เวลา 5 ปี หากพูดอย่างโรแมนติก อาจเป็นระยะเวลานานมากพอที่ทำให้คนอกหักเยียวยาหัวใจ แต่มันก็ไม่ใช่เวลาที่เพียงพอจะทำให้เราลืมใครสักคน หรือพูดกันโต้งๆ ตรงๆ ให้เข้ากับบรรยากาศการเมืองตอนนี้ก็ต้องบอกว่า มันไม่เพียงพอที่จะทำให้เราลืมว่าเรามีสิทธิในการเลือกผู้บริหารประเทศในฐานะพลเมืองคนไทย
5 ปีก่อน หัวหน้าพรรคการเมืองที่เป็นกระแสอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตด้วยแฮชแท็ก #ฟ้ารักพ่อ อย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แห่งพรรคอนาคตใหม่ อาจเป็นแค่นักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จ แน่นอนว่า เขาสนใจเรื่องการเมืองเป็นทุนเดิมตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา แต่ในช่วงเวลานั้น ภาระมากมายของธุรกิจครอบครัวก็บีบบังคับให้เขาต้องทุ่มเทและมุ่งมั่นนำพาบริษัทไทยซัมมิทโจนทะยานไปบนเส้นทางธุรกิจ
ทว่า 5 ปี ไม่สิ! พูดให้ถูกมันคือ 4 ปีภายใต้สภาวะอึดอัดคับข้อง ก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาตัดสินใจเริ่มต้นทำพรรคการเมืองอย่างจริงจังโดยหวังว่าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศ

ตอนที่คุณจะลงเล่นการเมือง คุณคุยกับภรรยาอย่างไร
ตัดสินใจก่อน บอกทีหลัง คือ… ตั้งใจจะบอก แต่ว่ามีคนมาสัมภาษณ์ก่อน พออยู่หน้าสื่อมวลชนก็ต้องตามน้ำไป ตอนกลับถึงบ้านเขาก็รู้กันหมดแล้ว (หัวเราะ) ตอนที่ผมตั้งพรรค กระแสมันเร็วมากจนไม่มีเวลาที่จะเล่าให้ภรรยาหรือคนที่บ้านฟัง
แล้วคนที่บ้านเข้าใจไหม
ผมไม่สามารถร้องขอครอบครัวที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้ว ครอบครัวของผมทุกคนให้กำลังใจผมได้ดีมาก ทุกคนเป็นกำลังใจ ทุกคนอยากช่วยเหลือ อาจเป็นบุญของผมที่ทำให้เกิดและเติบโตมาในครอบครัวแบบนี้ ครอบครัวของผมทุกคนสุดยอดมาก…
ตอนนั้นรู้สึกอะไร ทำไมถึงลุกขึ้นมาตั้งพรรคอนาคตใหม่
พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งใครเป็น ส.ส. ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งใครไปเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี แต่พรรคของเราตั้งขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีความคิดว่า “ไม่เอาแล้ว จะไม่ยอมจำนนต่อสภาพสังคมแบบที่เป็นอยู่ และต้องการผลักดันให้สังคมก้าวไปข้างหน้าให้ได้” เราจึงร่วมกันตั้งพรรคขึ้นมา ดังนั้น วัตถุประสงค์ของพรรคจึงไม่ได้ต้องการเข้าไปเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ส่งใครเข้าไปเป็น สส. แต่วัตถุประสงค์จริงๆ คือการเปลี่ยนแปลงประเทศ
ด้านการเมือง ในรอบ 13 ปีที่ผ่านมา เกิดรัฐประหาร 2 ครั้ง นายกรัฐมนตรี 7 คน รัฐธรรมนูญอีก 5 ฉบับ การชุมนุมที่นำมาซึ่งความบาดเจ็บ และการล้มตายของผู้คนที่เรียกร้องสิทธิและเสรีภาพอีกหลายครั้ง นี่คือสังคมที่เราบอกว่า “พอได้แล้ว มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนแปลง” เพราะถ้าไม่เปลี่ยนแปลง ถ้ายังอยู่อย่างนี้ต่อไป ลูกหลานเราจะลำบาก
