลมาก และทางที่เราเดินเปรียบแล้วก็แค่เส้นผมเส้นเดียว ถ้าเราได้เจอสัตว์ป่าก็ถือเป็นเรื่องพิเศษ แต่เราจะไม่ไปบังคับจิตใจเขาหรือล่ามโซ่ให้เขาเข้ามาเจอ นี่คือการเคารพกฎเกณฑ์

     อีกอย่าง เราจะไม่เอาสิ่งแปลกปลอมอื่นไปยุ่งวุ่นวายในกระบวนการการใช้ชีวิตของเขา และเราก็ไม่เอากระบวนการของเขามาเป็นสิ่งแปลกปลอมของเราด้วยเช่นกัน

     อย่างนิทานเรื่อง เมาคลีลูกหมาป่า เขาสอนว่าป่ามีกฎเกณฑ์ ทุกคนต้องเคารพกัน อากีลาสอนให้เมาคลีก้มหัวลงคารวะช้าง เพราะเขาบอกว่าช้างคือเจ้าป่า คือผู้ให้ คือสัตว์ที่ทำให้ผืนป่าดำรงอยู่ได้ และในนิทานยังสอนอีกว่า ในช่วงฤดูแล้งที่น้ำแห้ง สัตว์ป่าทุกตัวจะมาใช้แหล่งน้ำนี้ สัตว์ป่าทั้งหมดตกลงกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ล่าหรือเหยื่อ จะไม่มีใครล่าใครที่แหล่งน้ำนี้ เพราะทุกคนจะมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน ในพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งก็เรียกว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้

 

เวลาเห็นข่าวสัตว์ป่าถูกล่า ป่าไม้ถูกรุกราน คุณรู้สึกเจ็บปวดหัวใจแค่ไหน

     มันเจ็บปวด หนึ่ง จุดแรกที่ผมเจ็บปวดคือระบบ ผมทำรายการกึ่งสารคดีที่ชวนให้ทุกคนหันมาสนใจและอนุรักษ์ธรรมชาติ รายการเราบอกอยู่เสมอว่าอันไหนคืออะไร อยากให้คนเข้าใจและเรียนรู้

แต่ผมเคยถูกปิดกั้น เคยถูกห้าม เคยโดนแคนเซิลการออกอากาศโดยระบบ แต่ระบบเดียวกันนั้นกลับปล่อยให้อะไรบางอย่างผ่านไปได้โดยที่ไม่ต้องตรวจสอบ กลับทำให้ทุกอย่างมันง่ายหมด

     แต่ทำไมสำหรับคนที่ตั้งใจทำงานตรงนี้จริงๆ กลับไม่เหมือนกัน ระบบนี้น่าจะรู้ว่า เจษฎาภรณ์ ผลดี เป็นคนยังไง แต่ระบบกลัวความจริงบางอย่าง กลัวว่าธรรมชาติจะสูญหายไป กลัวว่าคนจะไปเที่ยว แต่เจษฎาภรณ์บอกอยู่เสมอว่า การที่เรานำเสนอสิ่งดีๆ เกี่ยวกับธรรมชาติไม่ได้หมายความว่าจะทำให้บุกรุกเข้าไปเสมอไป มันไม่ใช่ว่าใครจะเข้าไปเที่ยวก็ได้ เพราะมันอยู่ที่ระบบการจัดการว่าจะเข้มงวดแค่ไหน

     สอง คือความสูญเสีย เราต้องสูญเสียสัตว์ป่าไป (นิ่งเงียบไปสักพัก) สัตว์ป่าทุกชนิด ทุกตัว ที่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ล้วนมีความสำคัญหมด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ กระรอก กระแต กิ้งก่า สัตว์น้อยใหญ่ทุกอย่าง ทุกตัวมีความสำคัญเท่ากัน เมื่อมันอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์แล้วมันก็ควรได้รับการอนุรักษ์จริงๆ ถ้าจะพูดก็เหมือนการเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เมื่อเรามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่แล้ว แต่เรากลับต้องสูญเสียไป โดยที่ไม่ได้สูญเสียไปตามระบบของมันเอง แต่มนุษย์เป็นผู้หยิบยื่น จัดการ ก็เหมือนว่าเรากำลังทำผิดธรรมชาติ สิ่งที่สูญเสียไปแล้วก็ไม่สามารถเรียกร้องอะไรกลับคืนมาได้

