เบิร์ด ธงไชย

‘เบิร์ด’ – ธงไชย แมคอินไตย์ | ตลอดเส้นทางกว่าสามสิบปีที่เขารัก และความสุข ณ จุดสูงสุดของความสำเร็จ

อยากรู้เหมือนกันว่าบนยอดเขานั้นอากาศเป็นยังไง? ณ จุดสูงสุดของชื่อเสียง เงินทอง ความสำเร็จตลอดเส้นทางการทำงานที่ป่ายปีนขึ้นไปสามสิบสี่สิบปี ตรงจุดนั้นน่าจะเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตเราทุกคน มันคือความสุข… ใช่ไหม?

‘เบิร์ด’ – ธงไชย แมคอินไตย์ น่าจะเป็นประจักษ์พยานเพียงไม่กี่คนที่สามารถมาบอกเล่าเรื่องนี้แก่เรา ผู้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ขนาดเขาน่าจะมีเพียงไม่กี่คนบนโลก ไม่ใช่แค่หนึ่งในร้อยหรอก มันน่าจะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในหลายๆ ล้านเลยก็ว่าได้

หรือว่าบางทีบนยอดเขานั้น อาจจะไม่ใช่ความสุขความสำเร็จอย่างที่คนรุ่นเราเข้าใจ บนนั้นไม่ใช่ความโดดเดี่ยวของชายคนเดียวผู้ปีนป่ายอย่างทรหดอดทนจนขึ้นไปถึงจุดสูงสุด แต่มันคือความเข้าอกเข้าใจ และการอยู่อย่างสอดคล้องกับสรรพสิ่งรอบตัว

     “พี่ออกมากลางสนามตอนกลางดึก ตีหนึ่งตีสอง มีใครรู้บ้างไหมนะว่าการทำดี จะได้รับสิ่งดีๆ คืนกลับมาจริงๆ และที่ผ่านมา ทุกคนให้เรากลับมาเยอะจังเลย พี่ฝันอยากให้ทุกคนได้พบเจอสิ่งนี้ด้วย” พี่เบิร์ดพูดแล้วมองตาเรา ราวกับพยายามดึงดูดให้เราไปร่วมยืนอยู่กลางสนามกับเขาในคืนนั้น

     และบทสัมภาษณ์ที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ คือคำให้การของ ‘เบิร์ด’ – ธงไชย แมคอินไตย์ ผู้เป็นประจักษ์พยานของโลกและชีวิตบนยอดเขาที่ได้ถ่ายทอดและบอกกับพวกเราทุกคน

 

เบิร์ด ธงไชย

เห็นมีพลังที่ล้นเหลือมากขนาดนี้ เคยเหนื่อยจนถึงขั้นท้อแท้กับชีวิตบ้างไหม

     ไม่เคยเลย พี่ตื่นเช้าๆ ก็ทำนั่นทำนี่เองทุกอย่าง แม่บ้านนี่ขำเลยนะ เพราะเขาต้องมายืนรอ ว่าจะทำยังไงกับพี่ดี ตื่นมาทุกเช้าเราก็เอาแล้ว ใส่กางเกงเตรียมจะไปว่ายน้ำ ใส่ชุดว่ายน้ำเสร็จก็ไปใส่รองเท้าแท็ป แล้วเต้นแท็ป (ลุกขึ้นมาเต้นแท็ปให้ดู) จากนั้นก็ยืนมองตัวเอง แล้วนึกได้ว่า เอ๊ะ เราจะไปว่ายน้ำนี่นา (หัวเราะ) พอลงไปอยู่ในสระน้ำ ว่ายไปได้สองสามรอบ ก็เรียกแม่บ้านให้ช่วยเปิดเพลงให้หน่อย แม่บ้านถึงจะได้ดีใจว่าพี่มีอะไรให้เขาทำ ชีวิตคนเราต้องมีอะไรทำ จะให้นอนถึงบ่ายโมง ขอตายก่อนดีกว่า แต่ส่วนมากคนจะเป็นแบบนี้นะ ขาดวิตามินตัวนี้ วิตามินรักตัวเอง คิดแต่รักคนนั้นคนนี้ ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะดูมุมปากของตัวเอง ที่ข้างๆ ใบหูของคุณน่ะ มุมปากไงล่ะ กำลังยิ้มอยู่ไหม