เพราะเราต้องไม่ลืมว่าในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ในขณะที่ความขัดแย้งในสังคมของเราดำรงอยู่สูงมาก ประเทศเราเจริญเติบโตช้ากว่าเพื่อนบ้าน ครั้งหนึ่งเราเคยแข่งขันกับเกาหลีใต้ ไต้หวัน และมาเลเซีย วันนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกาหลีใต้แซงหน้าเราไปไกลแล้ว รายได้ต่อหัวต่อปีของเกาหลีใต้มากกว่าเรา 5 เท่า ไต้หวันและมาเลเซียก็แซงหน้าเราไปแล้ว ถ้ายังเดินหน้าอย่างนี้ต่อไปแม้แต่เวียดนามหรืออินโดนีเซีย เราก็จะแพ้เขา
ที่ผ่านมาคุณพูดเรื่องการแก้โครงสร้างเชิงอำนาจตลอดเวลา และชูเป็นนโยบายหลักของพรรค สิ่งนี้สำคัญอย่างไร
โครงสร้างที่ผมพูดคือทุนผูกขาด ระบบราชการรวมศูนย์ วังวนของการทำรัฐประหารที่ซ้ำซาก ถ้าคุณไม่จัดการโครงสร้างนี้ อย่าไปพูดถึงการแก้ไขปัญหาเชิงประเด็นเลยครับ เพราะมันแก้ไม่ได้ ถ้าเกิดมันแก้ได้ประเทศของเราพัฒนาไปนานแล้ว ทั้งหมดนี้คือโครงสร้างที่สำคัญ ถ้าคุณละเลยเรื่องพวกนี้ และคิดแต่จะแก้ปัญหาความยากจน แก้ปัญหาการคมนาคม มันไม่สามารถทำได้
เราเห็นได้ชัดเจนว่าบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปีที่แล้วกับปีนี้ เติบโต 13% แต่ถ้าคุณไปดูชาวบ้าน พ่อค้า-แม่ค้าในตลาด ผมเดินทางไป 70 จังหวัดทั่วประเทศไทย ไปคุยกับพวกเขา ทุกจังหวัดพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า “ยอดขายลดลง 50% รายได้ลดลง 50%” บางร้านลดลงถึง 60-70% จากเดิมอาจจะขายได้ 100 บาท วันนี้ลดลงเหลือวันละ 20-40 บาท ขณะที่บริษัทใหญ่ๆ ในประเทศร่ำรวยขึ้น กำไรมากขึ้น 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ อำนาจที่รวมศูนย์ย่อมทำให้การกระจายทรัพยากรทางเศรษฐกิจรวมศูนย์ไปด้วย
อะไรจะทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่า ถ้าพรรคอนาคตใหม่เข้าไปอยู่ในสภาจะไม่ถูกอำนาจของนายทุนกลืนกิน
ก็พรรคของเราไม่มีนายทุน ให้คุณดูผู้สมัคร 10 คนแรก จะเห็นว่าไม่มีนักการเมืองเก่า ไม่มีนายทุนพรรค ทุกคนมาด้วยใจ มาด้วยจิตสำนึกที่อยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศ และผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ปัญหาที่ผมพูด ไม่ว่าจะเป็นการยุติบทบาทของกองทัพในรูปแบบปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงให้เป็นกองทัพรูปแบบใหม่ เตรียมพร้อมสำหรับศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นระบบราชการรวมศูนย์ หรือการทำลายกลุ่มทุนผูกขาดในประเทศไทย ทั้งหมดที่ผมกล่าวมาไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหม่ แต่ไม่มีคนทำ ไม่มีคนที่มีเจตจำนงแข็งแรงพอที่จะไปทำ
ถามว่าทำไมพรรคอนาคตใหม่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้สำเร็จ หนึ่ง เราเป็นพวกคุณไม่ใช่พวกเขา เราไม่เคยอยู่ในระบบอุปถัมภ์ ไม่ได้อยู่ในกลุ่มผลประโยชน์แบบนั้น เราถึงกล้าทำ ถ้าเราเป็นหนึ่งในพวกเขา เราจะทุบหม้อข้าวตัวเองทำไม แต่เราไม่ใช่ ผู้สมัคร สส. ทั้ง 350 เขต เป็นคนใหม่ทั้งหมด ไม่มีใครเป็นหนึ่งในพวกเขา เพราะเป็นพวกเราเราจึงกล้าทำ