     ผมเดินป่าแทบตาย ผมอยากจะเจอสัตว์ที่หายากพวกนี้ ผมอยากเห็นเสือดำ แต่ผมไม่เคยเจอเลย ทั้งๆ ที่ผมเฝ้าคอย เฝ้าแล้วเฝ้าอีก เพื่อหวังว่าวันหนึ่งเราจะเห็นมัน ซึ่งถ้าเราเห็นสัตว์พวกนี้ตาย แต่มันตายด้วยระบบของมันเอง ผมก็โอเค เพราะมันคือระบบทางธรรมชาติ ถ้าหมาในจะกัดกวางตายสักตัวหนึ่งผมก็โอเค ไม่ใช่เรื่องน่าเวทนาอะไร เพราะมันต้องล่าเพื่ออยู่ งูที่ต้องรัดเก้งรัดกวางตาย มันก็ต้องทำเพื่ออยู่ มันคือธรรมชาติ

     สาม คือการที่เรารู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่เราก็กลับทำอะไรไม่ได้

 

เจษฎาภรณ์ ผลดี

 

ชีวิตในป่าที่มีระบบกฎเกณฑ์ แล้วชีวิตในเมืองของเรามีระบบด้วยหรือเปล่า

     ผมเห็นว่าตอนนี้เราไม่ค่อยเคารพกฎเกณฑ์ทางสังคม ขาดความมีระเบียบวินัย และทำให้เราได้รับการปลูกฝังอะไรบางอย่างที่จริงๆ แล้วไม่ควรทำ แต่ก็ปล่อยไว้และไม่มีใครออกมาพูด นานวันไปเราก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเฉยๆ เป็นเรื่องปกติ ใครก็ทำกัน เช่น ระเบียบวินัยจราจร การไม่มีฟุตปาธให้เดิน การที่อยู่ดีๆ คนก็เปิดหน้าต่างรถออกมาถ่มน้ำลาย คนมีขยะอยู่ในมือแล้วคิดจะโยนตรงไหนก็ได้ หรือแค่เรื่องว่าคนเข้าส้วมแล้วไม่กด ช่างมัน ปล่อยให้เลอะเทอะไป ไม่ใช่เรื่องของกู รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ที่เราเพิกเฉย มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ทั้งที่เรากำลังทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนอยู่ เราไม่คำนึงถึงผลลัพธ์อะไรเลยด้วยซ้ำ ผมรู้สึกว่าระบบแบบนี้แย่ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี มันถูกปล่อยปละละเลยมานานมากเกินไปแล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้กระทบถึงธรรมชาติ เพราะเวลาเราเดินทางไปยังที่อื่นๆ เราก็จะทำอย่างที่เราเคยชิน ก็บ้านเราเป็นแบบนี้เราก็จะทำแบบนี้

 

ใช่เลย เราเจอเรื่องความเห็นแก่ตัวเวลาไปเที่ยวตามป่าเขาที่เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปค้างแรม

     ใช่ๆ พอเปิดให้เข้า คนร้อยพ่อพันแม่ก็เข้ามากินเหล้า เคาะขวด เปิดเครื่องเสียง ซึ่งคุณจะเอาเครื่องเสียงขึ้นไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าคุณทำให้คนอื่นหนวกหูก็ต้องต่อว่า เพราะไม่ใช่สิทธิ์ที่คุณจะสามารถทำแบบนี้ได้ ทุกคนต้องอยู่ในความสงบ หรืออย่างจุดจอดรถตามปั๊มน้ำมันบนถนนหลวง คุณมาจอดแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ไม่ยอมดับ บางคนสตาร์ทรถทิ้งไว้ทั้งคืน คนที่นอนก็ต้องทนฟังเสียงเครื่องยนต์ ไหนจะกลิ่นควันอีก

