บก. ลายจุด

บก. ลายจุด: 14 ปีของการต่อสู้ ชีวิตที่ถูกการเมืองกลืนกิน และราคาที่ต้องจ่าย

การรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 นอกจากจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของการเมืองไทยแล้ว ยังเป็นจุดพลิกผันให้ชีวิตของเขาหันเหออกจากการเป็นเอ็นจีโอเข้าสู่เส้นทางการเมืองอย่างเต็มตัว 

        ‘สมบัติ บุญงามอนงค์’ หรือ ‘บก. ลายจุด’ คือคนแรกๆ ที่ออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านรัฐประหาร ท่ามกลางมวลชนที่ออกมามอบดอกไม้ให้กำลังใจทหารที่ทำการยึดอำนาจ เขาจึงถูกด่าว่าเป็นพวกชังชาติ และได้รับสารพัดคำสาดโคลนจากความเกลียดชัง 

        การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของเขาเริ่มต้นจากสถานะคนส่วนน้อยในสังคม จนกาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความเชื่อของเขามีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการเมืองไทยฉากใหม่ภายใต้ร่มเงาของทหาร ยิ่งถลำนำพาเผด็จการรัฐสภาสู่เผด็จการเต็มรูปแบบ การพาประเทศไทยเดินหน้าเป็นเพียงการขายฝัน ที่เนื้อแท้ของมันคือการพาสังคมกลับสู่วงจรอุบาทว์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

        มวลชนที่ออกมาตะเบ็งเสียงขับไล่ผีร้าย ไปจนถึงไล่ล่าศัตรูทางการเมืองอย่างเอาเป็นเอาตายก็หาใช่อัศวินผู้พิทักษ์ที่ไหน หากเป็นเพียงอัศวินตกรุ่นที่ยังเพ้อฝันกับการหยิบดาบและชุดเกราะสนิมเขรอะขึ้นมาฟาดฟันกับผีในจินตนาการของตัวเอง 

        วันนี้ ฝ่ายเผด็จการเต็มรูปแบบพ่ายแพ้ในสงครามยึดพื้นที่ทางความคิด คงเหลือแต่อำนาจรัฐและกระบอกปืน และกำลังเผชิญกับเสียงกู่ร้องขับไล่ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ – เขาไม่ใช่คนส่วนน้อยอีกต่อไป

        ถามว่าอะไรคือบทเรียนสำคัญจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อถึง 14 ปี เขาสูดหายใจลึก ยาวนาน ก่อนจะบอกว่า “มันเป็นช่วงเวลาที่การเมืองกินชีวิตไปแทบทั้งหมด” 

         ถ้าไม่เดินสู่เส้นทางเรียกร้องต่อสู้ทางการเมือง เขาคงไม่สูญเสียเพื่อน ไม่ต้องห่างจากลูกสาวนานถึง 6 ปี ได้มีความสุขอยู่กับงานเอ็นจีโอที่ปลุกปั้นมากว่าสองทศวรรษ และคงจะมีเวลาว่างมากพอที่จะได้ดื่มด่ำกับสุนทรียะในชีวิต 

        “สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเหล่านี้มันเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือก ไม่ใช่การที่อยู่ดีๆ ก็ถูกบริบททางสังคมซัดมา ทุกอย่างเกิดจากการตัดสินใจแล้ว แต่ปรากฏว่าค่าใช้จ่ายมันแพงกว่าที่คิด ก็ไม่เป็นไร ถ้าเราเลือกชีวิตแบบนี้เราต้องยอมจ่าย เพียงแต่ว่าความรู้สึกต่อสิ่งต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นกับผมคือมันเยอะเหลือเกิน” 

        การนัดสัมภาษณ์ในวาระ 14 ปี ของการรัฐประหาร 2549 เราจึงขอให้เขาเลือกสถานที่ที่มีความหมายต่อชีวิต และบทบาทการเป็นแอ็กทิวิสต์ – เขานัดหมายเราที่ ‘อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย’

 

บก. ลายจุด

ทำไมถึงเลือกให้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นสถานที่ที่มีความหมายต่อบทบาทการเป็นแอ็กทิวิสต์ของคุณ แทนที่จะเป็นที่แมคโดนัลด์ 

        (หัวเราะ) แมคโดนัลด์เป็นลูกเล่น แต่แก่นจริงๆ อยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผมมีประสบการณ์ทางการเมืองตั้งแต่สมัยรัฐประหารโดย รสช. ในปี 2534 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะกลับมาอีกครั้งตอนที่มีการผลักดันให้เกิดการร่างรัฐธรรมนูญ 40 ในปี 2538 และอีกหนก็คือหลังจากเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา 2549 การต่อสู้ครั้งนี้ยาวนานมากเสียจนรู้สึกว่าการเมืองรอบนี้กินชีวิตของผมไปเลย ผมจึงคิดว่าสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญและยังเหลืออยู่ตอนนี้คืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 

ที่รู้สึกว่าการเมืองกินชีวิต เพราะต่อสู้มาเป็นสิบๆ ปีแล้วยังไม่ชนะสักทีใช่ไหม 

        ใช่ มันเป็นการเดินทางไกล คำว่า ‘กินชีวิต’ สำหรับผมคือ การเมืองเอาชีวิตในมิติอื่นๆ ของผมไปเยอะมาก อย่างน้อยก็คือบทบาทของการเป็นเอ็นจีโอ ส่วนใหญ่งานเอ็นจีโอเป็นงานที่ไม่ร้อน ไม่ค่อยมีความขัดแย้งสักเท่าไหร่ ซึ่งตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบปีก่อนจะมีการรัฐประหาร ปี 2549 ผมก็ทำแต่งานหวานเย็นพวกนี้ จึงได้สั่งสมประสบการณ์ เรียนรู้ และมีความสุขอยู่กับมัน แต่พอเข้ามาทำงานทางการเมือง มันมีความขัดแย้งสูง หลายครั้งที่ต้องสูญเสียเพื่อน สูญเสียสถานะการเป็นเอ็นจีโอไปในบางช่วงบางตอน บางทีคนเขาก็ไม่ชวนผมไปเข้าวงด้วยแล้ว 

เพราะมองว่าคุณแปดเปื้อนทางการเมือง 

        ใช่ ผมเคยโดนแหล่งทุนตัดงบประมาณ ไม่ต่อโครงการให้ เพราะผู้บริหารในองค์กรมองว่าผมเป็นคนเสื้อแดง เขาไม่ได้อธิบายว่าเพราะอะไรถึงไม่ต่องบประมาณให้ แต่ผมเป็นเอ็นจีโอที่มีพรรคพวกอยู่ในทุกองค์กร จึงรู้หมดว่าเหตุผลที่เขาคุยกันบนโต๊ะประชุมจริงๆ ก็คือเรื่องทางการเมืองของเรานี่แหละ แม้แต่เรื่องครอบครัว อย่างลูกสาวของผมที่ต้องเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศก็มาจากการที่เขาถูกคุกคามและผมถูกควบคุมตัว ผมพูดได้เต็มปากว่าหกปีที่ไม่ได้เจอลูกสาวก็เป็นเพราะเรื่องทางการเมือง

        สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเหล่านี้มันเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือก ไม่ใช่การที่อยู่ดีๆ ก็ถูกบริบททางสังคมซัดมา ทุกอย่างเกิดจากการตัดสินใจแล้ว แต่ปรากฏว่าค่าใช้จ่ายมันแพงกว่าที่คิด ก็ไม่เป็นไร ถ้าเราเลือกชีวิตแบบนี้เราต้องยอมจ่าย เพียงแต่ว่าความรู้สึกต่อสิ่งต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นกับผมคือมันเยอะเหลือเกิน

เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา 2549 คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณเดินเข้าสู่เส้นทางการเมืองอย่่างเต็มตัว อยากให้ย้อนเล่าถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นและบรรยากาศรอบตัวในช่วงเวลานั้น 

        วันนั้นผมกำลังผมเดินทางมาจากเชียงราย ตอนที่นั่งอยู่บนแอร์พอร์ตบัสก็ได้ยินคนขับรถ ว. คุยกับทางสถานีว่าตอนนี้เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจ สนามบินในเวลานั้นจึงวุ่นวายพอสมควร ผมรู้ข่าวรัฐประหารครั้งแรกจากตอนนั้น พอกลับเข้าที่พักผมก็ตั้งกลุ่มในเอ็มเอสเอ็นคุยกับเพื่อนๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าตกลงเหตุการณ์นี้คืออะไร ไม่เข้าใจ ผมจึงชวนพวกเพื่อนๆ นักกิจกรรมว่า เออ พรุ่งนี้เช้าเราเข้าออฟฟิศมาคุยกัน ปรากฏว่าคนมาประชุมกันแน่นเลย สัก 80 คนได้ ต้องยืนคุยกัน แล้วก็ต้องล็อกกลอนออฟฟิศเพื่อไม่ให้สันติบาลเข้ามา 

        วันรุ่งขึ้นก็เกิดเครือข่าย 19 กันยา ต้านรัฐประหาร แล้วหลังจากนั้นอีกสี่วันเราก็ใส่เสื้อดำออกมาทำแฟลชม็อบประท้วงกันที่สยามสแควร์ แล้วชีวิตก็เตลิดมาเรื่อยๆ เดินเข้าสู่พื้นที่ทางการเมืองชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ถูกจับ โดนคดีความอีกสารพัด 

 

บก. ลายจุด

คนที่ออกมาต่อต้านรัฐประหารในเวลานั้นเป็นคนส่วนน้อย คุณมั่นใจในจุดยืนของตัวเองได้อย่างไร 

        ตอนแรกเราก็ตกใจมาก ไม่คิดว่ามันจะเวิ้งว้างขนาดนั้น แต่เพราะหลังจากเหตุการณ์ในปี 2535 ขบวนการได้ถอดบทเรียนว่าการที่เราปล่อยให้มีการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 เป็นที่มาของการเกิดพฤษภาทมิฬ ตอนนั้นผมจึงเชื่อว่าแอ็กทิวิสต์ที่เคยต่อสู้จนถึงปี 2535 ไม่น่ามีใครเห็นด้วยกับการรัฐประหาร ต่อให้คุณไม่ชอบทักษิณก็ตาม แต่หลักการนี้เป็นหลักการที่สำคัญมาก ไม่สามารถยืดหยุ่นได้ แต่พอเกิดรัฐประหารขึ้นจริงๆ คนพวกนี้กลับนิ่งเฉย ผมจึงออกไปดื้อๆ อย่างนั้นเลย ทั้งที่จริงๆ แล้วผมไม่มีบทบาทอะไรเลย ผมมาจากงานสังคมที่โลกสวย ดังนั้น ผมจึงประเมินเรื่องนี้ไม่ออก พอตัดสินใจออกมาแล้วจึงรู้ว่ามันไม่ใช่ พวกเขาไม่ใช่แค่นิ่งเฉย แต่ยังสนับสนุนการรัฐประหารเลยด้วยซ้ำ 

        วันที่เราไปอ่านแถลงการณ์ เรานั่งกันอยู่ประมาณ 50 คน เราถูกตำรวจล้อม แล้วเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวันนั้นคือมีผู้ชายคนหนึ่งมายืนด่าว่าพวกเราเป็นพวกขายชาติ เพื่อนผมคนหนึ่งที่ไปนั่งประท้วงอยู่ด้วยเขาก็หันไปมองหน้าแล้วไม่ได้ต่อว่าอะไรกลับไป แต่ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาตบเพื่อนผมเลย ผมรู้ว่าเพื่อนผมมันทั้งตกใจทั้งโกรธ แต่สิ่งที่มันทำคือมองหน้าแล้วกลับมานั่งเหมือนเดิม จนผู้ชายคนนั้นทำอะไรไม่ถูก สักพักเขาก็เดินออกไป

คนที่เป็นแอ็กทิวิสต์จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อความรุนแรงใช่ไหม

        ผมเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ออกมาต่อสู้ แต่ในอีกด้านหนึ่งผมก็เป็นนักกิจกรรมที่เคยผ่านการเคลื่อนไหวทางสังคมและทางการเมืองมา ดังนั้น มันจะมีเรื่องของหลักสิทธิมนุษยชนอยู่ เวลาผมปราศรัยแล้วต้องเรียกชื่อคน ผมจะให้เกียรติในระดับหนึ่ง จะไม่เรียกเขาว่า ‘ไอ้’ หรือไปเติมคำที่เป็นการดูถูกเขา 

        มีอยู่วันหนึ่งที่ผมกำลังปราศรัยในช่วงปี 2550 ผมเรียก อาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ว่า ‘อาจารย์เจิมศักดิ์’ แล้วเรียก คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า ‘คุณสนธิ’ ปรากฏว่าคนข้างล่างเวทีทำเสียงโห่แล้วตะโกนบอกว่าไปเรียกพวกมันว่า ‘คุณ’ ทำไม ผมงงมากนะ เพราะผมอยู่ในวัฒนธรรมที่เวลาเราแสดงออกบนเวทีสาธารณะ ผมจะให้เกียรติคนที่เราพูดถึงเสมอ อย่าง คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมก็จะไม่เรียกว่าประยุทธ์เฉยๆ แต่จะเรียกว่า ‘คุณประยุทธ์’ อะไรทำนองนี้ 

        แต่ผมออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้ทำได้ดีโดยตลอดนะ เพียงแต่ว่าโทนโดยรวมผมยังรักษาสิ่งนี้ได้ คนยังรู้สึกว่าผมอยู่ในสายสันติวิธี ไม่สุดโต่งเกินไป เพราะผมรู้ว่าในภาวะที่บีบคั้นทางการเมืองมากๆ มันจะทำลายความเป็นมนุษย์

        ผมกลัวมากเลยว่าในขณะที่ผมต่อสู้ทางการเมือง ผมจะกลายเป็นปีศาจอีกตนหนึ่ง เพราะผมสังเกตเห็นว่าคนที่ต่อสู้ทางการเมืองเขาจะวิวัฒนาการเป็นปีศาจ เขาจะใช้พลังงานด้านลบออกมา พลังงานด้านลบเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก ถ้าคุณปลุกสิ่งนี้ขึ้นมาได้ คุณจะมีพลังมหาศาล เหมือนคุณได้ชาร์จแบตหรือเติมน้ำมันแล้วมีแรงเดินต่อ

        แต่ที่สุดแล้วปีศาจจะเข้าทำลายตัวตนของคุณ มันจะหลอมคุณเข้าไป แต่ถ้าคุณผ่านมันไปได้ คุณจะแข็งแกร่งมาก คุณจะมีความเป็นมนุษย์ที่สูงขึ้น เพราะคุณสามารถผ่านแรงกดดันได้ 