สอง ในหลายเรื่อง เราตั้งใจมากกว่า มีเจตจำนงทางการเมืองที่มากกว่า ทำไมธนาคารทุกธนาคารในประเทศไทยต้องมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ ทำไมเราไม่มีธนาคารเชียงใหม่ ไม่มีธนาคารอุดรธานี ไม่มีธนาคารที่ตรัง การออกใบอนุญาตธนาคารใบใหม่ ไม่ได้เป็นเรื่องยากเลย แต่ไม่มีคนทำ ไม่มีคนที่กระจายอำนาจ กระจายโอกาส ให้กับแหล่งทุนต่างจังหวัด
ถ้าคุณไม่กล้าเสี่ยง คุณจะไม่เคยได้รับรางวัลอะไรในชีวิต ไม่มีรางวัลหรือความสำเร็จอะไรเกิดจากการนั่งเฉยๆ คนที่เคยทำงานมาทุกคนย่อมรู้ว่าความสำเร็จบางวันของชีวิตมาจากการกล้าเสี่ยง มาจากการลงมือทำ มาจากการเดินไปข้างหน้าอีกสักหนึ่งก้าว
คุณกำลังฝันและท้าทายสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่หรือเปล่า
The Impossible Dream ฝันให้ไกล ฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก่อนวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ไม่มีใครคิดหรอกว่า ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ในสังคมไทย ถ้าเราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นไปไม่ได้ ความฝันของผมไม่ได้เป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ เป็นความฝันที่เรียบง่าย เป็นความฝันที่ต้องการแค่พาประเทศไทยให้ไปอยู่ในระดับเดียวกันกับประเทศที่เป็นอารยะประเทศเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นความฝันที่ไกล ดังนั้น ผมคิดว่าเป็นความฝันที่เรียบง่าย ทรงพลัง และโรแมนติก เพราะเป็นเรื่องการต่อสู้ของประชาชนกับอำนาจที่ฉ้อฉล
ถ้าคุณไม่กล้าเสี่ยง คุณจะไม่เคยได้รับรางวัลอะไรเลยในชีวิต ไม่มีรางวัลหรือความสำเร็จอะไรเกิดจากการนั่งเฉยๆ คนที่เคยทำงานมาทุกคนย่อมรู้ว่าความสำเร็จบางวันของชีวิตมาจากการกล้าเสี่ยง มาจากการลงมือทำ มาจากการเดินไปข้างหน้าอีกสักหนึ่งก้าว มาจากการผลักดันพรมแดนแห่งความเป็นไปได้ให้ไปไกลกว่านี้อีกวันละนิดๆ ถ้าคุณไม่กล้าเสี่ยง คุณไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จ คิดแต่ว่าทำไมได้ ไม่ลงมือทำ ความฝันของคุณจะไม่เกิดขึ้น
ไม่มีใครรู้หรอกว่าการเปลี่ยนแปลงจะทำได้หรือไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่ายุคนี้มีโอกาสมากที่สุด เพราะเรามีโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือ ซึ่งคนยุคก่อนไม่มี เราสามารถสื่อสารกับคนเป็นล้านคนได้ เราสามารถบอกความฝันให้กับคนเป็นล้านๆ คนได้โดยไม่ต้องมีต้นทุน ไม่ต้องไปพึ่งโทรทัศน์ช่อง 3, 5, 7, 9 นี่คือเครื่องมือที่เรามีในยุคนี้ และคนเข้าถึงเครื่องมือต่างๆ เหล่านี้มากขึ้นทุกวันๆ
ดังนั้น ผมคิดว่าเรามีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปได้ในสังคมที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ในสังคมที่คนรู้สึกหมดหวังถึงที่สุด ไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าคุณไม่เชื่อว่าผมทำได้… คุณก็ไปกาพรรคอื่น แต่ถ้าคุณมีโอกาส มีความหวังสักนิดหนึ่งว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทย 24 มีนาคมนี้ ลองกาพรรคอนาคตใหม่ดู ไม่มีอะไรจะเสีย ไม่มีอะไรจะแย่กว่านี้อีกแล้ว