     ไม่ต้องดูที่ไหนไกล เวลาเดินทางไปต่างจังหวัด แวะจอดพักรถที่ปั๊มน้ำมัน คุณเคยเจอไหม แทบไม่มีใครจอดแล้วดับเครื่องเลยสักคัน มีแค่รถไม่กี่คันที่ดับเครื่อง ผมเปิดกระจกลง ยอมทนร้อน แต่ทนดมควันจากท่อไอเสียไม่ได้ เลยต้องหนีไปจอดนอนที่ปั๊มอื่น ทั้งๆ ที่ก็มีป้ายติดอย่างชัดเจนว่า ‘กรุณาดับเครื่องยนต์’

     ตอนอยู่บนถนนก็เหมือนกัน เดี๋ยวรถคันข้างๆ ก็มาแล้ว เปิดเครื่องเสียงดังลั่น

ถ้าคุณภูมิใจว่าเครื่องเสียงติดรถของคุณดี คุณก็ไว้เปิดฟังเองสิ จะเปิดหน้าต่างให้เสียงมันดังออกมาทำไม

     นี่ยังไม่นับการรบกวนคนอื่นที่ใช้ถนนร่วมกันอย่างไฟเบรกที่กะพริบจนแสบตา หรือเปิดไฟหน้าแรงๆ เปิดไฟตัดหมอกทั้งที่ไม่จำเป็น แต่ก็ไม่มีใครไปว่าเขา จนทำให้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องเฉยๆ เราถูกปลูกฝังมาแบบนี้ ใครทำอะไรก็ได้ ไทยแลนด์โอนลี่ ผมบอกได้เลยว่าพอพื้นฐานของคนเป็นแบบนี้มากๆ ต่อไปจะควบคุมยาก

 

ถ้าเราเสนอว่าให้พื้นที่ป่าที่เหลืออยู่ทั้งหมดเป็นเขตอนุรักษ์ไปเลย และออกกฎหมายให้เข้มงวดขึ้นไปอีก ความคิดนี้ของเราสุดโต่งไปไหม

     ผมขอถามกลับว่า ถ้าทำให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ทั้งหมดแล้วเราได้อะไร ผมว่าเราต้องเริ่มต้นที่การคอนโทรลคนมากกว่า ถ้าเราคอนโทรลคนได้ ไม่มีความจำเป็นเลยที่ต้องทำให้ป่าเป็นพื้นที่อนุรักษ์ ถ้าคนอนุรักษ์ ป่าก็ถูกอนุรักษ์ด้วย ถ้าเราจะปฏิรูปกฎหมายขึ้นมาใหม่ ผมว่าไม่ต้องหรอก เราใช้กฎหมายเก่าให้มีคุณค่ามากพอหรือยัง ซึ่งเราไม่ค่อยได้ทำเลย แต่กลับพยายามทำให้มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้น กฎหมายเก่าเรายังไม่สามารถเอามาบังคับใช้ได้เลย แล้วจะทำอันใหม่ทำไมเสียเวลา

 

เราเพิ่งได้ดูสารคดี Earth: One Amazing Day พูดถึงเรื่องชีวิตที่เชื่อมโยงกับกลางวันและกลางคืน ทีนี้พอมนุษย์สร้างแสงสว่างได้ด้วยตัวเอง ก็ทำให้เราค่อยๆ ออกห่างจากความผูกพันกับธรรมชาติไปเรื่อยๆ สำหรับประเด็นนี้คุณมีความเห็นอย่างไร

     ถ้ามองในมุมที่เราสามารถสร้างแสงสว่างขึ้นมาเองได้ นั่นหมายความว่าเรากำลังใช้พลังงานจากโลกใบนี้ ทั้งพลังงานในการเผาไหม้เพื่อปั่นกระแสไฟฟ้า หรือใช้การเผาผลาญฟอสซิลและถ่านหิน ถ้าเราไม่พึ่งพาพลังงานจากธรรมชาติเลย วันหนึ่งไฟก็จะหมดไป เราต้องคิดว่าจะใช้ไฟเมื่อยามจำเป็นดีกว่า เราไม่ได้ใช้เพื่อความฟุ่มเฟือยหรือคิดว่าตัวเองผลิตได้