        พูดไปก็เหมือนเป็นการยกตัวเองนะ แต่ว่าสิ่งนี้เป็นความระมัดระวังอย่างยิ่งของผม เป็นคุณค่าหนึ่งระหว่างการต่อสู้ และผมอยากจะผ่านการต่อสู้นี้ไป ไม่ว่าผลของมันจะเป็นยังไง อย่างน้อยที่สุดผมขอให้ตัวเองรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ให้ได้ และหากมันจะทำให้ผมเข้าใจความเป็นมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ผมจะรู้สึกยินดีมาก ถือเป็นกำไรที่ได้กลับมาจากการต่อสู้

ในชีวิตนี้ไม่เคยดูถูกศัตรูทางการเมืองเลยเหรอ

        อาจจะมีหลุดคำว่า ‘ไอ้’ ขึ้นมาบ้างระหว่างที่เขียนถึงคนคนนั้น มันคือการรำพึงรำพันกับตัวเอง แต่เอาเข้าจริงผมเคยเหยียดหยามหนักที่สุดในทางการเมืองซึ่งผมได้เขียนไปขอโทษเขาในภายหลังแล้ว ผมเคยชูนิ้วกลางถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กตอนที่ม็อบพันธมิตรฯ ชุมนุมใหญ่ยึดทำเนียบรัฐบาล ซึ่งก็มีคนตำหนิผม คือเขาไม่ใช่คนที่ไปร่วมชุมนุมกับพวกม็อบพันธมิตรฯ ด้วยนะ แต่เขารู้สึกรับไม่ได้กับการใช้สัญลักษณ์นี้ในทางการเมือง หรือแม้แต่ช่วงปี 2553 ผมก็ยังใช้สิ่งนี้อยู่สักพักหนึ่ง จนมีนักข่าวหญิงคนหนึ่งเขียนมาตำหนิผม พอได้อ่านแล้วรู้สึกว่า เออ แม่งจริงมากเลย ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่เก็บสิ่งนี้ไว้เตือนใจว่านี่คือความผิดพลาดของเรา แล้ววันหนึ่งผมก็ได้เจอ อาจารย์ปริญญา เทวานฤมิตรกุล เขากล่าวชื่นชมผมทุกเรื่องเลยนะ หลังจากนั้นเขาก็บอกว่า ‘หนูหริ่ง แต่ผมมีความเห็นว่าการที่คุณชูนิ้วกลางเป็นเรื่องไม่เหมาะสม’ ผมก็เคารพและยอมรับว่ามันจริง วันหนึ่งผมจึงตัดสินใจเขียนคำขอโทษและอธิบายว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ซึ่งตอนนั้นสถานการณ์ทางการเมืองมันนิ่ง ไม่มีอะไรแล้ว แต่เราเขียนเพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในใจ

 

บก. ลายจุด

อะไรคือสิ่งที่ภูมิใจที่สุดในชีวิตที่ผ่านมา

        ตอนอยู่เชียงรายผมได้มีส่วนสำคัญในการผลักดันเรื่องการออกมติ ครม. เกี่ยวกับการให้สัญชาติแก่ชาวเขา ผมอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ของตำบลแม่ยาว แล้วเด็กที่ผมทำกิจกรรมด้วยก็เป็นเด็กในหมู่บ้านที่เราคุ้นเคย เด็กพวกนี้ไม่มีสัญชาติ ผมอยากจะช่วยพวกเขา ซึ่งมันก็นำมาสู่กระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อนและยุ่งยาก ใช้เวลาอยู่หลายรัฐบาล แต่ในที่สุดก็ทำสำเร็จ คนหลายแสนคนได้สัญชาติไทย และอีกเป็นแสนคนได้ใบสำคัญบุคคลต่างด้าว ที่ในทางกฎหมายเขาเรียกว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและมีสิทธิอาศัยอยู่ถาวร 

การทำงานเป็นเอ็นจีโอน่าจะฟินกว่าการมาทำงานขับเคลื่อนทางการเมืองเยอะเลย 

        โห รู้สึกดีกว่า แต่ว่าความเป็นเอ็นจีโอที่เกิดจากการคิดมันไม่ได้อยู่บนฐานของการรู้สึกฟินอย่างเดียวนะ จริงๆ แล้วมันเป็นงานที่ยากและทำให้ชีวิตของเราต้องตกอยู่ในอันตรายได้เหมือนกัน ผมเคยทำงานเรื่องยาเสพติด คุณรู้ไหมว่าผมต้องเดินไปเจรจากับพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ในหมู่บ้าน แต่ผมกล้าทำสิ่งนั้นเพราะผมรู้จักคนในหมู่บ้านทุกคนเลย เมื่อเรามีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขาจึงมั่นใจว่าผมจะไม่เป็นภัย ผมไปเจรจาว่าเขาจะต้องหยุด มันมีเหตุผลที่เราจะต้องแลกเปลี่ยนกัน ไม่อย่างนั้นผมจะทำเรื่องสัญชาติไม่ได้ ในบางครั้งงานเอ็นจีโอจึงยากและมีความเสี่ยง ซึ่งช่วงที่เขายิงกันนั่นเรียกว่าดุเดือดเลย ผมก็เสียวสันหลังเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การทำงานเอ็นจีโอมันไม่ได้ฟินขนาดนั้น มันมีความยากและความเสี่ยงอยู่ 

คดีความทางการเมืองของคุณตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว

        ยังเหลือมาตรา 116 อยู่สองคดี คือตอนที่ไปให้สัมภาษณ์กับสื่อที่สกายวอล์กหน้ามาบุญครองเรื่องการเลื่อนเลือกตั้ง กับตอนที่เขียนข้อความต้านรัฐประหารในปี 2557 คือส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องไร้สาระน่ะ ผมเข้าใจวิธีการที่รัฐใช้นะ คือเขาจะเอาคดีพวกนี้มาคอยเกี่ยวขา พันไปพันมาให้คุณเคลื่อนไหวไม่ได้ 

        มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเอาผมติดคุกจริงๆ เวลาไปขึ้นศาลก็ไม่ได้มีใครมาสนใจผม เหมือนผมสู้กับอากาศ มันไม่มีคู่กรณี แล้วมันก็เสียเวลา เขาเองก็ไม่ได้เกลียดชังถึงขั้นจะเอาผมติดคุก คดีพวกนี้ของผมมันเป็นคดีที่ติดคุกไม่ได้ มันไม่มีเหตุผลในการติดคุก ดังนั้น มันจึงเป็นแค่พิธีกรรมที่เขาทำให้ผมติดเบ็ดไปต่อไม่ได้อยู่อย่างนั้น 

 

บก. ลายจุด

เบื่อไหม

        อ่า ผมใช้คำว่าไม่ทำไม่ได้ เพราะมันจะมีความติดค้างสูง ต่อให้คุณจ่ายแพงคุณก็ต้องจ่าย มันแพงนะ มันรู้สึกว่า โห ทำไมกูต้องจ่ายแพงขนาดนี้ แต่ว่าไม่จ่ายไม่ได้ มันติดค้าง ผมคิดว่าถ้าให้อยู่เฉยๆ ผมคงนอนไม่หลับ