ทำไมคุณเชื่อว่าประชาธิปไตยจะเอาชนะอำนาจผูกขาดได้ ที่ผ่านมาดูเหมือนยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย
มีคนกลุ่มหนึ่งพยายามพูดเสมอว่าคนไทยไม่เหมาะกับประชาธิปไตย ไม่พร้อมกับประชาธิปไตย หรือไม่ก็คนไทยโง่ทำให้ประชาธิปไตยที่ดีเกิดขึ้นไม่ได้ วาทกรรมพวกนี้ คำหลอกลวงต่างๆ เหล่านี้ ทำให้คนไม่อยากยุ่งกับอำนาจ เมื่อคนไม่อยากยุ่งกับอำนาจ อำนาจก็ไปอยู่ในมือคนส่วนน้อยของสังคมที่ได้ประโยชน์จากการใช้อำนาจนั้น แล้วเขาก็ไปพูดกับคนส่วนใหญ่ เพื่อที่คนส่วนใหญ่จะได้ไม่ไปยุ่งกับอำนาจ เพราะถ้าคนส่วนใหญ่ยุ่งกับอำนาจเมื่อไร ก็คือการเอาอำนาจจากคนส่วนน้อยลงมา แล้วทำให้สถานะเขาสั่นคลอน
ดังนั้น คนส่วนน้อยที่ถืออำนาจอยู่ต้องใช้คำพูดแบบนี้ ต้องใช้นิทานหลอกลวงเราแบบนี้ เจอนิทานแบบนี้ตั้งแต่ในหนังสือเรียนแล้วนะครับ โตขึ้นมาในสังคมก็เจอเรื่อยๆ นี่คือนิทานที่หลอกลวงคนส่วนใหญ่ให้เกลียดกลัวการเมือง ไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับการเมือง เมื่อเป็นแบบนั้นอำนาจก็อยู่ที่เขา เพราะเราไม่เข้าไปแย่งชิงอำนาจที่เป็นของเรามา นี่คือสภาวะการณ์ที่ผมเรียกว่า การยอมจำนน แต่ถ้าคนไทยทุกคนเชื่อว่าเรามีอำนาจเท่ากัน มีศักดิ์ สิทธิ์ และศรี เท่ากัน เรามีความชอบธรรมเต็มที่ที่จะเอาอำนาจที่เขาถืออยู่กลับคืนมาเป็นของพวกเราทุกคนได้
ลองสไลด์หน้าฟีดส์บนเฟซบุ๊กทุกวันนี้ ก็จะเห็นคนรุ่นใหม่บ่นอยากหนีออกจากประเทศตลอดเวลา คุณคิดว่าจะคืนความหวังในการมีชีวิตให้กับเด็กรุ่นใหม่ได้อย่างไร
คุณคิดว่าทำไมเด็กไทยถึงไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้ายกมือถาม… คำตอบคือกลัวอำนาจ อำนาจคือประเด็นที่ใหญ่มาก อำนาจนิยมในประเทศไทยฝังลึกอยู่ในสังคมทุกที่ รวมทั้งในโรงเรียน คุณจะปล่อยศักยภาพของตน คุณจะกล้าแสดงออกเมื่ออยู่กับเพื่อน กล้าคุย กล้าพูด กล้าเป็นตัวของตัวเอง เกิดความคิดสร้างสรรค์ แต่พอคุณไปอยู่ในห้องเรียนมันกลับหายไป คุณไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง คุณลดมันและถอยออกมา วิธีที่จะทำให้คนสามารถดึงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่คือทำให้เขาเป็นตัวของตัวเอง
ยกตัวอย่าง อาจจะเริ่มแรกด้วยชุดนักเรียน ชุดอะไรที่คุณคิดว่าใส่แล้วจ๊าบที่สุด คุณใส่ชุดนั้นไปโรงเรียน คุณอยากให้เขามั่นใจว่าเขาเป็นคนพิเศษ คนทุกคนเป็นคนพิเศษมีศักยภาพ มีความคิดสร้างสรรค์ มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง ถ้าคุณอยากจะให้เขาแสดงออกมา คุณปล่อยให้เขาเป็น เอาอำนาจออกไป เมื่อนั้นนักเรียนถึงจะกล้าแสดงออก