อย่าลืมว่าพลังงานมีวันหมด ยังไงเราก็ต้องพึ่งพาธรรมชาติทั้งหมดอยู่ดี สิ่งเหล่านี้อาจไม่กระทบชีวิตประจำวันเรา แต่มันจะกระทบกับสิ่งในอนาคต แม้ว่าตอนนั้นเราอาจไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ตาม นั่นคือความเห็นแก่ตัวของมนุษย์

     เราต่างคนต่างรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มีกระแสต่างๆ มากมายในสังคม ทุกคนรู้หมดเลย แต่ทุกคนไม่กระเตื้อง เราสนใจแต่เรื่องโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีแต่ตัวหนังสือ มีแต่คำพูด แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นคือเรื่องของการกระทำ และมีเป้าหมายที่เป็นจริง

 

เจษฎาภรณ์ ผลดี

 

แต่โซเชียลเน็ตเวิร์กก็มีข้อดีนะ เพราะถ้าไม่มีข่าวเหตุการณ์บุกรุกและล่าสัตว์ คนก็ไม่ตื่นตัวกับเรื่องธรรมชาติสักที

     ถึงตื่นตัวก็จะตื่นตัวแค่ช่วงนั้น เมื่อมันถึงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทุกคนก็จะลืมสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา และจะเกิดแบบนี้ซ้ำๆ ถ้าเราดันแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ ก็เป็นแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่าลืมว่าในทุกครั้งที่มีปัญหา มันเกิดการสูญเสียไปแล้ว และคนก็ไม่คิดจะจำมัน

 

ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าวิธีไหนที่จะทำให้ผู้คนจดจำความผิดพลาดครั้งนี้ไปนานๆ

     เราคงต้องมีบทเรียนครั้งสำคัญๆ เช่น บทเรียนจากสงครามโลกที่ทำให้ทุกคนตระหนักได้เอง โดยเฉพาะประเทศที่เคยเจอภัยสงคราม เขาย่อมรู้ดีว่าสงครามเลวร้ายขนาดไหน เหมือนกับคำที่ว่า ‘ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา’ เวลาเจอสงครามในระยะเวลานานๆ ก็เลยจำ และต่อจากนั้นทุกคนก็ไม่อยากให้เกิดสงครามอีกต่อไป มนุษย์เป็นแบบนี้ เมื่อเราไม่เจออะไรหนักๆ เราก็จะไม่จำมัน

 

คุณมองคุณค่าของชีวิตมนุษย์ กับคุณค่าของชีวิตสัตว์ป่า ว่าคืออะไร

     สิ่งมีชีวิตล้วนมีคุณค่า ทั้งมนุษย์ สัตว์ป่า พืชพรรณ แต่สิ่งที่มนุษย์มีเหนือกว่าคือจิตสำนึก สัตว์ป่าเขาล่าเพื่ออยู่และดำรงชีวิต แต่มนุษย์เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ คุณค่าของเราจึงอยู่ตรงที่ว่า เมื่อเรามีจิตสำนึก เราจะทำประโยชน์อะไรได้บ้าง สัตว์ป่าและพืชพรรณต่างๆ เขามีคุณค่าในตัวเองอยู่แล้วตามวงจรชีวิตของเขา มันคือระบบทั้งหมด เราเป็นส่วนหนึ่งในระบบนี้ เราจึงเลือกได้ว่าจะสร้างคุณค่าแบบไหนขึ้นมาบนโลก เพราะฉะนั้น คุณค่าของเราคือการสร้างประโยชน์ให้กับสิ่งต่างๆ ให้กับตัวเรา

     แล้วเราจะมีวิธีไหนที่จะสอนคนให้มีจิตสำนึก ผมก็จะบอกว่ามันยาก เพราะเราไม่ค่อยมีตัวอย่างที่ดี มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลายๆ ปัญหาที่เราเจอ ผมเจอมาตั้งแต่ผมเกิดจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีอะไรที่สามารถแก้ได้สักที ต่อให้ใครมาพูดว่าต่อจากนี้เราจะทำแบบนั้นแบบนี้ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็มักจะเป็นเหมือนเดิม นั่นแปลว่าไม่มีใครรักใครจริงใช่ไหม และเราไม่ต้องมาพูดกันหรอกว่าเราจะปลุกจิตสำนึกแบบไหน เพราะเราไม่มีตัวอย่างที่ดีให้เห็น