        คนจะคิดว่าทำไมไม่อยู่เฉยๆ อยู่สบายๆ ไป แต่ความจริงมันไม่ใช่ เพราะคุณจะนอนไม่หลับ ตอนปี 2553 หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุม ผมออกมาผูกผ้าแดง เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งคือเรื่องส่วนตัวของเราเองนี่แหละ ถ้าไม่ทำผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้ อยู่เฉยๆ ก็ร้องไห้

        ซึ่งมันเกิดขึ้นบ่อยมาก ผมคิดว่าหลายๆ คนก็รู้สึกแบบนี้ เราไม่รู้จะคุยกับสังคมภายนอกยังไง เราก็จะเจอแต่เพื่อน คนที่รู้จักกันเอง แล้วเราก็ปิดตัวอยู่ในความกลัว

เคยหมดไฟกับบทบาทแอ็กทิวิสต์บ้างไหม 

        ไม่มีภาวะหมดไฟ แต่ว่าอาจจะเหนื่อย เวลาผมเหนื่อยมากๆ ผมจะหยุดเลย ผมมีสวิตช์ในตัวเอง แล้วผมก็มักจะไม่ทำกิจกรรมที่ทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป ยกตัวอย่าง กิจกรรมผูกผ้าแดง ผมออกแบบไว้อย่างชัดเจน คือทำทุกวันอาทิตย์ ดังนั้น ในเจ็ดวันผมจะทำสิ่งนี้แค่หนึ่งวัน แล้วผมก็ทำแค่สองชั่วโมงเท่านั้น ไม่ต้องเตรียมการอะไรมาก ผูกเสร็จแล้วก็กลับ ผมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว จริงอยู่ที่บทบาทของเราทำให้มีภารกิจต้องออกไปพบปะผู้คนบ้าง แต่เวลาเสร็จงานผมจะตรงกลับบ้าน ไม่ออกไปไหน ไม่มีการกินอาหารเย็นนอกบ้าน เพื่อนกินข้าวกินเหล้าของผมก็ไม่มี คนที่รู้จักผมจะรู้ว่าผมเป็นแบบนี้ แล้วเขาจะไม่ชวนผม เพราะผมหมดแรงมาทั้งวันแล้ว ผมต้องกลับบ้านไปชาร์จแบต นอนเฉยๆ หรือเล่นอะไรของผมไป 

        อีกอย่างก็คือ เวลาทำงานผมจะคิดว่าทำให้สนุก เวลาทำเรื่องที่ยากหรือทำเรื่องทางการเมืองที่เต็มไปด้วยมีความตึงเครียด ความสนุกเป็นวิธีการทำให้ความตึงเครียดลดลง และการทำอะไรด้วยความสนุกมันเป็นรางวัลของชีวิตนะ

        ผมมีแบ็กกราวนด์ของการเป็นคนทำละคร ซึ่งละครมันมีความเป็นศิลปะผสมผสานอยู่ เรามีเครื่องมือที่จะทำให้สิ่งหนึ่งมันเปลี่ยนรูป หรือเราเล่าเรื่องอย่างหนึ่งด้วยสิ่งอีกสิ่งหนึ่งได้ มันคือต้นทุนที่ผมพกมาจากการเป็นคนทำละคร และมันยังติดอยู่ในหัว เวลาออกแบบม็อบหรือทำกิจกรรมทางการเมืองผมก็จะผสมผสานสิ่งนี้เข้าไป มันจึงง่ายและก็น่าสนุกกว่า 

คิดว่าคนทำกิจกรรมทางการเมืองในบ้านเราทำได้สนุกแค่ไหน 

        น้อยมาก ยิ่งม็อบเสื้อเหลืองเสื้อแดงก่อนหน้านี้นี่พอกันเลย จริงๆ มันเป็นพันธุ์เดียวกับพวกคนเดือนตุลา และพันธุ์พฤษภา 35 เหมือนกันเป๊ะเลยคุณดูเถอะ ม็อบหนึ่งทำมือตบ อีกม็อบแกล้งทำตีนตบ โอเค มันอาจจะเสียดสี แต่ว่ามันไม่เหมือนเด็กรุ่นนี้ เพราะเด็กรุ่นนี้มันไม่มีรากมาจากคนพวกนั้นแล้ว เขาไม่ได้คิดว่ากูจะต้องเอาเพลง แสงดาวแห่งศรัทธา ไปเปิดบนเวที สิ่งที่กลุ่มเยาวชนปลดแอกหรือกลุ่มนักเรียนเลวทำมันสนุกและร่วมสมัยกว่าเยอะ อย่างน้อยที่สุดที่ผมดีใจคือไม่ต้องมีหงา คาราวาน หรือแอ๊ด คาราบาว ไม่ควรมีแล้ว เด็กๆ ก็ไม่มีความอินแล้ว ทั้งๆ ที่เพลงของเขาอาจจะโคตรสื่อเลยนะ แต่ตัวคนสร้างงานมันไม่ได้แล้ว ต้องเลิกได้แล้ว 

        วันก่อนยังคุยกันว่าควรมีอีดีเอ็มเปิดบนเวทีชุมนุม ผมคิดถึงขั้นว่ามันควรจะเป็นเพลงที่เปิดในผับได้เลยด้วยซ้ำ อย่างเพลง ประเทศกูมี สุดยอดเลยนะ ผมถือว่าเป็นหมุดหมายที่บ่งบอกว่าเพลงของการต่อสู้ทางการเมืองได้เปลี่ยนยุคสมัยไปแล้ว เนื้อความที่อยู่ในนั้นมันบันทึกเหตุการณ์ทางสังคมการเมืองในตอนนี้ รูปแบบ ภาษา ดนตรีที่ใช้ มันแตกต่างไปจากยุคเพลงเพื่อชีวิตทั้งหมดเลย 

ทุกวันนี้คุณฟังเพลงอะไร 

        ผมไม่ฟังเพลงอะไรเลย เปิดไปเรื่อย เปิดเพลงน้องอิมเมจ (หัวเราะ) ฟังเพลงปาล์มมี่ ไม่ได้ติดตามอะไรเท่าไหร่ ผมไม่ได้มีเวลามานั่งฟังเพลงขนาดนั้นแล้ว แต่ถ้าถามว่าเวลาฟังเพลงผมจะชอบฟังของใคร ก็จะนึกถึงสองคนนี้แหละ 

 

บก. ลายจุด

คุณวางบทบาทตัวเองอย่างไรกับการชุมนุมเรียกร้องของนักเรียนนักศึกษาในตอนนี้ 

        ผมวิเคราะห์แล้วว่านี่เป็นการนำของนักเรียนนักศึกษา นี่เป็นยุคสมัยของเขา บทบาทการนำในวินาทีนี้จึงเป็นของเขา แต่ต่อจากนี้มันจะวิวัฒน์ไปอย่างไรผมไม่ทราบ เรามีใจสนับสนุนเขา แต่จริงๆ แล้วผมก็รู้สึกติดขัดนิดหน่อยเพราะไม่รู้ว่าจะเข้าไปเชื่อมต่อยังไง แล้วก็ไม่มีใครติดต่อผมมาด้วยนะ คนมักจะคิดว่ากลิ่นในการทำม็อบของคนรุ่นนี้มันคล้ายๆ กับ บก. ลายจุด ก็ถามว่าเขาได้มาคุยกับหนูหริ่งหรือเปล่า เหอะ ไม่มี 