 

สมัยนี้ผู้คนเป็นโรควิตกกังวลกันมาก บางทีแค่ 20-30 ก็เริ่มนอยด์ว่าตัวเองแก่แล้ว มองว่าตัวเองช้ากว่าคนอื่น กลัวเรื่องงาน กลัวเรื่องอนาคต

     เพราะน้องคิดไปเองหมดเลย (ชี้หน้าเรา) พี่พูดถูกไหมล่ะ ไอ้บ้าเอ๊ย (เขกหัวเราหนึ่งที) พี่ไม่เห็นเคยคิดแบบนั้นเลยวะ! สำหรับพี่ชีวิตนี้ยังเหลืออีกตั้งเยอะ ยังไม่ได้ทำอะไรอีกตั้งหลายอย่าง ที่ผ่านมาจะ 60 ปีถือว่าเป็นช่วงการวอร์มร่างกายอยู่เลยด้วยซ้ำ ต่อให้พี่เบิร์ดอายุ 80 ก็ไม่มีอะไรครณามือเลย พี่ทำได้หมดทุกอย่าง

     จะบอกให้นะ มีเพียงอย่างเดียวที่เปลี่ยนไปเมื่ออายุเยอะขึ้น อ่ะ ให้น้องทาย… พี่เบิร์ดผัดวันประกันพรุ่งน้อยลง สมมติว่าวันนี้จะยกเวต ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนหนุ่มๆ จะบอกตัวเองว่าพรุ่งนี้ค่อยยกก็แล้วกัน หรือเดี๋ยววันนี้เล่นแค่ช่วงบนก็พอ พรุ่งนี้ค่อยเล่นช่วงล่าง แต่ในวันนี้ ถ้าจะยกเวตคือไปยกเลย ถ้าวิ่งก็ต้องวิ่งเลย คิดแบบนี้แล้วได้ผลนะ พี่อยากบอกน้องๆ ทุกคนว่าทำไมเราไม่ฝึกตัวเองให้คุ้นชินกับสิ่งดีๆ ทำไมไปฝึกในเรื่องที่ไม่ดี เป้าหมายของพี่ในปีนี้คือจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด

 

หา! เลี้ยงลูก?

ลูกก็คือตัวเราเอง เราจะเลี้ยงตัวเองให้ดี เพราะว่าตอนนี้เขายังเด็กเหลือเกิน เขายังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย จึงต้องหาของดีๆ ให้เขากิน พาเขาไปออกกำลังกาย ดูแลเขา สอนเขาว่าอย่าไปคบคนชั่ว ให้ขยันทำมาหากิน วัยนี้แล้วพี่ไม่ต้องไปดูแลใครแล้ว พี่ดูแลตัวเองนี่แหละ หลายเดือนก่อนพี่ไปสวิตเซอร์แลนด์กับพี่นกน้อย พี่ก็บอกพี่น้อยแบบนี้ เบิร์ดมีลูกเป็นเบิร์ด พี่น้อยมีลูกเป็นพี่น้อย แล้วเรามาเลี้ยงลูกของตัวเองให้ดีกัน ถ้าคิดแบบนี้ได้ จะไม่มีคนที่สุขภาพไม่ดี ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ได้ จะไม่มีคนชั่วเลย ใครกันจะสอนให้ลูกสูบบุหรี่ มีแต่จะบอกให้ลูกเลิกบุหรี่ หรืออย่านอนดึกนะลูก

 