ที่คนไทยไม่กล้าแสดงออกเพราะโครงสร้างจารีตดั้งเดิม ทำนั่นก็ผิดกฎ ทำนี่ก็ผิดกฎ ผิดศีลธรรม เยอะแยะไปหมด และเมื่อผิดก็โดนทำโทษอย่างแรง ดังนั้น วิธีที่จะอยู่อย่างปลอดภัยที่สุดคือการอยู่ใต้อำนาจ เพราะการยกมือถามไม่ปลอดภัย การเป็นตัวของตัวเอง ไม่ปลอดภัย การแสดงศักยภาพของตัวเอง ไม่ปลอดภัย ทำพื้นที่พวกนี้ให้ปลอดภัยด้วยการปลดปล่อยกฎระเบียบต่างๆ ที่กดทับพวกเขาออกมา
ในทางหนึ่งที่คุณคุยเรื่องการลดทอนอำนาจ แต่สิ่งที่คุณกำลังทำคือการเดินเข้าใกล้อำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ อยากรู้ว่าวันหนึ่งถ้าคุณต้องไปควบคุมสิ่งนี้จริงๆ มีความกลัวไหม
ไม่กลัว เรารอต่างหาก รออย่างใจจดใจจ่อว่าเมื่อไหร่จะได้อำนาจมา เมื่อไหร่จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เพราะตั้งใจจะทำให้ดูว่าเราตั้งใจจริงๆ ที่จะมาแตะต้องโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม รอวันที่จะลบคำปรามาสจากคนที่คิดว่า สังคมที่ดีกว่านี้เป็นไปไม่ได้
ทำไมถึงไม่กลัว ไม่สั่นคลอนในอำนาจ
ถ้าต้องไว้ใจใครสักคนว่าจะไม่สั่นคลอนก็ต้องไว้ใจตัวเอง ยกตัวอย่าง ผมรู้จักอำนาจมาตั้งแต่อายุ 23-24 ปี ตั้งแต่เข้ามาทำงาน คุณรู้ไหมอำนาจมาจากไหน อำนาจมาจากการซื้อ คุณเป็นผู้ขายคุณไม่มีอำนาจนะ อำนาจอยู่ที่ผู้ซื้อ บริษัทที่ผมทำงาน ปีหนึ่งซื้อของเป็นหมื่นล้าน มีคนเดินเข้ามาหา สามารถให้คุณให้โทษบางบริษัทได้ สามารถดึงออร์เดอร์กลับแล้วทำให้บริษัทบางบริษัทเจ๊งไปเลยก็ได้ ผมเคยมีอำนาจถึงขนาดนั้น แล้วทุกครั้งที่ผมมีอำนาจก็ต้องกลับมาจุดเดิม คือการอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ นั่นคือการตระหนักถึงการใช้อำนาจของเราตลอดเวลา
อย่าใช้อำนาจเกินขอบเขต อย่าใช้อำนาจจนเหลิง อันนี้คือสิ่งที่ผมเตือนตัวเองตลอดเวลา แล้วผมสัมผัสกับอำนาจแบบนี้ตั้งแต่ผมอายุ 20 ต้นๆ ดังนั้น ผมจึงมั่นใจในตัวเองว่าผมสามารถอยู่เหนืออำนาจได้
เราควรใช้อำนาจยังไง
ตลอดการบริหารองค์กรที่มีคนเป็นหมื่นๆ คน ผมไม่เคยใช้อำนาจเกินเลย ประวัติการทำงานของผมน่าจะพิสูจน์ได้ว่าผมจัดการกับอำนาจได้ ผมเห็นคนมามากมายที่พังเพราะอำนาจ เมื่ออำนาจมากขึ้น เหลิงมากขึ้น ควบคุมตัวเองไม่อยู่ 10 กว่าปีที่ผ่านมาผมเห็นคนแบบนี้มาเยอะ ดังนั้น ก็ต้องบอกว่าอำนาจเป็นสิ่งอันตราย จะไม่ใช้อำนาจก็ไม่ได้ ถ้าไม่ใช้อำนาจ องค์กรคุณก็จะไม่เดิน เขาให้อำนาจคุณเพราะเขาไว้ใจคุณ และคู่แข่งของคุณเขาก็ก้าวเดินไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณไม่เดินก็พัง ดังนั้น อำนาจไม่ใช้ก็พัง ใช้มากเกินไปก็พัง
คาดหวังว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับประเทศไทยบ้าง
ผมอยากจะให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นก้าวแรกของการยุติวงจรอุบาทว์แห่งการทำรัฐประหารในประเทศให้ได้ เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าจะทำสำเร็จ เพราะต้องต่อสู้ทางความคิดอีกหลายยก แต่ผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการเปิดประตูให้กับความเป็นไปได้