เคืองไหมที่เขาไม่เข้ามาขอคำปรึกษาจากรุ่นพี่ 

        ไม่เคือง ผมคิดว่าคนรุ่นใหม่เขาทำกันเองได้ และการไม่มีผมเป็นเรื่องดี เพราะถ้าเกิดมีผมเข้าไปมันจะไม่เกิดปรากฏการณ์ที่ใหม่และแตกต่างแบบนี้ เขาต้องพิสูจน์ให้ได้ ตอนแรกผมเองก็ยังไม่มั่นใจและยังงงๆ เพราะมันเร็วมาก พูดตรงๆ ผมรู้สึกว่า เอ๊ะ นี่มันอะไรวะ มันจะไปถึงไหน จนเกิดกลุ่มเยาวชนปลดแอก ผมก็จัดกิจกรรมกินแมคโดนัลด์ด้วยความระมัดระวัง มันเกิดจากการที่ผมเห็นคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่เป็นพวกป้าๆ เข้าไปร่วมกิจกรรมกับเด็กๆ แต่พวกป้าๆ เหล่านี้จะยืนให้กำลังใจอยู่ข้างหลังเลย เพราะว่าเข้ากันไม่ได้ คือเขาไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อกันนะ แต่ว่ามันไม่กลืนกัน พอผมจับเซนส์นี้ได้ก็เลยจัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา 

        วันที่กินแมคฯ เสร็จก็มีกิจกรรมวิ่งแฮมทาโร่ต่อ ซึ่งต้องยอมรับว่าวันนั้นผมยืนดูด้วยความงงนะ ผมไม่รู้จักว่ามันคืออะไร พอเขาอธิบายแล้วผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี จนกระทั่งเขาวิ่งผมจึงเข้าใจ ซึ่งจริงๆ แล้วกิจกรรมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในวันนั้นก็คือแฮมทาโร่ ไม่ใช่กิจกรรมกินแมคฯ เราอยู่ในฐานะของผู้ให้การสนับสนุน ให้กำลังใจ และพาให้คนสองกลุ่มนี้ได้มาเจอกัน ผมคิดว่าการที่เด็กออกมาแล้วมีผู้ใหญ่มาเสริมถือเป็นเรื่องที่ดีนะ 

อนาคตที่คนรุ่นใหม่กำลังร่วมกันสร้างจะมีหน้าตาเป็นแบบไหน 

        ผมคิดว่าอนาคตที่พวกเขาอยากจะเห็นมันไม่มีขอบเขตเลย มันจะเต็มประสิทธิภาพ เพราะเวลาเด็กคิดเขาจะไม่มีกรอบ เขาจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอุปสรรค เพราะถ้าเขาเห็นอะไรที่เป็นอุปสรรค เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีอุปสรรค ถ้ามีคนเอาอะไรมาขวางที่จอดรถ ห้ามไม่ให้เขาจอด เขาจะไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นที่จอดรถมันก็ควรจะจอดได้สิ แล้วเขาก็จะเอาไอ้ที่กั้นนั่นออกไป เพราะการกันพื้นที่โล่งๆ ตรงนั้นไว้ทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่เต็มประสิทธิภาพ 

        เพราะฉะนั้น ภาพของอนาคตที่พวกเขาคิดก็คือ มันควรจะเป็นโลกที่เขาได้ปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองให้ได้สูงที่สุด เพราะการพัฒนาในยุคหน้าคือการปลดปล่อยศักยภาพ และเป็นการปลดปล่อยในทุกเรื่องเลย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเมือง เท่าที่ผมฟังและจับความรู้สึกได้จะเห็นว่าเขาตั้งคำถามหมดเลย ทั้งเรื่องทรงผม หลักสูตรการศึกษา วิชาการเรียน หรือทำไมผู้ใหญ่ถึงชอบปิดกั้นเด็กในเรื่องนั้นเรื่องนี้ 

ให้เครดิตกับการต่อสู้ที่ผ่านมาของตัวเองแค่ไหน คิดว่าเรามีส่วนในการปลูกฝังคุณค่าของประชาธิปไตยในตัวพวกเขาบ้างหรือเปล่า 

        ทั้งหมดนี้มันเป็นสายธารของวิวัฒนาการทางสังคม มันเป็นอารยธรรมของมนุษยชาติ เพียงแต่ว่าถ้าเราพูดถึงการเรียกร้องประชาธิปไตยตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา อย่างน้อยผมคิดว่าผมอยู่ยาวพอสมควรและยังแอ็กทีฟมาจนถึงตอนนี้ กับการเรียกร้องของคนรุ่นใหม่  ผมก็รู้สึกได้ถึงความเป็นเนื้อเดียวและเชื่อมโยงกับเรา เพียงแต่ว่าบทบาทในการนำมันเป็นอีกคนหนึ่งไปแล้ว เราก็ขยับไปอยู่ในจุดตรงกลาง ตอนชุมนุมประท้วงเสื้อแดงผมก็เคยอยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า ถ้ามันจำเป็นต้องขึ้นมาข้างหน้าผมก็จะขึ้น แต่ถ้ามันไม่จำเป็นผมก็อยู่ข้างหลังได้ คอยซัพพอร์ตอะไรก็ว่ากันไป รอบนี้ก็เหมือนกัน จริงๆ แล้วผมอยู่ตรงไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ตอนนั้นเป็นยังไง

 

บก. ลายจุด

ตอนนี้พลังงานในการต่อสู้ของตัวเองยังเหลืออยู่เท่าไหร่

        ไม่เท่ากับช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมแก่ตัวลงไปเยอะ อีกอย่างก็คือตอนนี้จำนวนคนมันใหญ่โตขึ้น เราจึงไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรเยอะขนาดนั้น เราเลือกจุดที่มันจะอิมแพ็กต์ที่สุดภายใต้ศักยภาพของตัวเอง เช่น ล่าสุดผมทำเรื่องคราวด์ฟันดิ้ง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่อิมแพ็กต์ที่สุดในปฏิบัติการรอบนี้ของผมนะ

        เรารู้ว่ารัฐจะใช้วิธีการต่างๆ นานาเพื่อที่จะลดทอนศักยภาพของคนที่ออกมาต่อสู้เรียกร้อง สำหรับคนที่ไม่มีต้นทุน เมื่อโดนไปเยอะๆ เขาจะหมดแรง สุดท้ายข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจมันจริง ถ้าคุณไม่มีค่ารถ ไม่มีเงินกินข้าวก็จบแล้ว

        ดังนั้น ผมจะอุดช่องโหว่นี้ให้ด้วยวิธีการง่ายๆ อย่างการชวนให้คนระดมทุนคนละ 24.75 บาท ซึ่งตอนนี้มันเป็นสถานการณ์ที่ใหญ่พอและมีจำนวนของคนที่ให้การสนับสนุนมากพอที่จะโอนเข้าไป ซึ่งมันจะช่วยให้นักกิจกรรมหลุดออกมาจากอุปสรรคนี้ พอตัวเขาหลุดแล้วเขายังสามารถใช้ศักยภาพทางการเงินที่ได้รับมาดูแลคนข้างๆ เพื่อนๆ ช่วยเหลือน้องๆ ที่อยู่ระหว่างการต่อสู้ได้อีกด้วย 