ทัศนคติดีๆ ต่อตัวเองแบบนี้ มีมาตั้งแต่เมื่อไร

     ตั้งแต่ออกอัลบั้มชุดแรกเลยล่ะ พี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) สอนให้ดูแลตัวเอง ส่วนการกินการอยู่นั้นพี่คิดเอง ตอนนั้นพี่เต๋อพูดว่า เราอยู่ในที่โล่ง ได้รับกลิ่นดอกไม้มากกว่าคนอื่น แต่ในขณะเดียวกัน เราก็จะโดนแสงแดดแผดเผามากกว่าคนอื่นด้วย เพราะเป็นเป้าสายตาของทุกคน ดังนั้นต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ พี่เลยเริ่มดูแลตัวเองมาเรื่อยๆ แต่ดูแค่นี้ยังไม่พอ พี่ต้องทำให้เขาเห็น เช่น สิ่งที่เขาเห็นคือร่างกายที่แข็งแรง กล้ามแขนเป็นมัดๆ ขาที่แข็งแรง ลองจับต้นขาพี่ดูสิ บีบขาพี่ดู เป็นไง? แข็งมากใช่ไหม นี่แหละคือสิ่งที่บอก ทุกวันนี้อาหารเช้าพี่คือซีเรียลกับนมสด ไข่ต้ม 2 ฟองราดด้วยน้ำมันมะกอกแล้วเอาไปปั่น ซื้อเครื่องปั่นมาจากรายการขายของทางโทรทัศน์ พี่ซื้อของจากรายการพวกนี้จนเต็มบ้านเลยนะ (หัวเราะลั่น) ซื้อหม้อ ซื้อกระทะ ซื้อจนแม่บ้านบ่นคุณๆ พอเถอะ

 

จำไว้นะพวกเราทุกคน (กวาดตามองหน้าทีมงานทุกคน) ว่าพอตื่นเช้าขึ้นมาก็สั่งตัวเองเลย บอกตัวเองว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด เมื่อทำได้แบบนี้แล้ว อีกเดี๋ยวความสุขก็ตามมาเอง

 

ภาพจำพี่เบิร์ด ธงไชย คือชายผู้รักการช้อปปิ้งทางทีวีแล้วหรือนี่

     (หัวเราะ) ก็แหม เพราะอยู่บ้านไง อย่างหลอดไฟที่เอาปลั๊กไปเสียบกล้วยแล้วไฟติด หรือเสียบส้มแล้วไฟติดก็แอบซื้อเอาไว้นะ เพราะถ้าวันหนึ่งฝนตกหนักแล้วไฟดับ เราก็เอามาใช้ได้ จะมัวแต่ไปหาเทียนมาจุดก็คงไม่ทันใจ มันคือความสุขเล็กๆ น้อยๆ เงินทองเดี๋ยวก็หาใหม่ได้ ซื้อของที่ทำให้เรามีความสุขก็พอแล้ว

 

ถือว่าเป็นส่วนของการผ่อนคลายหลังจากที่เข้มงวดกับการทำงานและกับตัวเอง

     ใช่ๆ จำไว้นะพวกเราทุกคน (กวาดตามองหน้าทีมงานทุกคน) ว่าพอตื่นเช้าขึ้นมาก็สั่งตัวเองเลย บอกตัวเองว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด เมื่อทำได้แบบนี้แล้ว อีกเดี๋ยวความสุขก็ตามมาเอง ตอนเช้าเปิดเพลงบรรเลงระหว่างล้างหน้าแปรงฟัน ให้เพลงมันล้างความคิดที่ค้างคาอยู่ในหัว แล้วอาบน้ำแต่งตัวให้ตัวเองดูดี ก่อนออกจากบ้าน บอกกับตัวเองในกระจกว่า “วันนี้จะเป็นวันดี วันนี้จะพบกับสิ่งที่ดี โชคดีนะ” ทำแบบนี้แล้วเราจะเจอแต่เรื่องดีๆ ทั้งวัน นั่นเพราะอารมณ์ของเราดีแล้วไง

 

แต่เดี๋ยวนะ เรารู้ว่าทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งจำเป็น แต่ในชีวิตจริงเราไม่ได้เจอแต่สิ่งดีๆ เสมอไปนี่นา