ภารกิจอันดับแรกในการเลือกตั้งครั้งนี้ที่จะทำให้ความฝันสำเร็จคือ การหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของทหาร ถ้าเขาสืบทอดอำนาจได้คุณจะต้องอยู่กับเขาไปอีก 8 ปี 5 ปียังขนาดนี้ ถ้าอยู่อีก 8 ปี เจ๊งทั้งประเทศแน่ๆ แต่ถ้าเราหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ ก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลง นี่คือประตูหรือบันไดก้าวแรกที่มีความสำคัญ
คำถามสุดท้ายหลังวันที่ 24 มีนาคม เมื่อผลลัพธ์ออกมาแล้ว ถ้าไม่เป็นดังที่หวัง คุณจะทำอย่างไรต่อ
เราต้องเข้าใจว่าการสร้างประชาธิปไตย การสร้างสังคมที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่เรื่องง่าย มันไม่ได้เกิดในการเลือกตั้งครั้งเดียวอยู่แล้ว อย่าคิดว่าการเลือกตั้งครั้งเดียวจะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้ อย่าโกหกประชาชนแบบนั้น คุณจะสร้างความคาดหวังที่ผิด ต้องบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเดินทาง ยังไม่จบ ไม่ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ใครได้เสียงข้างมากอย่างไรก็เปลี่ยนประเทศไทยในรอบเดียวไม่ได้ ดังนั้น เป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลไม่เกี่ยวกันเลย ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือหลังจากการเลือกตั้งให้ยืนหยัดในเส้นทางของตนเองอย่างต่อเนื่อง รณรงค์ทางความคิดกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทำงานทางความคิดกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
เพราะฉะนั้น ในวันที่ 24 มีนาคม จบสงครามหนึ่งบท วันที่ 25 มีนาคม เดินหน้ารณรงค์ต่อ ทำงานต่อทันที
สังคมทุกสังคมในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ประชาธิปไตยไม่มีสังคมไหนก้าวไปถึงมันโดยง่าย การเข้าสู่ประชาธิปไตยของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน มันยากทุกประเทศ บางประเทศอยู่ภายใต้เผด็จการทหารมาหลายสิบปี ดังนั้น อย่าไปคิดว่าเลือกตั้งทีเดียวจบ มันเป็นการเดินทาง เป็นการผลักดัน ค่อยๆ ทำทีละนิด จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ
เลือกตั้ง 2562:
• อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ | ประชาชนยังมีสิทธิ์ในการเขียนบทให้ประเทศ
• ไพบูลย์ นิติตะวัน | อุดมการณ์อันแรงกล้า และหลักศรัทธาที่ถูกสังคมตั้งคำถาม
• ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ | ความทะเยอทะยาน การจัดลำดับความสำคัญที่จะทำให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น
• เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส | ถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยจะไม่มีรัฐประหารอีกต่อไป
• เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ | สามัญชนผู้หวังหอบหิ้วเสียงของคนตัวเล็กๆ เข้าไปในสภา
• บ.ก. ลายจุด | ขอเป็นไม้ประดับในการเมืองไทย เพิ่มสีสันและแชร์ไอเดียให้เกิดเป็นร่องความคิดของสังคม
• พอลลีน งามพริ้ง | ถ้าทุกคนมีความเท่าเทียม ประเทศไทยจะเดินหน้าไกลกว่าทุกวันนี้