คุณว่าเด็กวัยมัธยมสมัยนี้เครียดเกินไปไหม เขาน่าจะไปเดินเที่ยว กินขนม ดูหนังกับเพื่อน มากกว่าที่จะออกมาชุมนุมเรียกร้องหรือเปล่า 

        คือมนุษย์ทุกคนจะมีช่วงเวลาที่เกิดสิ่งที่เรียกว่าคำถาม แล้วมันมักจะเกิดในวัยหนุ่มสาว ผมกลับรู้สึกว่าคนหลายๆ คนในช่วงชีวิตของผมได้ถูกยุคสมัยกลบเกลื่อนคำถามของตัวเอง เพราะเสียงภายนอกมันดัง คุณจึงไม่ได้ยินเสียงภายใน ความเป็นจริงคือเสียงมันดังอยู่ข้างในนะ แต่ทันทีที่มันดัง คุณก็จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น เปิดหนังดู หรือไปเล่นกับเพื่อน ไปเที่ยว ไปทำอะไรก็ตามเพื่อที่จะกลบเสียงของมันโดยไม่รู้ตัว ชีวิตแบบนี้จึงน่าเสียดายมากกว่า

        มันมีคนพูดว่า สังคมมนุษย์ในช่วง 100-200 ปีหลังมานี้ เราได้ละทิ้งการตั้งคำถามทางปรัชญา ซึ่งก่อนหน้านี้มนุษยชาติทั้งหมดได้ตั้งคำถามต่อสิ่งนี้

        ไม่ว่าคุณจะโง่เง่าสุดขั้วขนาดไหน มันเป็นเรื่องพื้นฐานมากที่เราจะตั้งคำถามว่าชีวิตคืออะไร สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ยังไง แล้วหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น คำถามเหล่านี้อาจจะเคยดังขึ้นมาในความคิดของคุณ แต่สักแป๊บหนึ่งมันจะหายไป เพราะสังคมไม่มีพื้นที่ให้กับการตอบคำถามพวกนี้ ใครที่ชวนคุยเรื่องเหล่านี้จะถูกมองเหมือนเป็นคนบ้า ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเรียลมาก แต่มันเรียลเกินไปที่จะคุยกัน 

        หากคุณอายุน้อยแล้วดันตั้งคำถามว่า ถ้าตายไปจะทำยังไง คนจะรู้สึกว่า เฮ้ย มึงอายุแค่นี้เอง คิดถึงเรื่องตายแล้วเหรอ คนอายุมากๆ เขายังไม่คิดถึงเรื่องแบบนี้เลย มึงบ้าหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วทุกคนต้องคิด ต่อให้คุณพยายามจะไม่คิดคุณก็จะคิด มันจะมีห้วงเวลาที่คุณควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วคำถามเหล่านี้จะแวบขึ้นมาในหัว เมื่อคุณตั้งคำถามต่อความตายและการมีอยู่ของคุณ คุณจะเริ่มตั้งคำถามว่าสิ่งใดมีความหมาย เพราะรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วเราก็ไม่มีอะไร เดี๋ยวก็ฉิบหายตายห่าไป แล้วคุณก็ไม่มีตัวตนอะไร ไม่มีใครพูดถึงคุณหรอก ร้องห่มร้องไห้ตื่นมาวันรุ่งขึ้นเขาอาจจะคุยถึงเรื่องของคุณต่อไปอีกสักสองสามวัน หรือสักอาทิตย์สองอาทิตย์แล้วก็จบกันไป จะเหลือแต่คนที่รักคุณอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่เขาก็คงคิดถึงคุณไม่ได้บ่อยขนาดนั้นหรอก ที่สุดแล้วคุณก็จะหายไปจากทุกอย่าง ดังนั้น คุณค่ามันจึงยังอยู่ตอนที่คุณยังมีชีวิต

         เรื่องเหล่านี้เกิดจากการขบคิด มันเป็นเรื่องที่โรงเรียนไม่สอน ไม่มีพื้นที่ทางสังคมให้คุณได้ตอบคำถามเหล่านี้ แต่ทันทีที่คุณเริ่มเจอใครที่คุยถึงเรื่องแบบนี้ได้ คุณจะประหลาดใจมากเลย คุณจะตื่นเต้น ขนลุก เหมือนว่าจิตใต้สำนึกของคุณเชื่อมต่อกับความต้องการหรือตัวตนของคุณ เกิดการเปลี่ยนข้ามจากจิตใต้สำนึกมาสู่จิตสำนึก คุณพูดคุยถกเถียงหรือจับต้องมันได้ คุณจะรู้สึกถึงการปลดปล่อยแล้วคุณจะรู้สึกดี 

คุณเริ่มตั้งคำถามเหล่านี้ตั้งแต่วัยไหน 

        ตอนอายุประมาณ 20 ปี ผมได้มาจากการที่ผมไปเป็นอาสาสมัครอยู่ที่องค์กรแห่งหนึ่ง มันมีช่วงเวลา มีหนังสือ มีความว่าง เพราะผมไม่ได้เรียนหนังสือ ผมจึงมีพื้นที่ว่างมากพอ ความว่างสำคัญมาก ตอนนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่เยี่ยมมาก สมัยก่อนคุณต้องไปปายเพราะปายแม่งไม่มีอะไรเลย แล้วคุณถึงจะมีช่วงเวลาหรือมีสภาวะที่เอื้อต่อการขบคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ 

         ผมว่าพวกคนที่ไปวิ่งมาราธอนก็จะมีความรู้สึกแบบนี้ปรากฏขึ้นมาเช่นกัน ผมฟังตอนที่ธนาธรเล่าถึงตอนที่เขาขึ้นไปขั้วโลกแล้วแตะกับพระเจ้า ผมรู้เลยว่ามันลึกถึงก้นบึ้ง มันเฉียดความตาย มันถามจนไม่เหลืออะไรแล้ว เหลือแต่ว่าจะหายใจต่อไปหรือจะตาย มันเป็นภาวะที่ลงลึกมากๆ เหลือแค่สัญชาตญาณพื้นฐานหรือการเอาตัวรอดเท่านั้น 

มีกิจกรรมไหนในชีวิตบ้างที่ทำให้คุณรู้สึกว่ากำลังได้แตะกับพระเจ้า 

        ดนตรี 

อย่างการฟังเพลงของอิมเมจนี่ก็ทำให้ได้แตะกับพระเจ้าเหรอ

        (หัวเราะ) ไม่ๆ ผมไม่ได้ฟังแค่เพลงของอิมเมจอย่างเดียวสิ ผมก็ฟังอย่างอื่นอยู่เหมือนกัน คือผมไม่สามารถแนะนำเรื่องเพลงได้ แต่ผมเชื่อว่าดนตรีเป็นเครื่องมือที่พาเราไปสัมผัสพระเจ้าได้ พระเจ้าในความหมายของผมคือตัวตนที่มันอยู่ลึกถึงก้นบึ้งข้างในนะ เพราะเวลาฟังดนตรีในบางสภาวะแล้วจะรู้สึกว่ามันลึกมากเลย 

 

บก. ลายจุด

เพราะอะไรเด็กสมัยนี้ถึงตั้งคำถามกับชีวิตเร็วกว่าคนรุ่นก่อนๆ 

        เพราะสังคมผิดเพี้ยนไปหมด เพี้ยนหนักด้วย เด็กบางคนต้องเผชิญกับปัญหาครอบครัว ปัญหาทางเศรษฐกิจ และอีกหลากหลายปัญหาจากสังคมที่ผิดเพี้ยนแห่งนี้ ยุคนี้จึงควรเป็นยุคที่คนควรจะตั้งคำถามมาก ผมว่าใครที่ไม่ตั้งคำถามนี่แม่งบ้านะ 