     ก็ใช่ไง ใครมันจะบ้าเจอแต่เรื่องดีๆ เข้ามาล่ะ ไม่มีหรอก หมูหมากาไก่พวกมันก็ต้องเจอกับเรื่องไม่ดีบ้างทั้งนั้น อย่างในชีวิตพี่เองก็โดนอะไรหนักๆ มามาก แต่พี่ก็มีบทเรียนให้เรียนรู้ ซึ่งอาจจะคิดไม่ได้ในทันที แต่มันก็ค่อยคิดได้หลังจากนั้น ทำให้มีต่อมความเข้าใจ ต่อมร้องไห้ ต่อมอะไรต่างๆ เกิดขึ้นมาครบหมดแล้ว เคยแม้กระทั่งว่า “โอ้โห อะไรวะเนี่ย ทำไมต้องมาแกล้งกันแบบนี้” ชีวิตก็มีเรื่องที่เสียใจจนแทบจะเป็นลมเลยเหมือนกัน อย่างตอนที่แม่พี่เสีย เราไปรับศพที่โรงพยาบาลตำรวจ พี่เป็นลมไปเลยนะ แต่สุดท้ายชีวิตก็คือการเรียนรู้ เรื่องไหนจริง เรื่องไหนไม่จริง อะไรคือเรื่องที่ควรก้าวผ่าน พี่บูลย์ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) เคยสอน “ช้าเร็ว หนักเบา เท้าซ้ายเท้าขวา มือซ้ายมือขวา ข้างไหนควรใช้ก่อน ขาขวาควรใช้เตะบอล ถ้าเขี่ยลูกก็ใช้เท้าซ้าย วันนี้ต้องรีบทำเรื่องนี้ให้เสร็จเร็วๆ ก็ใช้มือขวา” เพราะฉะนั้น ข่าวร้ายแค่ไหน ถ้ามีมา 10 แล้วเรามีต่อมเข้าใจ เมื่อถึงเรามันอาจจะเหลือแค่ 1 แต่ถ้าเราไม่เข้าใจอะไรเลย ข่าวร้ายมันมา 10 มันก็ถึงเราเป็น 10 เป็น 9 อะไรที่เราแก้ไม่ได้ก็ยอมรับมัน

 

พี่เบิร์ดยอมรับความล้มเหลวได้ดีแค่ไหน การมาทำอัลบั้มใหม่คราวนี้ มีรู้สึกตื่นเต้น กลัว หรือวิตกกังวลหรือเปล่า

     ยังตื่นเต้นเสมอ ยังตื่นเต้นทุกครั้งที่ขึ้นแสดงคอนเสิร์ต โอ้ย! ทั้งมือเย็น ขี้แตก ฉี่แตก เข้าไปหลบในห้องส้วม เอาฝาชักโครกลงแล้วนั่งนิ่งๆ เงียบๆ ไม่ให้ได้ยินเสียงอะไร เก็บตัวเองอยู่นิ่งๆ แล้วไล่นึกไปถึงจุดต่างๆ ของโชว์ที่เตรียมไว้ ถึงตรงนี้ต้องทำอะไร พอไฟดับแล้วต้องเดินไปตรงนี้ ถึงคิวนี้ต้องเข้าไปข้างๆ เวที การแสดงแต่ละครั้งพี่ตื่นเต้นมาก และยิ่งต้องการสมาธิมากขึ้น

 

พี่รู้ไหม ว่าจริงๆ แล้วผมเองก็ตื่นเต้นแบบนั้นเลย กับการมาสัมภาษณ์พี่วันนี้

     นั่นคือสิ่งทีี่ดีสำหรับน้อง เพราะน้องจะได้เรียนรู้ จะมีสักกี่คนที่ได้โอกาสทำงานนี้ ทั้งแผนกเขาเลือกแค่น้องคนเดียว แล้วน้องก็จะได้รับอะไรบางอย่างกลับไปในวันนี้แน่นอน เหมือนการขึ้นไปยืนอยู่บนเวที มันจะมีสารอะไรบางอย่างที่พุ่งมาหาเรา นั่นคือความคาดหวังของทุกคนที่มองมาหาเรา ที่เขาส่งมาหาเรา เราถึงตัวเย็นไงล่ะ ตัวสั่น เสียงสั่น ดังนั้น พี่ยิ่งต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เขา นี่คือความสำเร็จของการที่จะมาอยู่ตรงนี้ได้ การที่น้องรู้สึกตื่นเต้นมันไม่ใช่เรื่องผิด มันคือเรื่องที่ถูกต้องมากๆ

 

ทำไมอายุขนาดนี้แล้ว เรายังจะต้องทำงานเครียดๆ แบบนี้ต่อไป ถ้าผมประสบความสำเร็จแบบพี่เบิร์ด ถ้ามาถึงจุดนี้แล้ว ผมคงจะหยุดแล้วล่ะ

     เฮ้! ก็เพราะตัวน้องเองนั่นแหละที่เป็นคนบอกตัวเอง ทุกวันนี้ร่างกายถึงฟ้องออกมาแบบนี้ไง เห็นไหม? หนวดหงอก ผมหงอก อ้วนลงพุง ก็เพราะน้องไปบอกตัวเองว่าไม่เอาแล้ว พอแล้ว ไม่อยากทำงานเครียดๆ แล้ว ลองบอกตัวเองใหม่สิ เคยชอบอะไร เคยรักอะไร เคยมีกิจวัตรอย่างไร ก็ขอให้น้องทำต่อไป

 

กิจวัตรที่ว่านี้คืออะไร

ก็กิจวัตรของความคิดแบบตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่นไง ตื่นเช้าขึ้นมาเคยทำอะไร ก็ต้องทำต่อไป เคยเต้น เคยร้อง เคยอารมณ์ดี แต่บางทีเราต้องไปเจออะไรที่ไม่ดี เช่น แอลกอฮอล์ บุหรี่ เราก็ต้องมีสติเลี่ยง ทุกครั้งที่ส่องกระจก พี่ส่องกระจกดูหน้าของตัวเอง แล้วพูดว่าจะดูแลตัวเองเพื่อแฟนๆ ทำทุกอย่างเพื่องาน แล้วงานก็กลับมาหาเรา จากนั้นเราก็ไปถึงจุดหมายสำคัญของชีวิต คือการให้ความสุขกับคนดู แล้วคนดูก็จะส่งความสุขกลับมาให้เรา

 

คือให้มองตัวเองในกระจกทุกเช้าแล้วพูดกับตัวเองว่า ผมอย่าหงอก หน้าอย่าเหี่ยว แบบนี้ใช่ไหม

     (หัวเราะลั่น) บอกตั้งแต่ก่อนนอนเลย พรุ่งนี้อย่าเด็กกว่านี้นะเดี๋ยวแฟนๆ จำไม่ได้ ก่อนที่พี่จะขึ้นเวที พี่บอกตัวเองว่า “คืนนี้ต้องเด็ดนะเว้ย ถ้าไม่เด็ด เอ็งโดน” พอจบลงมาจากเวที พี่บอกตัวเองว่า “เฮ้ย เจ๋งมาก ขอจับมือหน่อย” พี่ทำอย่างนี้จริงๆ ให้ตายสิ พี่บ้าไปแล้ว

 

ที่บอกว่าชอบช้อปปิ้งทางทีวี คงเพราะพี่เบิร์ดต้องสละความเป็นส่วนตัว แม้อยากเดินห้างฯ ก็ทำไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้รู้สึกแย่หรือเปล่า

     ไม่เลย พี่กลับรู้สึกปลอดภัยมากกว่า เพราะเกรงใจคนที่เขาตั้งร้านอยู่แถวนั้น ข้าวของเขาอาจจะเสียหาย หรือว่าควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ล่าสุดพี่เพิ่งไปงานอีเวนต์ที่สยามพารากอนมา ตกใจมาก อยากจะหายตัวได้เลย เพราะแฟนๆ มากันเยอะมาก อัดกันอยู่ตรงด้านนอกร้าน พี่กลัวกระจกจะแตกเอา กลัวว่าพวกเขาจะได้รับอันตราย มีครั้งหนึ่งที่ไปสวนจตุจักร เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว มันโกลาหลมาก ข้าวของพังระเนระนาดหมดเลย พวกแม่ค้าพูดกับพี่เลยนะว่า รักพี่เบิร์ดนะ แต่อย่ามาเลยค่ะพี่ ของพังหมดแล้ว (หัวเราะ)

 

เบิร์ด ธงไชย

 