แต่พอเริ่มตั้งคำถามต่อความยากจน ก็ต้องเจอกับโฆษณาที่พยายามโน้มน้าวให้คนโรแมนติกกับมัน 

        เออ นักโฆษณานี่น่ากลัวนะ เอเจนซีกับนักโฆษณาเป็นบุคคลที่ผมกลัวที่สุด เพราะเขารู้จักเรามากกว่าที่เรารู้จักตัวเอง เขารีเสิร์ชจริงจังมาก แล้วพวกนี้มีเครื่องมือ มีทุน ผมเป็นนักทำละครมาก่อน ผมรู้ดีว่าคนพวกนี้สามารถบิลด์อารมณ์ให้คนร้องไห้ได้ภายในสิบห้าวินาที ดูทีวีตลกๆ อยู่ดีๆ พอโฆษณาขึ้นมาแป๊บเดียวเท่านั้นน้ำตาไหลเลย ถ้าคนทำโฆษณาไม่ใช่พ่อมดแล้วมันจะเป็นใคร แต่ที่เป็นแบบนั้นได้เพราะว่าบริบทของสังคมในเวลานั้นยังไม่มี critical thinking ยังไม่วิพากษ์วิจารณ์กันเท่าตอนนี้ ดังนั้น คนส่วนใหญ่ของสังคมจึงถูกโน้มน้าวด้วยเวทมนตร์ของศิลปะการโฆษณา ขอโทษนะที่ต้องบอกว่าโฆษณาที่คุณพูดถึงเป็นโฆษณาที่โคตรมักง่าย ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ในงานชิ้นนี้เลย เป็นงานที่เอาของเก่ามาขายล้วนๆ 

        เขาคงคิดว่าเขาแม่งคมสุดแล้ว ความคิดแบบนี้มันเคยสำเร็จมาก่อน มันจึงศักดิ์สิทธิ์ ใช้ทีไรได้ตลอด แต่พอเด็กมันมีทวิตเตอร์หรือพอคุณเปิดเข้าไปในยูทูบ เข้าไปอ่านคอมเมนต์ คุณเห็นหมดเลย แม่งอภิปรายกันตรงนั้นเลย เหมือนเวลาจะไปเช่าโรงแรมนอนหรือจะซื้อสินค้าอะไรก็ตาม คุณก็ต้องอ่านรีวิวใช่ไหม เฮ้ย หนังเรื่องนี้น่าจะสนุก แต่รีวิวข้างล่างบอกว่ามึงอย่าไปดูนะ เสียเวลาฉิบหาย เพราะเด็กมันโตมาจากการอ่านรีวิว คุณจึงไม่สามารถชี้นำแบบเทพเจ้าอย่างนั้นได้อีกแล้ว ผมขอพูดแบบฟรีดริช นิตเช่ ‘พระเจ้าตายแล้ว’  

ในที่สุดความคิดเก่าคร่ำครึเหล่านี้ก็จะค่อยๆ สูญพันธุ์ไปใช่ไหม 

        มันอาจจะไม่สูญพันธุ์หรอก แต่มันจะมีอิทธิพลลดลง ที่สำคัญคือจะถูกต่อต้าน เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของมันหมดไปแล้ว ความเชื่อของคนยุคนี้จะตั้งอยู่บนความจริงที่เรียลมากๆ แต่ผมก็ยังเชื่อว่าความคิดที่คุณบอกว่าคร่ำครึนี้มันก็อาจจะยังเป็นเรื่องที่ดีสำหรับบางคน มันอาจให้กำลังใจเขาได้ แต่มันจะไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูปที่ใช้ได้กับทุกคน มันเป็นแค่ทางเลือกหนึ่งเท่านั้นเอง ผมโคตรเคารพคนอย่าง โจน จันได แต่อย่าได้มาบอกนะว่าชีวิตของกูจะต้องเป็นอย่างนั้นเชียวนะ ผมนับถือพี่โจน แต่ไม่ได้นับถือแบบเดียวกับคนอื่นที่พูดว่าพี่โจนเขาอยู่อย่างเรียบง่าย จริงๆ คุณเองก็อยู่ได้ด้วยค่าวิทยากรนั่นแหละ มันไม่ได้เกิดจากการที่คุณเอาดินมาทำบ้านแล้วจะอยู่ได้จริงๆ

        ผมคิดอย่างนี้ตั้งแต่ยุคของผู้ใหญ่ วิบูลย์ เข็มเฉลิม ยุคนั้นเป็นยุคของเกษตรผสมผสาน แล้วตอนนั้นจะมีตำราชื่อ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ของ มาซาโนบุ ฟุกุโอกะ หนังสือเล่มนี้คือต้นตำรับของแนวคิดพอเพียง ตำราของฟุกุโอกะทำให้เกิดเกษตรผสมผสาน วนเกษตร แล้วก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าเกษตรทฤษฎีใหม่ ก่อนจะวิวัฒนาการมาเป็นเศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากมันเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 มันจึงต้องการปรัชญาบางอย่างขึ้นมาอุ้มชูคนไม่ให้แตกสลาย มันคือการเยียวยา เหมือนศาสนาที่เข้ามาช่วยกล่อมเกลาจิตใจคน ผมเป็นเอทิสต์ (Atheist) นะ แต่ว่าผมเข้าใจกลไกการทำงานของมัน ผมเห็นความดีงามในนั้น แต่ผมจะมีปัญหาถ้าคนมาบอกว่าศาสนาพุทธต้องเป็นศาสนาประจำชาติของเรา ผมแม่งแทบจะระเบิด คุณจะใช้หลักศาสนามาอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง หรือคุณจะทำให้ประเทศนี้เป็นรัฐศาสนา ผมรับไม่ได้ 

 

บก. ลายจุด

แต่คนที่ถูกกล่อมเกลาโดยศาสนาก็น่าจะมีความสุขได้ง่ายกว่าคนที่จ้องจะตั้งคำถามกับทุกเรื่อง

        ผมไม่ได้มีปัญหากับชีวิตแบบนี้ ถ้าเป็นความทุกข์ผมจะเรียกว่าเป็นค่าใช้จ่าย ถ้ามันแลกกับสิ่งที่เรียกว่าความจริงหรือเสรีภาพ ผมยอมจ่าย เราเคยเห็นคนที่เจ็บปวดจนไม่มีทางไปอยู่เหมือนกัน ซึ่งเคสนั้นหมอก็ต้องฉีดมอร์ฟีน ถ้าคุณป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย คุณย่อมต้องการมอร์ฟีน ศาสนาก็เหมือนกัน ไม่แน่หรอกนะ เอาจริงๆ ผมยังคิดจะไปบวชเลย

         ผมเป็นเอทิสต์ที่คิดจะบวช คิดมาระยะหนึ่งแล้ว ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องดี เราควรได้มีโอกาสอยู่กับตัวเอง ชีวิตประจำวันของผมตอนนี้ไม่สามารถให้ความสงบกับผมได้ และมันคงจะดีถ้าในช่วงชีวิตหนึ่งของเรามีโอกาสได้บวช ได้ออกเดินทาง