ให้พี่เลือกระหว่างหัวใจกับเหตุผล

     เหตุผลต้องมาก่อน เพราะพอทำอะไรไปแล้วถึงหันมาดูตัวเองว่า ใครผิดก่อนใคร ตัวเรานี่แหละผิดก่อน เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นจากสิ่งที่เราคิด คนอื่นเขาไมได้ยินความคิดเราหรอก เราบอกว่าเขาไม่ดี แล้วตัวเราล่ะ ดีแล้วเหรอ? เราต้องคิดก่อนที่จะไปว่าเขา แค่นี้เรื่องก็จะจบง่าย คิดแบบนี้แล้วมีความสุขนะ มีความสุขจะตาย

 

พี่เบิร์ดคงปล่อยวางเรื่องความรักได้หมดแล้ว

     ยังไม่ได้หรอก พี่โหยหาความรัก อยากมีแฟน อยากมีครอบครัวอยู่ แต่ถ้าไม่มีก็ช่างเหอะ ไม่เป็นไร ไม่เห็นตายสักหน่อย

 

คิดว่าต้องมีบางวันที่อยู่คนเดียวแล้วรู้สึกเหงา

     มีอยู่แล้ว ช่วงสี่ห้าทุ่มก่อนเข้านอน แต่พี่มีเทคนิคเอาชนะความเหงานะ คือเล่นสนุกกับความรู้สึกนั้นไปเลย จากนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องเอาลูกเข้านอน ลูกอยากฟังเพลงอะไรก็เปิด ลูกอยากอ่านหนังสืออะไรก็อ่าน

 

แต่ถ้าลูกยังงอแงว่า “คิดถึงคนนั้นจังเลย”

     (หัวเราะ) ก็เบิ๊ดกะโหลกมัน แล้วบอกว่า “นอนซะ” ลองคิดให้ดีๆ นะ คุณต้องรักตัวเองก่อน ให้ออกซิเจนกับตัวเองก่อน เหมือนตอนนั่งเครื่องบิน ได้เห็นการสาธิตเวลาเครื่องบินมีปัญหาใช่ไหม ที่เขาบอกว่าเราต้องช่วยเหลือตัวเองก่อนจะไปช่วยใคร

 

ถ้าลูกถามตรงๆ ว่า ทำไมพ่อถึงไม่ประสบความสำเร็จเรื่องความรักสักที

เคยสำเร็จ แต่ในที่สุด เขาก็อยากไปหาคนอื่น นั่นเป็นช่วงก่อนที่พี่จะเข้าวงการ ในยุคนั้นพอเข้าวงการมาแล้ว ก็มีค่านิยมว่ามีแฟนไม่ได้แล้ว และพี่เองก็แบ่งเวลาไม่เป็นด้วย ตอนนั้นพี่แบ่งเวลาไม่ได้หรอก เวลาของพี่ให้กับงานและแม่หมดเลย พอมาถึงตอนนี้ แค่ออกเดตกับพี่เล็ก (บุษบา ดาวเรือง) คนเดียว ก็เหมือนได้คบกับผู้หญิงทั้งโลกแล้วล่ะ เพราะพี่เล็กแกสั่งงานให้ทำเยอะมาก (หัวเราะ)

 

มีมุกตลกของฝรั่งที่เขาพูดกันว่า อย่าง เอลวิส เพรสลีย์ โด่งดังเพราะเขาทำสัญญาซาตาน ถ้าย้อนกลับไปสมัยที่เริ่มต้นเข้าสู่วงการ แล้วซาตานมาขอทำสัญญาแบบนี้พี่จะเอาไหม

     ไม่สิ ไม่ (ส่ายหน้า) พี่ไม่ทำสัญญากับซาตาน แต่พี่ทำสัญญากับตัวเองว่าจะทำอะไร ไม่ทำอะไร พี่เคยจนแบบที่ไม่รู้ว่าการช้อปปิ้งคืออะไร ตอนสมัยทำงานธนาคารได้เงินเดือนแค่ 3,750 บาท แล้วก็กระโดดข้ามขั้นมาเลย พี่เลยไม่มีความต้องการที่จะไปอยู่ในข้อเสนอของซาตาน ไม่อยากเดินห้างฯ ไม่อยากไปโรงหนัง บ้านซื้อมาแล้วก็อยู่บ้านสิ กว่าจะผ่อนหมดก็ตั้งนานเท่าไหร่ แล้วจะอยากไปเที่ยวที่อื่นทำไม อยู่บ้าน ปลูกต้นไม้ไป อยู่กับคนที่เรารัก ใช้ชีวิตง่ายๆ ราคาถูกๆ บ้างก็ได้ ไม่ต้องทันสมัย แล้วก็ไม่ต้องใหม่ จะต้องใหม่ไปถึงไหน ทุกวันนี้ก็ใหม่เต็มที่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะต้องทำงาน รองเท้าผ้าใบแพงๆ พี่ก็ไม่ใส่หรอก พี่เดินเท้าเปล่า พี่ไม่ซื้อหมวก เสื้อผ้าใหม่ๆ ก็ไม่ซื้อ แต่ถ้าเป็นเรื่องงานเราต้องใส่ ก็ค่อยหาซื้อ

 

 “

พี่มาจากครอบครัวที่โคตรจะจนเลย แล้วก็ฝันอยากเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนทำได้อย่างเรา พี่ไม่รู้หรอก ว่าตัวเองมีดีอะไร แต่อะไรที่ดีๆ พี่จะทำ

 

เคยได้ยินว่าคนที่มีความสุข เวลานอนหลับเขาจะไม่ค่อยฝันอะไร แล้วพี่เบิร์ดละ มีความฝันไหม และพี่ฝันถึงอะไร

     เออนั่นสิ พี่จำความฝันไม่ค่อยได้ ทั้งๆ ที่อยากฝันนะ แต่จะมีความรู้สึกบางอย่างเหลือไว้ตอนตื่นนอน ปกติเวลาพี่ไปไหน ก็จะพกรูปแม่ไปด้วย พี่จะบอกแม่ว่าวันนี้มาเที่ยวญี่ปุ่นกันนะแม่ วันนี้มาเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์กันนะแม่ แม่มาคุยกันหน่อยสิ แล้วเราก็หวังว่าตอนนอนหลับฝันจะได้เจอกับแม่ แต่ไม่มีภาพขึ้นมา ไม่มีความทรงจำอะไรอยู่ในหัวเลย แต่เรามีความรู้สึกบางอย่างเหลืออยู่ เหมือนตอนพี่เดินอยู่สนามที่หน้าบ้าน มองกลับเข้าไปในบ้าน แล้วมองเห็นแม่อยู่ตรงนั้น

     พี่มาจากครอบครัวที่โคตรจะจนเลย แล้วก็ฝันอยากเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนทำได้อย่างเรา พี่ไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีดีอะไร แต่อะไรที่ดีๆ พี่จะทำ พี่พูดออกมากลางสนามตอนกลางดึก ตีหนึ่งตีสอง “มีใครรู้บ้างไหมนะว่าการทำดีแล้วจะได้รับสิ่งดีๆ คืนกลับมาจริงๆ และที่ผ่านมา ทุกคนให้เรากลับมาเยอะจังเลย” พี่ฝันอยากให้ทุกคนได้พบเจอสิ่งนี้ด้วย แต่พี่จะไม่ใช่คนประเภทที่สอนใครได้ ทำได้แค่พูดให้ฟังแบบนี้แหละ แล้วก็หวังว่าน้องจะเข้าใจ

     น้องมาคุยกับพี่วันนี้ น้องก็ต้องได้อะไรกลับไปบ้าง ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยเห็นไหม จะเป็นทุกข์ทำไมล่ะ เรื่องชีวิตนี่ไม่มีอะไรหนักเลย เบาๆ ทั้งนั้น อะไรที่คิดว่าหนัก ไม่หนักเลยถ้าเราเข้าใจมันสักนิด ถ้าเคยทำผิด ก็ค่อยๆ แก้ไป ไม่มีหรอกยางลบวิเศษที่จะลบเรื่องผิดออกไปได้ในทีเดียว มีอะไรก็ค่อยๆ แก้ไขไป ถ้ามีโอกาสก็คุยกับคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจ เหมือนวันนี้เราได้มาคุยกัน เออ สนุกดี จริงไหม รู้ว่าอะไรทุกข์แล้วก็อย่าไปยุ่งกับมัน