        ผมอิจฉา อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่แกได้ใช้ชีวิตอย่างฤาษี สำหรับผม ถ้าในสถานการณ์ที่มันโอเค ไม่มีอะไร ไม่ติดค้างอะไรกับตัวเองแล้ว ผมก็คิดว่าควรจะเป็นช่วงที่ได้ปลีกวิเวกบ้าง อาจารย์เสกสรรค์เขาเป็นไอคอนของยุคสมัยเลยนะ แต่ว่าคนชอบไปเรียกร้องให้แกออกมา ผมคิดว่าโคตรไม่เป็นธรรมเลย 

        ก่อนหน้านี้ผมก็เคยเรียกร้องจากแกเหมือนกัน ผมมีโอกาสได้เจอแก และเคยตั้งคำถามกับแกแรงๆ ด้วย ผมไปเจอแกในวงวงหนึ่ง แล้วแกพยายามจะทำเรื่องการปฏิรูป แต่แกอยู่ด้านหลัง ไม่ออกหน้า แกชวนคุยเรื่องการปฏิรูปความฝัน แล้วผมรำคาญมากเลย ผมถามว่า ถ้าเราจะปฏิรูป มันมีขอบเขตไหม เราสามารถพูดในสิ่งที่เราไม่พูดถึงได้ไหม แล้วถ้ามันเป็นมูลเหตุสำคัญ เราจะมีท่าทีกับเรื่องนี้ยังไง คือผมอยู่ในกลุ่มคนที่วิเคราะห์กันไปถึงรากของปัญหาแล้ว เวลาที่ผมเจอคนเอาแต่บอกว่าเพราะการเมืองมันอย่างนู้นอย่างนี้ผมจึงรำคาญมาก ผมรู้ว่าแกก็เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่สุดท้ายผมคิดว่าผมสามารถวางแกลงได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้องหรือคาดหวังว่าแกจะออกมา ให้แกได้มีชีวิตของแกไป ถึงเวลาที่แกต้องการจะมีชีวิตกับตัวเอง คุยกับตัวเอง เดินทางภายในแล้ว 

แล้วคุณคิดจะปลีกวิเวกเมื่อไหร่

        ผมคิดว่าสักอายุ 60 ผมก็ควรจะมีพื้นที่ของตัวเองมากขึ้น ผมควรจะมีสิทธิพูดได้อย่างเต็มปากว่าผมจะมีชีวิตของผม หากใครมาเรียกร้องผมสามารถสะบัดหน้าหนีได้ ผมคิดว่าผมอยู่ต่อสู้มายาวนานมากพอ ทั้งในเรื่องของมูลนิธิและเรื่องทางการเมือง

        ผมอาจจะกลับไปทำละครก็ได้ เพราะจริงๆ แล้วผมพบว่าผมโหยหาความงาม พออายุมากๆ แล้วรู้สึกว่าความละเมียดละไมสำคัญมาก ศิลปะเท่านั้นที่จะให้สิ่งนี้กับผมได้ ผมไม่ได้จะละทิ้งความจริงและความดีนะ แต่งานที่ผมทำอยู่ในชีวิตตอนนี้มันไม่ค่อยมีความงาม มันมีแต่ความจริงกับความดี 

การที่ความคิดของคนในสังคมเดินมาได้ถึงจุดนี้ นับว่าคุ้มค่ากับ 14 ปีที่ชีวิตของคุณถูกการเมืองกลืนกินไปหรือยัง 

        มีความสมดุลอยู่ในระดับหนึ่ง ถือว่าไม่ได้จ่ายอยู่อย่างเดียว สำหรับผม ปรากฏการณ์รอบนี้น่าตื่นเต้นมาก แค่เกิดพรรคอนาคตใหม่ผมก็ตื่นเต้นแล้ว เพราะมันเป็นคุณภาพใหม่ นักศึกษาออกมาก็ตื่นเต้น แล้วผมก็แอบลุ้นนะว่านักเรียนจะออกมาไหม โห พอนักเรียนออกมาเรารู้สึกว่าอิ่ม เรารู้เลยว่ามันหมายถึงสายธารใหม่ที่ไหลมายาวมาก ไม่ใช่แค่แกนนำนักศึกษาเพียงไม่กี่คนแบบเมื่อก่อน นี่เราเห็นแค่หัวขบวน ยังไม่เห็นตัวขบวนนะ แต่ต่อๆ ไปเราจะได้เห็นว่าขบวนนี้ยาวขนาดไหน ผมเชื่อว่ารอบนี้มันจะใหญ่โตมาก 

อยากบอกอะไรพวกเขาบ้างไหม 

        ผมชอบการปราศรัยของเพนกวิ้นอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพูดกับผู้ฟังที่เป็นคนหนุ่มสาวว่า เรากำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของภารกิจของยุคสมัย เราได้มายืนประจันหน้ากับมันแล้ว มันอาจจะฟังดูหลอนๆ หน่อยนะ แต่สิ่งที่เพนกวิ้นพูดมันเคลียร์มาก มันเป็นสิ่งที่ผ่านการประมวลมาแล้ว ไอ้นี่มันเป็นเครื่องจักรแห่งตรรกะ คือมันโต้เถียงกับตัวเองมาหมดแล้ว ดังนั้น ผมคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้มันคือเกียรติประวัติของพวกเขาเลย

        ผมแปลกใจว่าทำไมน้องๆ หลายคนทำได้ขนาดนี้ คือมันยิ่งกว่าผมเยอะ ผมอาจจะเคยเฉียดกับสิ่งที่เป็นความเสี่ยงหรืออาจจะเคยเฉี่ยวกับความเป็นความตายบ้าง แต่ไม่ถึงขนาดนี้ ตำรวจที่คุ้นเคยกับผมยังบอกเลยว่า เขาสงสัยว่าหลังจากจบเรื่องนี้เพนกวิ้นจะมีชีวิตต่อยังไง เด็กมันไม่คิด หรืออาจจะคิดก็ไม่รู้ แต่ต่อให้คิดมันก็ยังเดินหน้าอย่างนั้นอยู่ เพราะเขารู้ว่านี่เป็นภารกิจของยุคสมัย เขาอ่านขาดและชัดเจน เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าอะไรคือสิ่งที่อยากจะบอกน้องๆ ผมจะบอกว่า มันเป็นเกียรติมากครับที่คุณได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของภารกิจของยุคสมัย 

 


 

‘นาฬิกา 2475’ คือสิ่งของที่มีความหมายต่อชีวิตและบทบาทของการเป็นผู้ขับเคลื่อนทางการเมือง เป็นสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตยที่ (อยากให้) มีทุกบ้าน

        “ผมเลือกที่จะใช้หมุดคณะราษฎรเป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกา เพราะผมเห็นว่าสัญลักษณ์ของหมุดคณะราษฎรคือสัญลักษณ์ประชาธิปไตย มีการสร้างหมุดคณะราษฎรและฝังลงไปในดินที่พระยาพหลฯ ยืนอ่านประกาศคณะราษฎร เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา อุดมการณ์ประชาธิปไตยได้เบ่งบาน ถึงแม้ว่าจะผ่านช่วงเวลาที่มีพายุ ช่วงเวลาที่มันไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ประชาธิปไตยได้ถูกฝังหรือสถาปนาในสังคมนี้แล้ว ดังนั้น มันจะงอกเงย งอกงามต่อไป”